ราว 5 – 6 ปีที่แล้ว เราได้ฟังเพลงเพลงหนึ่ง ถ้าเปรียบเพลงนั้นเป็นอาหารจานอร่อย
อาหารจานนั้นมีส่วนผสมของดนตรีฟังก์ โซล ฟังสนุก โยกสนุก เมื่อหูเพลิดเพลิน ความจริงก็เปิดเผย เมื่อเนื้อเพลงท่อนแรกเผลอเข้าปาก นี่มันภาษาใต้! ทันทีทันใด กลิ่นอายทิวทัศน์ของสวนยาง รถเครื่องซูซูกิรุ่นเก่า พี่บ่าว-สาวนุ้ย ก็คละคลุ้งอยู่ในโสตประสาท กลมกล่อมจนต้องอุทานว่า หรอยอย่างแรงนิ
ต้องยกคำชมให้ BOYJOZZ (บอยจ๊อส) หรือ ไชยวัฒน์ บุญสูงเนิน ศิลปินจากจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ทำเพลงภาษาท้องถิ่นออกมาได้หรอยหนัด จนคนฟังทั่วฟ้าเมืองไทยยกนิ้วชื่นชม
จุดประสงค์การทำเพลงของบอยจ๊อสคือการยกระดับเพลงภาษาถิ่น และเปลี่ยนภาพจำให้เพลงใต้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงเพื่อชีวิตหรือเพลงลูกทุ่ง แต่เพลงใต้และภาษาใต้ก็มีศักยภาพที่จะกลายร่างเป็นฟังก์ เป็นโซลได้ ซึ่งเขาเป็นเพียงลูกคลื่นเล็ก ๆ ในมหาสมุทรดนตรีที่ทลายกรอบและข้ามพรมแดนภาษา-แนวดนตรี จนจุดประกายสร้างสรรค์และแสดงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้วงการเพลงของประเทศไทย
นี่คือเบื้องหลังการปรุงพิซซาหน้าไตปลาตั้งแต่เริ่มจนยกเสิร์ฟ เอ้า Allez Cuisine!
จากคาราบาวถึงอัลเทอร์เนทีฟ
ก่อนจับไมค์ร้องเพลง คุณทำอะไรมาก่อน – เราเริ่มต้นบทสนทนา
“เราเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ทำงานเบื้องหลังในวงการภาพยนตร์และโฆษณา เคยทำให้กับภาพยนตร์เรื่อง ผีช่องแอร์, วัยอลวน 4, สายลับจับบ้านเล็ก, แหยมยโสธร, ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ, Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฯลฯ เราอยู่วงการนี้มา 20 ปีพอดี” เขาตอบ
แล้วคุณมาสนใจด้านเพลงและดนตรีตั้งแต่ตอนไหน – เราถามต่อ
“เล่าตั้งแต่ตอนเด็กเลยไหม” เขาถามกลับพร้อมเสียงหัวเราะ เราพยักหน้าแทนคำตอบ
“น้าชาย-น้าสาวของเราเขาทำวงดนตรีในหมู่บ้านที่อำเภอทุ่งสง เล่นตามงานวัด งานบวช เวลามีงานแสดงเราก็ไปอยู่หน้าเวทีตลอด ยุคนั้นเขาเล่นเพลงของ คาราบาว ทำให้เราอินกับเพลงเพื่อชีวิตตั้งแต่นั้น แล้วเราก็สนุกและมีความสุขกับการเห็นน้า ๆ ซ้อมร้องเพลงและซ้อมเล่นดนตรีอยู่หลังบ้าน
“จน ป.3 เราสมัครเข้าวงดุริยางค์ของโรงเรียน เพราะจริง ๆ อยากเป็นดรัมเมเยอร์แต่ตัวเตี้ย เลยเล่นเมโลเดียน พอเข้า ป.6 ก็ขยับมาเล่นกลองแต๊ก เพราะอยากอยู่ด้านหน้าในพาเหรดกีฬาสี”
บอยซึบซับเสียงดนตรีมาตั้งแต่วัยเยาว์ แนวเพลงและดนตรีก็ขยับตามความสนใจ
“ช่วง ม.1 เราอยากเล่นกีตาร์ พี่ชายก็สอนคอร์ดง่าย ๆ เริ่มเล่นเพลงแรกของ น้าหงา คาราวาน เพราะแถวบ้านชอบฟังเพื่อชีวิต พอ ม.3 ก็เริ่มเล่นเพลงป๊อปของค่ายอาร์เอส แกรมมี่ เพราะไปจีบสาว เลยอยากเล่นโชว์เขา พอเราเรียนจบ ม.3 เป็นยุคของเพลงอัลเทอร์เนทีฟ จำได้เลยว่ากำลังดูรายการ ทไวไลท์โชว์ แล้ว ป๊อด โมเดิร์นด็อก มาเป็นแขกรับเชิญ เขาส่องแสงมาก คิดในใจว่าเราต้องมีวงดนตรีให้ได้ และ นั่นทำให้เราหลงใหลแนวดนตรีอัลเทอร์เนทีฟมาตั้งแต่ตอนนั้น” เขาเล่าด้วยแววตาประกาย
หลังเรียนจบมัธยมต้น เขาเลือกเรียนต่อในกรุงเทพฯ เพราะฝันอยากมีวงดนตรีแบบโมเดิร์นด็อก และเขาทำฝันเป็นจริงในช่วงที่กำลังเรียน ปวช. ปี 2 ด้วยการตั้งวงดนตรีกับเพื่อน ๆ และซ้อมเล่นกันทุกเย็นหลังเลิกเรียน เพื่ออัดเทปส่งเดโมไปแข่งขันประกวดวงดนตรีของ Hot Wave Music Awards
“ซึ่งผลการแข่งขัน คือ ตกรอบ” อดีตมือกีตาร์วงมะเขือพวงหัวเราะ
“ตอนนั้นก็ผิดหวังนะ เรามีแค่ความฝันกับความมุ่งมั่น แต่ฝีไม้ลายมือยังไม่เก่งขนาดนั้น”
ช่วงชีวิตในกรุงเทพฯ ของเด็กเมืองคอนคนนี้ คลายเหงาด้วยการเกากีตาร์ไฟฟ้าทรง Gibson Les Paul (เขาขายรถชอปเปอร์คันเล็ก ๆ เพื่อซื้อกีตาร์ตัวนี้) และเสพเพลงสากลวงต่างประเทศ อย่าง Guns N’ Roses, Slash, Nirvana, Oasis, Blur, Radiohead ซึ่งได้อิทธิพลการฟังเพลงเหล่านี้จากพี่ชาย
จากนักเรียนช่างอิเล็กทรอนิกส์ เบนสายเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่คณะศิลปกรรมออกแบบประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เพราะเขาเชื่อว่าศิลปะกับดนตรีเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน
จากทีมอาร์ตกองถ่ายถึงศิลปินเพลงใต้
บอยไม่เคยเรียนด้านศิลปะมาก่อน จนเริ่มอินกับประวัติศาสตร์ศิลปะ และสนุกกับการเรียนรู้ด้วยความรู้จากเพื่อนร่วมคณะ จวบจบปีสุดท้ายของการศึกษา เพื่อนของเพื่อนทำงานวงการภาพยนตร์ชักชวนเขาไปช่วยงานทีมศิลปกรรมในกองถ่ายภาพยนตร์ และภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาร่วมทำ คือ ผีช่องแอร์
“ทำงานครั้งแรกได้เงิน 500 บาท เยอะกว่าค่าแรงขั้นต่ำยุคนี้อีก พอทำหนังทั้งเรื่องระยะเวลา 3 – 4 เดือน เขาให้ค่าตัว 60,000 บาท สวรรค์เลย เราก็เอาสิ รออะไร ตอนนั้นดร็อปเรียนทันที” เขาเล่า
หลังจาก พ.ศ. 2546 บอยก็โลดเล่นอยู่วงการเบื้องหลังภาพยนตร์และโฆษณาจวบจนปัจจุบัน
“พ่อแม่ก็ถามนะ ทำไมลูกไม่เรียนให้จบ เพราะความภูมิใจของเขาคืออยากเห็นเรารับปริญญา เราก็ผิดหวังที่ทำให้เขาไม่ได้ แต่โชคดีที่พ่อแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่ประมาณหนึ่ง รู้ว่าลูกชอบทำอะไรก็สนับสนุนให้ทำสิ่งนั้น เราดันไปเสพติดการทำหนัง เสพติดรายได้จากวงการนี้ แล้วมันก็ยาวเลย 20 ปี”
แล้วคุณเอาเวลาที่ไหนไปนั่งทำเพลง – เราถามถึงความสนใจที่เขาพกติดตัวมาตั้งแต่เด็ก
“นี่มันคือข้อดีของการทำงานฟรีแลนซ์” เขายิ้ม “เราอาศัยช่วงว่างจากการรับงานมาทำเพลง เพิ่งทำจริงจังเมื่อปี 2017 มีน้องที่ทำงานจุดประกายให้เรา เขาบอกเราว่า แต่งเพลง ทำเพลงกันดีกว่าพี่”
บอยตอบสั้นกุดว่า “เอาดิ” หลังจากนั้นก็เกิด วง SWINGING ขึ้นมา ทำเพลงแนวป๊อปร็อกที่เขาทำร่วมกับกลุ่มเพื่อนในก๊วนเฟ็ดเฟ่ (Fedfe) ยูทูบเบอร์รุ่นบุกเบิกของแก๊งชายหนุ่มที่ทำคอนเทนต์พิศดาร
เมื่อสมาชิกเฟ็ดเฟ่เริ่มขยับขยายไปทำสิ่งที่ตนชอบ วง SWINGING ก็เริ่มจางหายจากหน้าฟีดยูทูบ เหลือเพียงแนวดนตรีที่บอยทำเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ ประกอบกับช่วงนั้นเขาคลั่งซื้อแผ่นเสียงแนวแจ๊ส ฟังก์ บลูส์ และสนุกกับการเบลนด์กันของแนวดนตรีที่ว่า จนเกิดความคิดอยากทำเพลงฟังก์เป็นของตัวเอง
“เราไม่อยากทำเพลงป๊อป-ร็อกแล้ว มันมีเยอะในบ้านเรา ถ้าทำคงไม่ต่างจากคนอื่น งั้นทำเพลงแนวฟังก์ดีกว่า เริ่มจากทำดนตรีในแอปพลิเคชันมือถือ เคาะ ๆ วาง ๆ ฟังแล้วโคตรได้เลยว่ะ! ก็เอามาทำต่อในคอมพิวเตอร์ ทำดนตรีเสร็จสรรพ แต่ยังไม่มีเนื้อร้อง ก็เปิดให้ น้องกอฟฟู เฟ็ดเฟ่ ฟัง เขาบอกเราว่า เขามีอีสานโซลแล้ว ทำฟังก์ใต้เลยพี่ ไม่ต้องทำแล้ววง SWINGING เดบิวต์ออกศิลปินเดี่ยวไปเลย”
ในฐานะคนใต้และคนทำเพลงภาษาใต้ คุณว่าเสน่ห์ของภาษาใต้คืออะไร
“ภาษาใต้เป็นภาษาที่ตลกนะ เราว่าเสน่ห์คือความห้วน เหมือนจะหยาบแต่ก็ไม่” เขายิ้ม
คำแนะนำสัมฤทธิ์ผล บอยเริ่มจากแต่งท่อนฮุกของเพลง เพราะเป็นหัวใจที่คนจำเพลงของเขาได้ ซึ่งแรงบันดาลใจไม่ได้มาจากแห่งหนใดที่ใกล้โพ้น แต่มาจากความทรงจำของเด็กใต้บ้าน ๆ คนหนึ่ง
“เรานึกถึงตอนเป็นวัยรุ่นสมัยอยู่นคร ขับมอเตอร์ไซค์ไปจีบสาว เราอยากให้เพลงเล่าเรื่องแบบนั้น เรื่องความรักของเด็กใต้ และเด็กคนนั้นต้องเป็นเรา ก็ลองใส่คำว่า ‘อีสาวเห้อ’ ลงไป เพราะอยากให้เกิดความคอนทราสต์ระหว่างแนวดนตรีกับภาษาท้องถิ่น มันเป็นคำบ้าน ๆ ที่ไปคู่กันกับดนตรีเท่ ๆ
“หลังจากทำเสร็จก็เปิดให้กอฟฟูฟัง เขาก็บอกว่า โคตรได้เลยว่ะพี่ แต่เรายังไม่มั่นใจ ยังไม่กล้าปล่อยเพลง เพราะช่วงนั้นไม่มีคนทำเพลงแนวนี้ กลัวปล่อยออกไปแล้วคนฟังเขาจะไม่ชอบ”
ทำไมคุณคิดแบบนั้น ที่บอกว่า ‘ไม่มั่นใจ’ – เราถามทันที เพราะเพลงเขา โคตรได้เลยว่ะพี่
“เพราะเพลงใต้ที่เราทำไม่เหมือนเพลงใต้ที่คนฟังเสพกัน คนฟังมีภาพจำว่าเพลงใต้ต้องเป็นแนวเพลงลูกทุ่ง เพื่อชีวิต หรือไม่ก็เร็กเก้ เลยทำให้เราขาดความมั่นใจ และยึดติดว่าคนจะชอบไหมวะ”
แล้วอะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้คุณกล้าปล่อยเพลงแรกที่คุณเองก็ไม่มั่นใจออกมา
“เรากลับมาคิดว่า แล้วกูจะแคร์อะไร เราชอบในสิ่งที่เราทำ เราโอเคกับเนื้อเพลง ก็ตัดสินใจปล่อยเพลง พอปล่อยออกมาได้กระแสดีเกินคาด ยอดวิวมาเร็วมาก มีคนมาขอเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กจนเรางง เราไม่เคยคาดหวังเลยว่าเพลงจะดัง เราทำด้วยความอยากทำจริง ๆ มันบริสุทธิ์มาก และเราอยากพัฒนาเพลงใต้ อยากโดดเด่นและไม่ยึดติดกับภาพเดิม เราอยากเป็นไตปลาในหน้าพิซซา” เขาหัวเราะ
“เพราะสิ่งที่เราอยากสื่อสาร คือการนำเสนอภาคใต้และภาษาพื้นบ้านให้ร่วมสมัย อยากให้คนภาคอื่นมาฟังแล้วบอกว่า เห้ย เพลงใต้เท่ว่ะ เพลงใต้ไม่ได้มีแค่เพื่อชีวิต เพลงใต้มีโซล มีฟังก์ได้
“เราเคยไปแสดงดนตรี แฟนคลับที่เป็นเด็กใต้บอกว่า พี่บ่าว ชอบมาก เติ้นหรอยจังนะ เพื่อนนักดนตรีเพื่อชีวิตจากภาคใต้ก็เคยบอกว่า หรอยจังเพลงนี้ โคตรเท่เลย ร้องได้แรงดี อีสาวเห้อ!
“พอได้ฟังก็อิ่มหัวใจนะ” ศิลปินชาวนครศรีธรรมราชส่งความอิ่มเอมผ่านรอยยิ้มและแววตา
หลังจากผลตอบรับของซิงเกิล อีสาวเห้อ ดีเกินศิลปินคาด เขาทยอยปล่อยเพลงลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหลายแพลตฟอร์ม จนกระทั่ง Fungjai ส่งข้อความมาชวนบอยจ๊อสไปแสดงดนตรี
“ชิบหายแล้ว” เขาอุทานด้วยความดีใจ “ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าต้องไปเล่นโชว์ด้วย คิดแค่อยากทำเพลง แล้วกูจะไปเล่นกับใครวะ ใจหนึ่งก็อยากเล่นนะ แต่เราดันมีเพลงเดียวนี่สิ” บอยจ๊อสหัวเราะ
“ตอนนั้นก็ไล่ถามเพื่อน ๆ จากวง SWINGING บ้าง จนได้มือกลอง มือกีตาร์ แต่มือเบสหายากมาก เขาแกะเพลงเราแล้วบอกว่า ใครจะเล่นได้ เพราะตอนนั้นโครงสร้างเพลงเราไม่ได้คิดให้คนเล่น แค่ชอบโน้ตนั้นแล้วตัดแปะ ผสมผสานจนออกมาเป็นเพลง แต่สุดท้ายก็ซ้อมกัน 3 เดือนกว่าจะขึ้นเวทีของฟังใจ”
คุณขึ้นเวทีครั้งแรกในนาม มะเขือพวง ตอนนี้ขึ้นเวทีอีกครั้งในนาม บอยจ๊อส รู้สึกยังไง
“โคตรตื่นเต้นเลย ไม่คิดไม่ฝัน ทุกครั้งที่ขึ้นไปร้องบนเวทีใจเต้นตุ้บ ๆ แต่จะตื่นเต้นมาก ๆ ถ้าเวทีนั้นไม่มีแฟนคลับเราไปดู หรือคนฟังไม่รู้จักเรา เพราะเราเชื่อว่าปฏิกิริยาของคนฟังส่งมาถึงศิลปินได้”
ไม่เพียงแค่เวทีของฟังใจ แต่บอยจ๊อสพาเพลงภาษาใต้ไปแสดงศักยภาพมาแล้ว ทั้งเวทีเทศกาลดนตรี CAT EXPO เทศกาลดนตรี Big Mountain Music Festival เทศกาล Wonderfruit ฯลฯ
ณ วันนี้ เราเรียกบอยจ๊อสว่า ‘ศิลปิน’ ได้หรือยัง – เราถามคนทำเพลง
“เขิน ๆ นะ เราแค่สำเร็จกับการทำเพลงที่ชอบ ซึ่งเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของเราด้วย”
จากซิงเกิล อีสาวเห้อ ถึงอัลบัมทำแต่สวน
“โคตรนานเลยนะ” เขากำลังพูดถึงอัลบัมแรกในชีวิตที่ใช้เวลาบ่มถึง 5 ปี
“นานตรงคิดเนื้อเพลง ความยากคือภาษาใต้ จะร้องยังไงให้เข้ากับเมโลดี้”
เมื่อเชฟชั่ง ตวง วัด ส่วนผสม จนไตปลามาอยู่บนแผ่นพิซซาได้อย่างกลมกล่อมลงตัว ถึงเวลาชิมรสชาติ 11 บทเพลง แต่เราขอให้เขาเลือก 5 เพลงที่ควรลิ้มรสเพื่อเปิดหูทางโลกดนตรีให้ทุกท่าน
อ้อ อัลบัมชื่อ ‘ทำแต่สวน’ แปลว่า ‘ทำคนเดียว’ ซึ่งจริงอย่างที่ว่า เขาทำทั้งหมดคนเดียว
หนึ่ง อีสาวเห้อ
เพลงแจ้งเกิดบอยจ๊อส เล่าถึงความรักของเด็กหนุ่มนครศรีธรรมราช
สอง พรกยาง
จากน้ำยางกลายเป็นน้ำตา บอยจ๊อสหยิบความดราม่าของวิกฤตราคายางตกต่ำมานำเสนอในเนื้อเพลง ซึ่งพ่อเฒ่า-แม่เฒ่าที่มีสวนยางต่างก็รอลูกหลานกลับมากรีดยาง แต่ด้วยราคายางตกต่ำ หนุ่มสาวไม่ออกมากรีดยาง อยากประกอบอาชีพอื่น คนในครอบครัวจึงต้องรอจนน้ำตาไหลเต็มพรกยาง
สาม ใต้โคนพร้าว
บอยจ๊อสบอกว่านี่เป็นเพลงเกาหลี-ใต้ ความพิศดารและยียวนของคนทำเพลงที่แต่งเนื้อเพลงให้มีภาษาใต้สอดรับกับภาษาเกาหลี เป็นเรื่องราวความตลกปนความเศร้าของภาษาและความรัก
สี่ สาวนคร(ศรีเธอมราช)
เพลงนี้นำเสนอคาแรกเตอร์ของสาวนครศรีธรรมราชที่บอยจ๊อสหลงรัก สาวนครฯ คนที่ว่าก็คือแม่ของเขา ส่วนเนื้อเพลงยังคงเสน่ห์ภาษาท้องถิ่น ผสานกับดนตรีโซลสุดอินเตอร์แต่แสนนุ่มนวล
ห้า ปักหมุด ปักษ์ใต้
เพลงชวนเที่ยวปักษ์ใต้ผ่านเพลงแรปภาษาใต้ที่หนีร้อน (ไม่แน่ก็หนีรัก) ไปเที่ยวทะเลใต้
จากคนใต้ถึงคนใต้
หลังจากผลิตอัลบัมแรกจนสำเร็จ บอยจ๊อสกำลังทำอัลบัมที่ 2 อย่างตั้งใจ เราเลยชวนเขาคุยถึงแผนในอนาคต อย่างการวางแผนในฐานะศิลปิน และการวางแผนชีวิตในฐานะชายวัย 44 ปี
“เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะกลับบ้านไปทำสวนกับแฟน ในแง่การทำเพลง เราอยากเป็นโปรดิวเซอร์ให้เด็กรุ่นใหม่ในภาคใต้ ทำห้องอัดและแต่งเพลงเองในแบบของเรา ให้เด็กรุ่นใหม่ร้องลงช่องยูทูบ เพราะเราอยากเห็นซีนเพลงภาษาใต้ที่หลากหลายมากขึ้น และเกิดการแข่งขันกันของเพลงภาษาถิ่น”
พ่อกับแม่เคยฟังเพลงของคุณไหม เขาคิดเห็นอย่างไรบ้าง
“แม่ภูมิใจมากนะ เหมือนเราได้รับปริญญา” ลูกชายหัวเราะ
“ตอนนั้นเพลง สาวนคร(ศรีเธอมราช) เปิดในรายการวิทยุชุมชน แม่เราเปิดร้านขายน้ำชาตอนเช้า มีญาติพี่น้อง คนเฒ่าคนแก่ นั่งกินน้ำชาอยู่ แล้วแม่ได้ยินเพลงของเรา เขาก็โทรมาหา วิทยุเปิดเพลงมึงนิ เพลง สาวนครฯ เราได้ยินน้ำเสียงดีใจจากแม่เป็นครั้งแรก เพราะแม่รู้ว่าเราเล่นดนตรีมานานแล้ว
“มีภาพหนึ่งแม่เราอัดภาพจากฟิล์มไปใส่กรอบวิทยาศาตร์ติดไว้ข้างฝาบ้าน เป็นภาพวงดนตรีของเรากับเพื่อน ปวช. ที่กำลังเล่นกันอยู่ในห้องซ้อม สงสัยแม่คงภูมิใจในตัวเราจริง ๆ” เขายิ้ม
แล้วสิ่งที่คุณเรียนรู้จากการเป็นศิลปินในวัย 44 คืออะไร – เราถามคำถามสุดท้าย
“เยอะมาก เราเรียนรู้การเล่นคอนเสิร์ต การเจอแฟนคลับ การขอลายเซ็น วิเศษดีนะ เราชอบที่ได้เป็นศิลปิน แต่ชอบในแบบที่ไม่ต้องเป็นศิลปินดัง ถ้าเราอยากดัง เราคงทำเพลงอีกแนวหนึ่งไปแล้ว
“เราอยากให้คนฟังจดจำเราได้ในฐานะคนทำเพลงภาษาใต้กับดนตรีสมัยใหม่
“และเรามีความเชื่อว่า ดนตรีไม่ได้ทำให้เราอยู่รอด แต่เราอยู่รอดได้เพราะมีดนตรี”