หากใครเดินทางมาด้วยรถยนต์ รบกวนจอดที่โรงจอดรถ

หากใครเดินทางมาด้วยเรือ รบกวนจอดเรือไว้ที่ท่าน้ำ

หากใครเดินทางมาด้วยเฮลิคอปเตอร์ รบกวนจอดที่สนามหญ้าหน้าโบสถ์วัดลาวทอง

นั่นคือคำแนะนำสำหรับผู้มาเยือน ‘คาเฟ่แม่’ คาเฟ่ในสวนใจกลางเมืองสุพรรณบุรี

เหตุที่ต้องแนะนำวิธีจอดยานพาหนะหลากชนิดเช่นนั้น เพราะทำเลของคาเฟ่แม่ติดกับริมแม่น้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ซึ่งพายเรือมาเทียบท่านี้ได้ แถมห่างจากวัดลาวทองเพียง 850 เมตร ซึ่งพื้นที่วัดมีทุ่งกว้างพอจะจอดเฮลิคอปเตอร์ได้สักลำ แถมพื้นที่สวนของบ้านเก่าหลังนี้ก็ยังมีโรงจอดรถสำหรับรถยนต์ด้วย แม้เรียกบ้านหลังนี้ว่าบ้านเก่า แต่ยังมีลูกหลานอาศัยอยู่รุ่นสู่รุ่น ทำให้บ้านมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ หนิง ลูกหลานรุ่นที่ 4 จึงแปลงโฉมพื้นที่สวนของบ้านให้เป็นคาเฟ่ขนมไทยและอาหารไทยรสมือแม่

บ้านหลังนี้สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับวัดลาวทองที่ตั้งอยู่ตรงข้ามคาเฟ่ ถ้านับอายุคร่าว ๆ คงไม่ต่ำกว่า 150 ปี ต้นตระกูลของหนิงคือผู้สร้างวัดลาวทอง และบ้านหลังนี้ส่งต่อมาจากคุณทวด จากนั้นมอบต่อให้รุ่นคุณยาย รุ่นคุณแม่ จนมาถึงรุ่นปัจจุบัน คือรุ่นของหนิงกับ ยศ

ยศ คือพี่ชายแท้ ๆ ของหนิง และสิ่งที่ชี้ชัดว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน คือฝีมือการทำอาหาร เพราะทั้งคู่ปรุงอาหารอร่อยเสมือนรสมือแม่ ครอบครัวของยศและหนิงชอบเข้าครัวทำอาหารอยู่แล้ว ขนาดขนมไทยที่ว่าทำยากจนหลายบ้านเลิกทำทานเอง แต่บ้านของสองพี่น้องนี้ก็ยังคงทำทานเองมาจนถึงวันนี้

“สิ่งแรกที่เราจำได้ คือคุณยายมักตระเวนไปทั่วหมู่บ้านตั้งแต่เช้า พร้อมหิ้วตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยข้าวต้มมัด เดินขายไม่นานก็เกลี้ยงตะกร้า นั่นเป็นการแบ่งปันรสชาติที่ครอบครัวเราทำกินกันเองให้คนอื่นได้ลองชิมด้วย ตั้งแต่นั้นมา คนส่วนใหญ่ก็ติดใจรสมือของที่บ้านกันหมดเลยค่ะ” หนิงเล่า

เมื่อได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากเพื่อนบ้าน ยศเป็นคนแรก (ในลูกหลานรุ่นที่ 4) ที่พารสชาติอาหารของครอบครัวไปเปิดร้านอาหาร ณ ที่พักนอกตัวเมืองเชียงใหม่อย่างหุบเขาคนโฉด ระหว่างนั้นหนิงก็ไปหาพี่ชายเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยตระเตรียมอาหารในช่วงเทศกาลสำคัญ ในช่วงเวลานั้นสองพี่น้องเห็นตรงกันว่า หนิงเองก็ควรนำรสมือทำอาหารของตัวเองมาให้คนสุพรรณฯ ได้ลองลิ้มเช่นกัน 

คาเฟ่แม่เปิดมา 1 ปีนิด ๆ สไตล์อาหารของที่นี่แตกต่างจากหุบเขาคนโฉดเล็กน้อย ที่นี่เสิร์ฟอาหารภาคกลางทั้งคาวและหวาน นอกจากหนิงลงครัวเองแล้ว ยังมีคุณยาย 3 ท่าน คุณแม่ของหนิง อายุ 74 ปีคุณน้าคนรอง อายุ 70 ปี และคุณน้าคนสุดท้อง อายุ 66 ปี มารวมพลังเป็นแม่ครัวหลัก

คุณยายทั้ง 3 ท่านกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ด้วยกันหลังเกษียณ ปลูกต้นไม้ ดูแลสวน และลงครัวทำอาหารคาว-หวานให้คาเฟ่แม่ บรรยากาศของที่นี่จึงอวลด้วยความอบอุ่น และประดับประดาด้วยต้นไม้เขียวขจี

เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี่ถึงได้ชื่อว่า คาเฟ่แม่

เพราะพวกเขาเสิร์ฟอาหารรสมือแม่ ส่วนหนิงและยศก็ผูกพันกับคุณแม่มาก การตั้งชื่อว่า ‘คาเฟ่แม่’ แทนที่จะเป็น ‘คาเฟ่บ้านแม่’ หนิงให้เหตุผลว่า เพราะเวลาอยู่บ้าน เธอมักเรียกหาคุณแม่ในทุกเรื่อง เช่น “แม่ ทำกับข้าวให้กินหน่อย” “อย่าบอกแม่นะ เดี๋ยวแม่ว่า” หรือ “แม่ ของที่เพิ่งซื้อมาอยู่ตรงไหน”

ฉะนั้น คาเฟ่นี้จึงใช้คำว่า ‘แม่’ สั้น ๆ คำเดียว แต่กลับได้ใจความ

ความน่ารักยิ่งไปกว่านั้น คือ คาเฟ่นี้เปิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งตรงกันกับวันแม่พอดิบพอดี

ไม่เพียงอิ่มท้องกับอาหารอร่อย และอิ่มใจกับบรรยากาศดี ทุกคนที่มาเยือนที่นี่ยังจะได้รู้สึกเสมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อน โดยมีคุณแม่ของเพื่อนทำอาหารให้กิน และคาเฟ่แห่งนี้ยังเปิดเพลงลูกกรุงแสนไพเราะคลอเคล้าไปกับบรรยากาศริมน้ำ ชวนให้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่คิดถึงวันวานสมัยหนุ่มสาว ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากพาเด็ก ๆ มาพักผ่อนที่นี่ก็ย่อมได้ บริเวณศาลาริมน้ำ นอกจากจอดเรือได้แล้ว ยังมีอาหารปลาไว้ให้บริการด้วย เพราะแม่น้ำในบริเวณนี้มีปลาธรรมชาติชุกชุม 

คาเฟ่แม่เสิร์ฟทั้งอาหารคาวและหวาน วัตถุดิบส่วนใหญ่นำมาจากสวนของที่บ้าน มีสารพัดพืชผักและดอกไม้ อย่างดอกแค ดอกอัญชัน และพืชสวนครัวอีกหลายชนิด ซึ่งวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ต้องซื้อจากตลาด คุณแม่ของหนิงก็จะปั่นจักรยานไปซื้อเอง วัตถุดิบทุกอย่างของที่นี่สดใหม่ทุกวันและคัดสรรอย่างพิถีพิถันเสมอ นั่นก็เพราะพวกเขาปรุงอาหารเหมือนทำให้คนในครอบครัวทาน

อาหารไทยที่ห้ามพลาดของที่นี่ คือผัดกะเพรา หมู ไก่ กุ้ง การันตีว่าอร่อยแน่ด้วยกะเพราสูตรโบราณ ผัดแห้ง ๆ น้ำกะเพราไม่เจิ่งนอง ถึงเครื่องถึงรสทุกคำ อีกจานที่อยากแนะนำ คือหมวดทอดกระเทียม

นอกจากอาหารจานเดียวแล้ว คาเฟ่แม่ยังมีเซตอาหาร ‘คุณยายระวิง’ ชื่อนี้มาจากชื่อคุณยายของหนิง ภายในเซตประกอบด้วย เมนูกุ้งแม่น้ำทอดเกลือ ไข่ลูกเขยซึ่งไม่หวานอย่างที่เราเคยกินกัน ยำดอกแคที่เก็บดอกแคเองจากสวนบริเวณบ้าน ต้มข่าปลาสลิดเนื้อเน้น ๆ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ ขนมไทยอร่อย ๆ และเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง ‘โอ้โห’ ทำจากน้ำผึ้งป่าผสมมะกรูดและมะนาวปั่น ดื่มแล้วสดชื่น เหมาะกับอากาศบ้านเราเป็นที่สุด ดื่มแล้วจะต้องร้อง โอ้โห แน่นอน

ขนมไทยของคาเฟ่แม่อร่อยไม่แพ้กัน ไม่หวานเลี่ยน รสกลมกล่อม กินได้เยอะและเพลินจนติดลม เบื้องหลังรสหวานกำลังดีมาจากวัตถุดิบสดใหม่ ไม่ผสมแป้ง นั่งขูด-คั้นมะพร้าวจนได้กะทิสด จนถึงปั่นกากมะพร้าวเผาเพื่อนำไปทำขนมเปียกปูน และสีที่ใส่ในขนมก็เป็นสีธรรมชาติจากดอกไม้ในสวน

ขนมหวานห้ามพลาดที่สุดคงไม่มี เพราะมาที่นี่ควรลองทุกอย่าง เช่น ข้าวต้มมัดที่ให้รสหวานตามธรรมชาติจากกล้วยน้ำว้าสุกที่สอดไส้อยู่ด้านใน เม็ดขนุนทำจากเมล็ดถั่วเขียว เนื้อนุ่มละมุนเหมือนเนื้อลูกชุบ กินแล้วไม่ฝืดคอ ส่วนฝอยก็ทองหวานกำลังดี รสมันกลมกล่อมด้วยไข่แดงเป็ดแท้ ๆ 

ขนมไทยเมนูพิเศษที่มีเฉพาะฤดูกาล คือขนมตาลและไข่ปลา 2 เมนูนี้ใส่เนื้อตาลแท้ ๆ ไม่ใส่สี ไม่แต่งกลิ่น เป็นขนมที่ต้องสั่งล่วงหน้าเท่านั้น เพราะเมื่อทำเสร็จแล้วต้องกินร้อน ๆ ถึงจะอร่อย

2 เมนูนี้คุณแม่และหนิงช่วยกันนั่งยีลูกตาลอย่างขะมักเขม้น พร้อมปรุงขนมตาลตามสัดส่วนที่ถูกต้อง เพราะขนมตาลเป็นหนึ่งในขนมไทยที่ทำยากและเดาทางยากที่สุดด้วย ต้องใช้ทั้งเวลา ความประณีต ความชำนาญ และต้องใช้จริตในการทำขนมไทยที่สืบทอดต่อกันมาอีกด้วย

“เราได้นำอาหารอร่อย ๆ ที่เคยกินกันในครอบครัวมาให้คนอื่นลองชิม เราจึงเข้าใจทุกกระบวนการของทุกจาน ตั้งแต่วัตถุดิบที่เลือกมากับมือจนถึงขั้นตอนสุดท้าย เราบอกเล่าเรื่องราวของทุกจานให้ลูกค้าฟังได้ ทุกคนที่มาที่นี่มักบอกกับเราว่า เหมือนได้ไปกินข้าวบ้านเพื่อนจริง ๆ และเราใช้ความเป็นตัวเองและความเป็นครอบครัวดั้งเดิมที่อยู่ตรงนี้กันมานาน เป็นจุดหลอมรวมให้ทุกคนได้ชิมรสชาติที่ไม่เหมือนใคร ทุกวันนี้เรามีความสุขเล็ก ๆ ในอาณาจักรบ้านเก่าของเรา” เจ้าบ้านเล่าพร้อมรอยยิ้ม

คาเฟ่แม่
  • บ้านวัดลาวทอง (ตรงข้ามวัดลาวทอง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี (แผนที่)
  • 06 3564 299

Writer

Avatar

กชกร ด่านกระโทก

มนุษย์แมนนวล ผู้หลงใหลในกลิ่นและสัมผัสของหนังสือ ใช้เวลาว่างไปกับการอ่านนิยาย/มังงะ สนุกไปกับการเดินทาง และชื่นชอบในการเรียนรู้โลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์

Photographer

ชลิต สภาภักดิ์

ชลิต สภาภักดิ์

ช่างภาพสารคดีอิสระ เติบโตมาจากชนบทในจังหวัดสุพรรณบุรี ทํางานสื่อสารเรื่องราวของผู้คนและสิ่งแวดล้อม และเป็นนักสะสมโฟโต้บุ๊ค