Beckham (2023)

Genre : Documentary

Country : UK

Director : Fisher Stevens

Starring : David Beckham

Duration : 1 Season, 4 Episodes (ความยาวแต่ละตอนโดยประมาณ 65 – 70 นาที)

Available on : Netflix

Beckham สารคดีชีวิตทั้งในและนอกสนามของยอดปีกขวาเบอร์ 7 ผู้คืนความหวังให้แฟนปีศาจแดง

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

ไม่รู้ว่าเสียงตึ๊งดึงของตัว N ในช่อง Netflix หรือเสียงหัวใจของผมเต้นแรงกว่ากัน เพราะหนังสารคดีที่ผมทั้งตั้งตาและตั้งขารอกำลังจะเริ่มต้นขึ้น 

Beckham เล่าถึงชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของ เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) ตั้งแต่เริ่มค้าแข้งจนแขวนสตั๊ด ซึ่งการทำโปรเจกต์หนังสารคดีเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วหลังการประกาศอำลาสนามของเขา

หากเปรียบเรื่องเล่าทั้ง 4 Episodes ในสารคดีชุดนี้เป็นเกมบนสนาม 90 นาที นี่ก็คงเป็นนัดประวัติศาสตร์ที่ผู้ชมในสนามต่างจดจำ

Beckham สารคดีชีวิตทั้งในและนอกสนามของยอดปีกขวาเบอร์ 7 ผู้คืนความหวังให้แฟนปีศาจแดง

ครึ่งแรก

เสียงนกหวีดเป่าเริ่มเกมขึ้น

ในช่วงแรกหนังพาเราไปรู้จักจุดเริ่มต้นของการเป็นนักฟุตบอล จากการเคี่ยวเข็ญของ เท็ด เบ็คแฮม ผู้เป็นพ่อ และแฟนพันธุ์แท้ปีศาจแดงแบบเต็มคราบ เรื่องเล่าผ่านโฮมวิดีโอและบทสัมภาษณ์ แสดงถึงความเอาจริงเอาจัง หมายมั่นปั้นมือให้ลูกได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

จนกระทั่งเบ็คแฮมได้เซ็นสัญญาร่วมทีมตอนอายุ 12 ปี จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้มีความสำคัญต่ออาชีพค้าแข่งในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดของเขา คือผู้ชายที่ชื่อ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือระดับตำนานของสโมสร คนที่เบ็คแฮมยกให้เป็นบุคคลสำคัญที่สุดของเขาในเส้นทางลูกหนัง

เบ็คแฮมเริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ฤดูกาล 1995 – 1996 ด้วยการหักปากกาเซียนคว้าแชมป์ลีกร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นวัยคะนอง อย่าง แกรี เนวิลล์, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์, ฟิล เนวิลล์ และ ไรอัน กิกส์ สร้างวลีสุดคลาสิก You can’t win anything with kids. ของ อลัน แฮนเซ่น อดีตนักเตะลิเวอร์พูลที่เวลานั้นทำหน้าที่นักวิเคราะห์เกมให้เป็นที่จดจำ และลูกยิงไกลครึ่งสนามใส่วิมเบิลดันในปี 1996 และการก้าวเข้ามาสวมเบอร์เสื้อหมายเลข 7 ต่อจาก เอริค คันโตน่า ที่เลิกเล่นหันไปเตะบอลชายหาด และรับงานในวงการบันเทิงแบบเซอร์ ๆ แทน ในฤดูกาล 1997 – 1998 

สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน
สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน

ด้วยสไตล์การเล่นที่มีประสิทธิภาพ การยิงฟรีคิกอันเฉียบคม และการสร้างสรรค์เกมทางริมเส้นด้านขวา การเปิดบอลอันแม่นยำราวจับวาง และทีเด็ดทีขาดที่ช่วยพลิกสถานการณ์ให้กับทีมได้เสมอ เบ็คแฮมถือเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้ปีศาจแดงกวาดแชมป์ในยุคนั้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และแชมป์สโมสรโลก

สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน
สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน

ในยุคนั้นเขาเป็นนักเตะที่มักสร้างเทรนด์และสีสันบนรองเท้าสตั๊ด การสลักข้อความบนรองเท้า หรือการทำให้รองเท้าสตั๊ดของ adidas รุ่น Predator เป็นที่ใฝ่ฝันของเด็ก ๆ หลายคน 

ใคร ๆ ก็อยากใส่รองเท้าเหมือนกับมิดฟิลด์เท้าชั่งทองผู้นี้

แต่ชีวิตก็ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป

ในฟุตบอลโลกปี 1998 กับเหตุการณ์ที่เบ็คแฮมโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ในนัดที่เจอกับอาร์เจนตินา ซึ่งสุดท้ายอังกฤษก็แพ้จุดโทษ ตกรอบจากเกมนั้น โดยมีเบ็คแฮมตกเป็นเป้าโจมตีของคนทั้งชาติ เพียงเพราะเป็นตัวการสำคัญที่สร้างความล้มเหลวให้ทีมชาติอังกฤษในครั้งนี้ 

สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน
สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน

จากโกลเดนบอย เบ็คแฮมก็ก้าวเท้าสู่การเป็นผู้ร้ายเพียงชั่วข้ามคืน

ในฤดูกาลต่อมา เบ็คแฮมยังคงโดนรุมโห่และตกเป็นเป้าโจมตีในทุก ๆ นัดที่ลงสนาม แต่เขาก็ผ่านมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อนร่วมทีม 

รอย คีน อดีตยอดกองกลางกัปตันทีมของแมนยูกล่าวทำนองว่า หากคุณมีปัญหากับเขา เท่ากับว่ามีปัญหากับเราทุกคน นั่นเป็นตัวอย่างของทีมสปิริตของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี 

รอย คีน คือผู้เล่นที่มีบุคลิกของผู้นำทั้งในและนอกสนามของสโมสรในยุคนั้น เป็นเหมือนต้นแบบของผู้นำที่แสดงความทุ่มเททั้งตอนฝึกซ้อมและในวันแข่งขัน ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในช่วงนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเหตุการณ์ที่ รอย คีน ออกโรงปกป้อง แกรี เนวิลล์ จาก ปาทริค วิเอร่า 

การมีผู้นำทีมและผู้จัดการทีมที่ดี เป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้เบ็คแฮมผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้

สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน

และในปี 1999 นั่นเองก็เป็นฤดูกาลที่เบ็คแฮมโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการยิงฟรีคิกสุดสวยในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดเจอบาร์เซโลนา หรือจะลูกยิงไกลในรอบรองฯ ในเอฟเอคัพนัดเจออาร์เซนอล

และการเป็นผู้เล่นคนสำคัญในนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับบาเยิร์น มิวนิค ในนัดนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดผู้เล่นคนสำคัญ ทั้งรอย คีน และพอล สโคลส์ แต่ก็มีเบ็คแฮมที่เล่นได้ดีและมีส่วนกับประตูสำคัญทั้ง 2 ลูก จากการเปิดลูกเตะมุมจนได้ประตูทั้ง 2 ลูก ทำให้กลับมาพลิกชนะและคว้าแชมป์ไปครองได้ ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 1999 ที่คัมป์นู พร้อมกับที่ปีศาจแดงสร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียว

ในฤดูกาลต่อ ๆ มา เบ็คแฮมก็ยังสร้างผลงานให้กับทีมได้อย่างสม่ำเสมอ เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีก 3 สมัย และมีส่วนช่วยให้ทีมชาติอังกฤษคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลกปี 2002 จากลูกฟรีคิกใส่ทีมชาติกรีซ ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด 

แต่แล้วด้วยความสัมพันธ์ระหองระแหงกับผู้จัดการทีม ทุกอย่างก็มาถึงจุดแตกหัก ทั้งเหตุการณ์สตั๊ดบินในห้องแต่งตัวหลังเกมที่แพ้อาร์เซนอล หรือพฤติกรรมนอกสนามที่ไม่ถูกใจท่านเซอร์ ลูกยิงฟรีคิกในชุดปีศาจแดงกับเอฟเวอร์ตัน ปี 2003 เลยเป็นครั้งสุดท้ายที่เหล่าแฟนผีได้เห็นการทำประตูในสีเสื้อปีศาจแดงจากเขา

ครึ่งหลัง

การลาทีมโดยไม่ได้บอกลา

ในรายการ The Overlap ที่มีพิธีกรร่วมอย่างแกรี เนวิลล์ และรอย คีน พูดคุยถึงประเด็นนี้ว่า หากเขาทำตามที่ผู้จัดการทีมต้องการทุกอย่าง เบ็คแฮมก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของทุก ๆ ฝ่าย

ความเป็นนักฟุตบอลของเบ็คแฮมไม่ได้มีสีสัน แค่ลูกเปิดจากด้านข้างหรือลูกฟรีคิก แต่ความเป็นซูเปอร์สตาร์และการรับมือกับการเป็นคนดังของเขาต่างหากที่ทำให้เราจดจำนักฟุตบอลแบบ เดวิด เบ็คแฮม แต่ทุกอย่างคงเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากครอบครัว คนรอบข้าง และ วิคตอเรีย เบ็คแฮม ที่ช่วยเหลือให้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ 

ในหนังเล่าให้เห็นถึงชีวิตหลังยุคปีศาจแดงของเบ็คแฮมว่าโลดโผน ขึ้นสุด และลงสุด ล้มลุกคลุกคลานกับสภาพแวดล้อมใหม่จนกลับมามีส่วนร่วมคว้าแชมป์ลาลีกากับเรอัล มาดริด ได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของเขากับทีมก่อนย้ายไปเล่นในเมเจอร์ลีก

เริ่มเข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย

เข้าสู่ช่วงบั้นปลายในปี 2013 สโมสรสุดท้ายของ เดวิด เบ็คแฮม ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง การคว้าแชมป์ลีกเอิง พร้อมทั้งการลงเล่นนัดสุดท้ายก่อนเดินออกจากสนามพร้อมน้ำตาแห่งการอำลา บ่งบอกความผูกผันของชีวิตบนสังเวียนลูกหนังของเบ็คแฮมได้เป็นอย่างดี

จากจุดเริ่มต้น ฝึกฝนอย่างไม่หยุดหย่อน จนมีชื่อเสียง และในวันที่ร่างกายไม่เป็นใจ แต่ เดวิด เบ็คแฮม ก็บริหารจัดการในความร่วงโรยบนสนามได้อย่างดีเยี่ยม และอำลาในแบบตำนานที่เด็ก ๆ หลายคนอยากเอาอย่าง ทั้งทรงผม ท่าเปิดบอล และลูกยิงฟรีคิก

นอกเหนือสิ่งอื่นใด คือการมีครอบครัวที่อบอุ่น และมิตรภาพรอบข้างที่พร้อมร่วมฝ่าฟันในวันที่ลำบาก 

ความงดงามของสารคดีเรื่องนี้คือการถ่ายทอดแง่มุมที่ไม่ได้อยู่บนสนาม และในฐานะแฟนบอลทำให้เราได้เข้าใจชีวิตของนักฟุตบอลคนนี้และคนอื่น ๆ ดียิ่งขึ้น

สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน

ทดเวลาบาดเจ็บ

นั่งดู Beckham แล้วเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนไปย้อนความทรงจำสมัยเด็ก 

90 นาทีในแต่ละเกมเต็มไปด้วยความสนุก สมหวัง โมโห หงุดหงิด ผิดหวัง แต่ไม่บ่อยเหมือนยุคนี้

เรื่องราวเมื่อก่อนหลาย ๆ เรื่องในฐานะแฟนบอลและคนอ่านหนังสือพิมพ์ สตาร์ซอคเก้อร์ ทำให้เราได้รู้แค่ในแง่มุมหนึ่ง พอได้ยินเรื่องเล่าจากเจ้าตัว ก็ได้เห็นความเป็นมนุษย์ของซูเปอร์ฮีโร่ในวัยเด็กคนนี้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ชีวิตในสนาม แต่รวมถึงชีวิตนอกสนามที่ช่วยให้ผลงานในสนามดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ 

ซึ่งหากมองด้วยสายตาจากในสนาม เราคงสนใจแค่ว่านัดนี้เล่นไม่ดีหรือช่วงนี้ฟอร์มตก 

แต่พอเล่าผ่านสารคดี ก็จะเห็นในด้านที่ว่าแต่ละฝ่ายรับมือกับความผิดหวังและความล้มเหลวได้อย่างไร และผ่านความลำบากมาอย่างไรบ้าง นอกจากเพื่อนร่วมทีมในสนาม นอกสนาม คนในครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน

ความสนุกของการดูสารคดีเรื่องนี้ไม่ใช่แค่พาไปดูชีวิตหรือบอกเล่าประวัติของเบ็คแฮมจากการสัมภาษณ์ตัวเขาและคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังหนังพาเราไปนั่งฟังเรื่องราวของเขา ผ่านคนรอบตัวที่สำคัญอย่างเพื่อนร่วมทีมและนักเตะหลาย ๆ คน 

ไม่ว่าจะเป็น โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ อดีตดาวยิงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ออกมาแต่ละช็อตก็มักสร้างรอยยิ้มมุมปากให้คนที่ดู ทั้งตอนที่เผยถึงรองเท้าของตัวเองว่าเป็นรองเท้าที่ท่านเซอร์เตะไปถูกหางคิ้วของเดวิด เบ็คแฮม หรือพูดถึงตอนที่เขามีโอกาสลงสนามในตำแหน่งปีกขวาแทนที่เบ็คแฮมอยู่ช่วงหนึ่ง ว่าเขาเองก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน จะเห็นว่าในยุคนั้นแมนยูมีการปรับระบบหลายอย่าง รวมถึงการเข้ามาของ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน อดีตกองกลางทีมชาติอาร์เจนตินา หากแฟนผียังจำกันได้ ช่วงนั้นถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเล่นกองหน้า 2 คน มาเป็นกองหน้าตัวเดียวในระบบ 4 – 4 – 1 – 1

หรือการที่เราได้เห็นมุมซึ้ง ๆ ผ่านความสัมพันธ์ของเพื่อนซี้อย่างแกรี เนวิลล์ กับ เดวิด เบ็คแฮม ที่เมื่อก่อน 2 คนนี้มักสอดประสานการเล่นริมเส้นทางฝั่งขวาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างกลมกลืน ทำให้เห็นว่า 2 คนนี้สนิทกันได้อย่างไร และช่วยเหลือทั้งด้านอารมณ์และจิตใจ นอกเหนือจากการเล่นในสนาม

โดยเฉพาะการได้ฟังความคิดและมุมมองของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มีต่อ เดวิด เบ็คแฮม นั่นก็ทำให้เห็นว่าทั้ง 2 คนมีความผูกพันกัน ถึงแม้เขาจะพูดว่าไม่ควรสนิทกับลูกทีม รวมไปถึงการบริหารทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของท่านเซอร์ที่นำมาซึ่งความสำเร็จมากมาย 

หากใครเป็นแฟนบอลของทีม ได้ดูสารคดีเรื่องนี้ก็คงหายสงสัยว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมากมายในยุคนั้น ไม่เฉพาะแฟนบอลเท่านั้น เชื่อว่าหากทีมผู้เล่นชุดปัจจุบันหรือทีมงาน ณ ตอนนี้ได้มาดูคงได้แรงจูงใจกลับไปเต็มกระเป๋า เชื่อว่าในฐานะแฟนบอล ทุกคนหวังว่าสิ่งที่ปรากฏในสารคดีเรื่องนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่างให้กับทีม ณ ปัจจุบันนี้

ในห้องแต่งตัวนักกีฬา

ตั้งแต่ต้นเรื่องในสารคดี เราจะได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปของเบ็คแฮม จากการมุ่งหน้าไล่ล่าฝันอย่างไม่ย่อท้อในวัยหนุ่ม พอเริ่มมีครอบครัว สิ่งหนึ่งที่เขาพยายามจัดการ คือบาลานซ์ความฝันและครอบครัวให้อยู่ด้วยกันได้ ผ่านการย้ายทีม ย้ายเมือง ย้ายประเทศ จนสุดท้ายเขาก็คนพบสิ่งที่ทำให้เขาพบกับความสมดุล และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ในวันที่เรี่ยวแรงของการสู้เพื่อฝันอ่อนแรงลง

อย่างที่รู้กัน ทั้งเบ็คแฮมและท่านเซอร์ สุดท้ายพวกเขาก็อำลาวงการในปีเดียวกัน (ปี 2013) ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทิ้งไว้แค่ความทรงจำให้แฟนบอลได้คิดถึงและโหยหา 

ก็อย่างที่คันโตน่าพูดเท่ ๆ ว่า ฟุตบอลคือสิ่งเสพติด ซึ่งไม่ใช่แค่นักเตะ แต่รวมถึงคนดูด้วยที่ติดมัน

หากชีวิตนักฟุตบอลของเบ็คแฮมคือเกม 90 นาที แต่ละนาทีล้วนมีจังหวะขึ้นนำและตามหลัง สลับกันไป 

มีช่วงจมดิน และลุกขึ้นมาสู้ จนถึงท้ายเกม

มีช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จนกระทั่งจบเกม 

และในนาทีที่เสียงเป่านกหวีดสิ้นสุดลง เสียงปรบมือจากคนรอบสนามก็ดังก้อง

เพียงแค่สู้ต่อไม่ยอมแพ้จนได้ยินเสียงนกหวีด

Fergie Time เลยไม่ได้เกิดแค่เกมในสนามของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่มันถูกปลูกฝังให้กับคนในยุคนั้น ที่ไม่ว่าจะนักเตะหรือแฟนบอล หากยังไม่หมดเวลา 

คุณยังมีความหวัง

สารคดีชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามของ David Beckham ที่กระตุกต่อมความทรงจำให้แฟนปีศาจแดงย้อนนึกถึงวันวาน
ข้อมูลอ้างอิง
  • Facebook : David Beckham 
  • focus.belfasttelegraph.co.uk/thumbor
  • wallpapers.com/images/hd
  • www.telegraph.co.uk/multimedia/archive/01892
  • pbs.twimg.com/media
  • i.ebayimg.com/images/g
  • cdn.whats-on-netflix.com/wp-content/uploads
  • www.metacritic.com/a/img/catalog/provider
  • www.flicks.co.nz/news/how-to-watch-beckham-in-new-zealand
  • dnm.nflximg.net/api/v6
  • digitalhub.fifa.com/m
  • i.pinimg.com/1200x/fc

Writer

เฟื่องฟู จิรัฐิติวณิชย์

เฟื่องฟู จิรัฐิติวณิชย์

ผู้ร่วมเขียนหนังสือ ‘LOVE ZINE เรื่องจริงหวังแต่ง’ และพ่อค้ากาแฟที่อยากเป็นพ่อค้าขายหนังสือ มีความฝันที่จะพัฒนาทั้ง hard skills และ soft skills เพื่อปรับตัวให้ทันตามโลก และพูดเก่งเหมือน ChatGPT