ในวันที่อากาศของแคนาดาหนาวจัด หิมะขาวโพลนไปทุกที่ ดวงอาทิตย์หลับใหลไม่โผล่ให้เห็นนานเป็นสัปดาห์ ความหดหู่กับความเย็นกำลังคืบคลานกัดกินแรงบันดาลใจ มันจำเป็นมากที่เราต้องหาความอบอุ่นให้หัวใจ ในที่สุดพวกเรา 3 คนก็ตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าและออกเดินทางตามหาดวงอาทิตย์กันอีกครั้ง

จริง ๆ แล้วเราใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานกว่าจะลงตัวที่แคนคูน เพราะสายการบินจากสนามบินใกล้บ้านที่จะลงใต้ไปยังเม็กซิโกมีเพียง 2 เมือง คือ Puerto Vallarta และ Cancun สุดท้ายเราก็โหวตเลือก Cancun ด้วยเหตุผลของเวลาในการเดินทางที่น้อยกว่าและ ‘สีของน้ำทะเล’ 

แคนคูน คือเมืองหนึ่งของเม็กซิโก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกบนทะเลแคริบเบียน โดยทางใต้ของเม็กซิโกนั้นเป็นแนวทะเลทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันตกคือทะเลแปซิฟิก และฝั่งตะวันออกคือทะเลแคริบเบียน (ว่ากันว่าสีของน้ำทะเลและเม็ดทรายฝั่งแปซิฟิกจะเข้มกว่า และ Puerto Vallarta ก็อยู่ฝั่งนี้)

การเดินทางครั้งนี้เรียกว่า ปุบปับทัวร์ แบบคิดแล้วก็ไปเลย ความปุบปับตามอารมณ์มาพร้อมกับงบและเวลาที่จำกัด เราจึงซื้อตั๋วบินตรงจาก Waterloo Airport สนามบินเล็ก ๆ ใกล้บ้านที่มีเครื่องไปยัง Cancun เพียงวันจันทร์ พุธ และเสาร์ เราเลือกเช้าวันจันทร์และกลับคืนวันพุธ เวลา 3 วัน 2 คืนก็คงเพียงพอกับการรีเซตพลังบวกให้หัวใจ 

พวกเราไปถึงสนามบินตั้งแต่เช้าตรู่ รอไม่นานก็ขึ้นเครื่อง และ Take Off เวลา 7 โมงครึ่ง การเดินทางไปยัง Cancun เมืองชายหาดติดทะเลแคริบเบียนในครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น พวกเราแพลนกันไว้แล้วว่าจะไปกิน Taco และอาหารเม็กซิกันเป็นมื้อเที่ยง นี่แหละนะที่คนอเมริกาเหนือบอกว่าแคนคูนคือสวนหลังบ้าน 

วันนี้ไปกินข้าวที่สวนหลังบ้านซะหน่อย!

เครื่องถึงแคนคูนตอน 11 โมงครึ่ง ในสนามบินอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว แน่นอนว่า 90% บินตรงมาจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หลายคนยังคงมีเสื้อโคตตัวใหญ่ใส่คลุมกันความหนาวมาจากบ้าน พร้อมกระเป๋าเดินทางใบโต ๆ 2 – 3 ใบ ส่วนใหญ่แล้วคนมักหนีหนาวมาชาร์จพลังบวกกันนานเป็นสัปดาห์

พวกเราเดินตัวปลิวผ่านผู้คนที่นั่งรอรับกระเป๋าโหลด ข้อดีของการมาเที่ยวแบบปุบปับไม่นานก็ดีตรงที่มีสัมภาระน้อยนิด ไม่ต้องรอกระเป๋าใต้ท้องเครื่องนี่แหละ

ออกมานอกสนามบินปุ๊บ ลมร้อนก็พัดปะทะใบหน้า ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ท้องฟ้าสีครามกับต้นมะพร้าวสูงชะลูด ทำให้เราตกอยู่ในภวังค์ รู้สึกเหมือนได้กลับเมืองไทยอีกครั้ง อากาศและบรรยากาศของแคนคูนไม่ต่างจากภาคใต้ของไทย วันนี้แคนคูน 27 องศาเซลเซียส ซึ่งนับว่าอากาศดีมากเมื่อเทียบกับที่ที่เราเพิ่งจากมา 

น่าอัศจรรย์ที่เวลาเพียง 3 ชั่วโมงครึ่งเราก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างราวกับคนละโลกแล้ว

สนามบินนานาชาติแคนคูนอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร การเดินทางเข้าตัวเมืองมีทั้งรถแท็กซี่ (ซึ่งแพงมาก) รถตู้ของโรงแรมซึ่งต้องจองกันแบบแพ็กเกจ และรถบัสของทางรัฐบาลที่ราคาถูกกว่า 2 แบบแรกถึง 4 เท่า และแน่นอนด้วยงบที่จำกัด คำตอบเดียวของพวกเราคือบัส 

เราใช้บริการ ADO บัส ซึ่งซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์ในสนามบิน สนามบินแคนคูนต่างจากสนามบินอื่นตรงที่ความพยายามแย่งกันให้บริการของแท็กซี่และทัวร์แบบเหมา ซึ่งราคาสูงกว่าปกติ 10 เท่าตัว หากเรามาแบบถือกระดาษจองที่พักในมือ หรือออกจากสนามบินมาแบบเงอะ ๆ งะ ๆ หันซ้ายแลขวา เราจะถูกรุมเข้ามาเสนอทัวร์เหมาราคาสูงทันที 

สิ่งที่ต้องทำเพื่อรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ คือทำเหมือนเราเคยมาที่นี่นับไม่ถ้วน และคุ้นชินกับทุกอย่าง ต้องเดินออกจากสนามบินอย่างมั่นใจ และไม่สบตากับผู้ที่เรียกเราเพื่อเสนอขายบริการใด ๆ ทั้งสิ้น และพวกเราทำมันได้ดี 

Check Point รอดไปอีกหนึ่งด่าน

ADO เป็นรถบัสคันสีแดง จอดทางด้านขวามือของสนามบิน เราต้องซื้อตั๋วจากเคาน์เตอร์ในสนามบินก่อน ซึ่งมี 2 – 3 จุดด้วยกัน ตอนซื้อก็บอกว่าจะไปลงที่ไหน เพราะ ADO มีหลายเส้นทาง สถานีปลายทางที่เราเลือกคือ Cancun Centro เป็นสถานีดาวน์ทาวน์ของแคนคูน และเรียก Uber จากที่นี่ไปยังที่พักซึ่งอยู่ใน Hotel Zone ได้เพียง 20 นาที 

อาจสงสัยว่าทำไมไม่เรียก Uber จากสนามบินเลย คำตอบก็คือ Uber กับแท็กซี่ของแคนคูนนั้นมีการแก่งแย่งกันสูงมาก ถึงขั้นทะเลาะและลงไม้ลงมือกัน จนเป็นข่าวหน้าใหญ่หน้าหนึ่ง จึงเป็นไปได้ยากมากที่จะหารถเข้ามารับในสนามบิน ไม่เชื่อก็ลองกดดู รับรองว่าไม่มีใครกดรับเลยล่ะ 

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากของแคนคูน คือการจัดผังเมือง มีการจัดแยกชัดเจนของพื้นที่ส่วนดาวน์ทาวน์ เมืองเก่าบ้านเรือนสไตล์เม็กซิกัน กับส่วนของโรงแรมหรือ Hotel Zone ซึ่งเป็นที่ตั้งเรียงรายของโรงแรมมากมายหลายขนาดไปตลอดแนวชายหาด 

อย่างไรก็ตาม แม้แคนคูนจะเป็นที่เที่ยวยอดนิยมจนขึ้นชื่อว่าเป็นสวนหลังบ้านของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าความปลอดภัยในเม็กซิโกนั้นยังเป็นที่น่ากังวล คนส่วนใหญ่จึงจองห้องพักระดับ 4 – 5 ดาว ประเภท All Inclusive หรือการเหมารวมทุกอย่าง ทั้งห้อง อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการเดินทาง พูดง่าย ๆ คือถึงสนามบินปุ๊บก็มีรถมารับปั๊บ แล้วพาไปส่งโรงแรมที่พัก กิน นอน เล่นน้ำ ว่ายน้ำในนั้นเลย

สำหรับเรา การเดินทางของเรากับรถบัส ADO ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่กังวล ประมาณ 30 นาทีก็พามาถึง Cancun Centro เคล็ดลับง่าย ๆ ของการเดินทางแบบมือใหม่กับการเที่ยวครั้งแรกในเมืองที่ไม่คุ้นชิน คือเราจำเป็นต้องแอคติงให้เหมือนว่ามาที่นี่แล้วเป็นสิบครั้ง และแน่นอน! พวกเราทำได้ดีทีเดียว 

อีกอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ในการเที่ยวแต่ละที่คือความปลอดภัย สำหรับเม็กซิโกแล้ว อัตราการปล้นจี้และยาเสพติดขึ้นชื่อในระดับต้น ๆ การหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพร่ำเพรื่อถือเป็นความเสี่ยง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่าคนเม็กซิกันน่ารักและเป็นมิตรไม่ต่างจากคนไทย คนที่นี่ใช้ภาษาสเปนในการสื่อสาร แล้วก็อีกนั่นแหละ ความเหมือนคนไทย คือหากคุณพูดภาษาสเปนได้ ทุกคนจะยิ่งรักคุณ 

พวกเราเองก็เรียนรู้มา 2 – 3 คำไว้เอาตัวรอด และใช้ได้ผลดีเลยทีเดียว 

Ho-La (โอ ล่า) = สวัสดี 

Gracias (กรา เซียส) = ขอบคุณ

Deliciouso (ดิ ลิ ซิ โอ โซ) = อร่อย 

Restaurante (เรส เทอ ราน เท) = ร้านอาหาร

“โอล่า” หญิงสาวร่างท้วมกล่าวต้อนรับเราพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะผายมือให้นั่งตรงมุมด้านหน้า ร้านนี้อยู่ใกล้และอร่อยสุดในย่านสถานี Cancun Centro (ที่เราเช็กมาจากกูเกิลแล้ว) 

หลังจากกิน Taco กับอาหารเม็กซิกันชื่อยากอีก 2 จานจนอิ่ม ก็ถึงเวลาไปต่อ

พวกเราเรียก Uber ไปส่งที่โรงแรม การเรียก Uber จากในเมืองง่ายกว่าเรียกจากสนามบินมาก ไม่กี่นาทีก็มาถึง เป็นรถคันเล็ก ๆ น่ารัก คนขับเป็นคุณลุงช่างพูด พี่แกเล่าเรื่องต่าง ๆ ชี้โน่นชี้นี่ให้ดู แต่น่าเสียดายที่พี่แกพูดภาษาสเปน ซึ่งเราได้แต่พูดว่า Yeah.. Yes ตามแกไป

สองข้างทางของแคนคูนเต็มไปด้วยต้นปาล์มและต้นมะพร้าวสูงชะลูด บรรยากาศเหมือนหนัง James Bond 007 ภาคที่ เจมส์ บอนด์ ไปติดเกาะ นี่ถ้ารถของเราเปิดประทุนได้สักนิด ภาพที่ออกมาก็คงไม่ต่างกัน 

“กราเซียส” เราปิดประตูและโค้งขอบคุณ เมื่อลุงขับพามาถึงโรงแรมใหญ่ เป็นตึกสีขาวสูงชะลูดราวกับอยู่ใจกลางนิวยอร์ก

ใช่แล้วล่ะ! แม้จะมาด้วยตั๋วเครื่องบินราคาถูก แต่เราเลือกจองโรงแรมระดับ 4 ดาว ซึ่งมีโปรโมชัน Winter Break พอดี ห้องของพวกเรามาพร้อมแพ็กเกจอาหารเช้า เราไม่ได้เลือกแบบ All Inclusive เพราะไม่ได้คิดว่าจะกินอะไรมากมายขนาดนั้น และการมาเที่ยวเพียง 3 วันก็ไม่คิดว่าจะมีเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แบบเหมารวม 

เราแค่ตั้งใจมานอนดูทะเลเท่านั้นเอง

การจองห้องพักครั้งนี้มีเทคนิค คือเราเลือกจองตรงกับโรงแรม เพราะเมื่อเทียบราคากับ Expedia และ Booking แล้ว ถือว่าถูกกว่ามาก ข้อดีของที่นี่คือเช็กเอาต์ได้ตอนเที่ยง จึงไม่ต้องรีบร้อนในวันกลับ 

เมื่อเช็กอินเสร็จก็ถึงเวลาเปิดห้อง แม้จะเที่ยวในงบที่จำกัด แต่เราลงทุนในเรื่องห้องและวิว ซึ่งวิวที่เราได้มาก็คุ้มค่ามาก

ทะเลสีเทอร์คอยส์กับทรายสีขาวเม็ดละเอียด คือเสน่ห์ของทะเลแคริบเบียน พวกเราตกอยู่ในความงามไปชั่วขณะ วิวจากห้องนอนชั้นบนสุดของโรงแรม ทำให้มองเห็นการไล่สีของน้ำทะเลได้อย่างชัดเจน และนี่คงเป็นที่มาของคำว่า ธรรมชาติสร้างสรรค์ความงามได้อย่างลงตัวเสมอ

พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าลงชายหาด มาทะเลทั้งที จะมีสุขใดเท่าเดินเท้าเปล่าบนทรายละเอียดอีกเล่า

เราเดินผ่านสระว่ายน้ำที่เต็มไปด้วยเตียงชายหาด หลายคนนอนอาบแดดจนผิวแดง หลายคนนอนอ่านหนังสือชิลล์ ๆ พร้อมกับจิบเครื่องดื่มใจเย็น เด็กและผู้ใหญ่ว่ายเล่นน้ำในสระว่ายน้ำที่ออกแบบรูปร่างและพื้นที่เหมือนลำธาร เสียงหัวเราะเคล้าคลอกับเพลง Beach Lounge ที่เล่นโดยดีเจของโรงแรม จังหวะดนตรีราวกับกำลังเร่งความสุขให้ทุกคน 

บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผู้คนหลุดออกสู่ความอิสระ ปล่อยความรู้สึกนึกคิดให้ล่องลอยเรื่อย ๆ หลุดจากโลกภายนอกที่เคร่งเครียดได้อย่างง่ายดาย 

เรา 3 คนนั่งลิ้มรสน้ำสับปะรดปั่นที่ Beach Bar ทรงกลมน่ารักของโรงแรม น้ำสับปะรดปั่นทำให้หายคิดถึงเมืองไทย เรามองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าโดยไม่พูดอะไรกัน หัวใจของเรากำลังออกเดินทางสู่ความอิสระ คงไม่ต่างจากคนที่นี่ที่ใบหน้าและดวงตาแต้มไปด้วยรอยยิ้ม อิ่มล้นด้วยความสุขจนไม่อยากพูดและอธิบายอะไรออกมา 

เราหันมองหน้ากันแล้วยิ้ม ในที่สุดเราก็หาดวงอาทิตย์เจอ ในที่สุดเราก็พบกับแบตเตอรี่เสริมให้กับหัวใจ

นี่สินะเสน่ห์และพลังของการท่องเที่ยวที่ต้องสัมผัสด้วยตัวเอง เพียงแค่ตัดสินใจและเริ่มเดินทาง

Hola Cancún, I have fallen in love with you!

Writer & Photographer

รุ้งกาญจน์แอนด์เดอะแกงค์

รุ้งกาญจน์แอนด์เดอะแกงค์

รุ้งกาญจน์ เจ้านางแห่งเมืองเหนือ ผู้อพยพเหมือนนกย้ายรังมาอยู่แคนาดา ความฝันวัยสาวคือเที่ยวคนเดียว ความฝันตอนนี้คือพาลูกเที่ยว