ฉันเคยไม่ชอบทะเล เพราะรู้สึกปลอดภัยกับภูเขามากกว่า เลยทำการทดลองกับตัวเอง ด้วยการพาตัวเองลงน้ำทะเลเป็นเวลา 90 วันต่อกัน ในช่วงอาทิตย์แรกๆ รู้สึกขัดขืนและอึดอัด ไม่สบายเนื้อตัวและมีความกลัวอยู่ลึกๆ แต่พอผ่านอาทิตย์ที่สอง บางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายไปโดยธรรมชาติ เพราะคุณลักษณะของน้ำที่โอบอุ้ม อ่อนโยน ทำให้ฉันเริ่มศิโรราบและขจัดความกลัวไปได้หมด
ผ่านไปเกือบ 2 เดือน โลกของฉันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อรู้สึกถึงความเชื่อมโยงและคุ้นเคยว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ มันดึงฉันกลับไปที่จุดเริ่มต้นของชีวิต ตอนที่อยู่ในน้ำคร่ำของแม่เป็นเวลา 9 เดือน เป็นช่วงที่ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณเติบโต และหลังจากนั้น ฉันกับน้ำก็ขาดจากกันไม่ได้อีกเลย

‘วารีบำบัด ‘ หรือการบำบัดด้วยน้ำ (Aquatic Healing) เป็นศาสตร์โบราณที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันด้วยคุณสมบัติของน้ำที่ทั้งโอบอุ้ม ละเอียดอ่อน ไร้แรงโน้มถ่วง ทำให้เกิดความผ่อนคลายทั้งกายและใจในระดับลึกยิ่งเมื่อผสมผสานกับการโอบกอด การเชื่อมต่อกันระหว่างร่างกายไร้ซึ่งภาษาพูด ไปจนถึงการพาร่างกายเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนของผู้ให้การบำบัด จึงทำให้ผู้ถูกบำบัดรู้สึกถึงความรัก ความปลอดภัย ถูกปกป้องดูแล ความเชื่อใจหรือ Trust จึงเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในระหว่างการบำบัด และพอมีความเชื่อใจ กายและจิตก็ศิโรราบ เริ่มปลดปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตาม Flow
ประสบการณ์กับน้ำของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนก็เข้าสู่ Meditative State บางคนก็มีความทรงจำ ความคิดที่ซ่อนอยู่ในระดับลึกหรือจากจิตใต้สำนึกผุดขึ้นมา อาจเป็น Vision ที่ไม่เคยปรากฏที่ไหน แต่กลับแวบขึ้นมา ณ ชั่วขณะนั้น บางคนก็มีอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งระหว่างที่ได้รับการบำบัดหรือหลังจากจบ Session แล้วก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือการปลดปล่อย ปลดเปลื้อง ทั้งความคิด ความเครียด ปมต่างๆ ในอดีต และสิ่งที่ยึดเอาไว้ ให้กลับมาสู่ระดับการผ่อนคลายทั้งกายและใจ ในวินาทีของปัจจุบันขณะนั่นเอง

ตอนที่ได้เข้ามาในโลกของน้ำและเรียนรู้ศาสตร์นี้ ฉันได้ลองฝึกฝนทั้งในน้ำทะเลและสระน้ำอุ่น ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองอย่างนี้น่าสนใจมากๆ ในสระน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 35 – 36 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับร่างกาย ก่อให้เกิดความคุ้นเคย อบอุ่น และปลอดภัยเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา ในขณะที่น้ำทะเลให้ความรู้สึกถึงพลังของธรรมชาติกว้างใหญ่และความเป็นอิสระ ไปจนถึงการเผชิญหน้ากับความคาดเดาไม่ได้ของคลื่นและแรงลม
นักบำบัดหลายคนที่ชอบความเป็นธรรมชาติ ก็พยายามเสาะหาน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่อุ่นพอดีกับร่างกาย ซึ่งในเมืองไทยก็มีคอมมูนิตี้ของคนที่ชื่นชอบศาสตร์นี้ทั้งที่ปายและเกาะพะงัน เพราะปายมีบ่อน้ำพุร้อนมากมาย และเกาะพะงันในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม น้ำทะเลอุ่น ราบเรียบสงบ ไร้คลื่นลมแรง จึงเหมาะมากเลยทีเดียว
ชุมชนของคนรักวารีบำบัดบนเกาะพะงัน กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมีประสบการณ์กับน้ำที่มหัศจรรย์จนยากถอนตัวจากศาสตร์นี้ Mario Giovannini คือหนึ่งในนั้น เขาหลงใหลน้ำและเดินทางไปเรียนรู้ทั้งจากที่สเปนและอินเดียเป็นเวลาหลายปี จนสุดท้ายมาอยู่ที่เกาะพะงัน และเริ่มสร้างสระน้ำอุ่นส่วนตัว เพื่อฝึกฝนและแบ่งปันให้ชุมชนได้เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทั้งทดลอง ฝึกฝน และพูดคุยกัน

“ประสบการณ์ของผมกับน้ำมันมหัศจรรย์มาก หลายปีก่อนผมประสบอุบัติเหตุ เดินไม่ได้ เลยบำบัดตัวเองในน้ำ ด้วยการเริ่มลอยตัวให้กายและใจผ่อนคลายไร้ความกังวล หลังจากนั้นก็เริ่มเดินในน้ำ เพราะมันไม่มีแรงโน้มถ่วง เลยไม่ต้องกลัวว่าน้ำหนักจะลงไปที่ขา ผมฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเยียวยาตัวเองได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
“น้ำไม่ได้แค่ซัพพอร์ตร่างกายของผม แต่ยังช่วยเยียวยาความรู้สึก และปลดปล่อยความกลัวว่าจะเดินไม่ได้ออกไป มันช่วยปลดล็อกความคิดเดิมๆ ที่ได้จากหมอว่าต้องอยู่นิ่งๆ ต้องใส่เฝือกและใช้ไม้เท้า และขยับตัวให้น้อยเท่านั้น ยิ่งเมื่อเวลาที่อยู่ใต้น้ำ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ มันมีแต่เสียงความเงียบ จิตสงบและเข้าสู่ความเป็นสมาธิ เสมือนเราไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลย
“เมื่อการบำบัดเริ่มขึ้น มันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์และบทสนทนาที่ไร้เสียงของสามสิ่ง คือ ผู้บำบัด ผู้รับการบำบัดและน้ำ บทบาทของผู้ให้คือการดูแลและปกป้อง และอยู่ตรงนั้นเพื่อให้ผู้รับและน้ำได้เจอกัน การมีสมาธิและจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันของผู้บำบัด ทำให้สัมผัสความรู้สึกของผู้รับผ่านการแสดงออกทางร่างกาย เพราะถ้าเขาเกร็งหรือไม่ผ่อนคลาย จะสัมผัสได้เลยว่าร่างกายหนัก จึงเป็นหน้าที่ของผู้บำบัดที่ต้องสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้กับตัวเองก่อน เพราะถ้าเราไม่ผ่อนคลาย ผู้รับจะรู้ได้ทันทีเช่นกัน และเขาจะไม่เชื่อในตัวเรา”
ก่อนเริ่มการบำบัด สิ่งที่เราต้องเช็กเลยคือสภาพร่างกายและจิตใจของผู้เข้ารับการบำบัดว่ามีความพร้อมหรือไม่ มีส่วนใดของร่างกายที่บาดเจ็บ สภาพจิตใจนั้นมีความกลัวและไม่พร้อมที่จะลงใต้น้ำ หรือมีส่วนใดของร่างกายที่ต้องรับการดูแลเป็นพิเศษ เช่น บางคนเคยเกิดอุบัติเหตุที่คอหรือมีอาการปวดหลัง เราจึงต้องระวังเป็นพิเศษ ตัวผู้บำบัดเองก็เช่นกัน ต้องเช็กว่าร่างกายในวันนั้นแข็งแรงดี และสภาพจิตใจผ่อนคลายไร้ความกังวลหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่พร้อม ก็ไม่ควรให้การบำบัดเช่นกัน


เมื่อเช็กกันเรียบร้อยดีแล้ว ผู้บำบัดต้องอธิบายถึงตอนลงใต้น้ำว่าต้องใส่ Nose Clip ยังไง ไปจนถึงสัญญาณสื่อสารกัน เพราะเราสนทนากันไม่ได้ในน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้ว ก่อนที่ผู้บำบัดจะพาลงน้ำ จะให้สัญญาณด้วยการสะกิดเบาๆ ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นเหมือนคำพูดที่ว่า ‘จะพาลงใต้น้ำแล้วนะ’ และถ้าผู้รับการบำบัดพร้อมเมื่อไรก็ให้ปิดปาก ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่บอกว่า ‘พร้อมลงแล้ว’ นั่นหมายถึงว่าผู้รับการบำบัดเป็นผู้เลือกเองว่าพร้อมจะลงใต้น้ำหรือไม่ เพราะถ้าไม่ปิดปาก ผู้บำบัดไม่สามารถบังคับให้ลงใต้น้ำได้อย่างเด็ดขาด
การลงใต้น้ำในแต่ละครั้งนานเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับบุคคล ซึ่งผู้บำบัดจะรับรู้ได้จากการที่ร่างกายผู้รับการบำบัดสื่อสารออกมา เช่น ถ้าร่างกายเริ่มเกร็ง นั่นแปลว่ามีความไม่สบายเกิดขึ้น หรืออาจกลัวที่อยู่ใต้น้ำ ผู้บำบัดอาจต้องพาขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ประคองไว้ แล้วค่อยพาลงใต้น้ำอย่างช้าๆ อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อพูดคุย อธิบายกันบนบกเรียบร้อยดีแล้ว ก็ถึงเวลาพากันลงน้ำ ฉันมักค่อยๆ พาผู้รับการบำบัดเข้าสู่โลกของน้ำด้วยการให้เขาหลับตา แล้วจินตนาการว่าร่างกายของพวกเขาคือส่วนหนึ่งของน้ำ ให้มีสติจดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่มีน้ำสัมผัสอยู่ในทุกอณูของผิว จากนั้นให้ลองขยับตัวช้าๆ เพื่อให้เห็นว่าน้ำก็ยังอยู่ตรงนั้น โอบกอดพวกเขาอยู่ไม่ได้ไปไหน เป็น Unconditional Love อย่างแท้จริง เมื่อเขาเพลิดเพลิดและร่างกายเริ่มผ่อนคลาย ฉันจะค่อยๆ จับมือของผู้รับการบำบัด สัมผัสพวกเขาเบาๆ เพื่อให้คุ้นชินทั้งสัมผัสของฉันและสัมผัสของน้ำไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นจึงเริ่มใส่ Floaters ไปที่ขาทั้งสองข้างของผู้บำบัดเพื่อให้เขานอนลอยตัวขึ้นเสมอกับผิวน้ำ สองมือของฉันต้องค่อยๆ โอบรับส่วนของกะโหลกศีรษะที่ชื่อว่า Occipital bone (ส่วนที่อยู่เหนือต้นลำคอด้านหลัง จับแล้วจะเหมือนมีหลุมลึกลงไปคล้ายถ้ำเล็กๆ) นิ้วมือ ฝ่ามือ ท่อนแขน และหัวไหล่ของต้องไม่ออกแรงอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ท่องไว้ในใจเลยคือ เราไม่ได้ยกหัวของผู้บำบัด เราแค่ช่วยประคองและโอบอุ้มให้เขาลอยตัวในน้ำได้อย่างผ่อนคลาย เพราะถ้าเราเริ่มออกแรง ทั้งมือ ทั้งแขนและหัวไหล่ของเราจะเกร็งขึ้นมา ซึ่งผู้ถูกบำบัดจะรู้สึกได้อย่างชัดเจน เขาจะไม่ผ่อนคลายและเชื่อใจว่าเราจะปกป้องดูแลเขาให้ปลอดภัยในน้ำได้เลย


เราใช้เวลาสักพักหนึ่งในการลอยผู้บำบัดบนผิวน้ำ ให้เขาเริ่มคุ้นเคยกับน้ำ จะเห็นได้เลยว่าร่างกายของผู้บำบัดเบาขึ้น ลมหายใจยาวและลึกขึ้น จากนั้นเราค่อยๆ ขยับแต่ละส่วนในร่างกายพวกเขาให้เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน ไปตามจังหวะของสายน้ำ อาจมีการยืดเส้นสายทั้งในส่วนแขน ขา กระดูกสันหลัง คล้ายๆ กับการนวด จนเมื่อผู้บำบัดผ่อนคลายมากๆ แล้ว จึงพาลงใต้น้ำ แต่ต้องค่อยๆ พาลง เพื่อช่วยลดอาการกลัว ซึ่งเกิดจากความกังวลว่าจะไม่มีอากาศหายใจ ซึ่งในครั้งแรกอาจพาลง 5 วินาที แล้วค่อยๆเพิ่มเป็น 10 วินาที ไปจนถึงเกือบหนึ่งนาทีได้เช่นกันในสำหรับบางคน และในขั้นตอนการพาขึ้นบนผิวน้ำ เราจะทำอย่างช้ามากๆ ให้ใบหน้าเรี่ยอยู่ใต้ผิวน้ำก่อนสัก 1 – 2 เซนติเมตร แล้วค่อยๆ ให้จมูก ปาก ใบหน้า โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอย่างช้าๆ และอ่อนโยน ซึ่งจะทำให้ผู้บำบัดรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ปลอดภัยในระดับลึก
เราใช้ระยะเวลาทั้งหมดในการบำบัดประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจบการบำบัด เราจะค่อยๆ ถอด Floaters ออก ให้ผู้รับการบำบัดกลับมา Landing ด้วยเท้าของตัวเองอีกครั้ง แต่ยังหลับตาและใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เหมือนเป็นรอยต่อจากท่านอนมาสู้ท่ายืนและจากในน้ำมาสู่บนบก หลายคนเลือกที่จะอยู่กับตัวเองและทบทวนประสบการณ์ที่เพิ่งได้รับ บางคนที่ฉันรู้สึกได้ว่ายังอยากได้รับการสัมผัส ฉันจะโอบกอดพวกเขาเอาไว้สักพัก บางคนอยากแชร์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ฉันก็อยู่ตรงนั้น ถือเป็นสิ่งที่สวยงามทีเดียวที่ได้รับฟังการเปิดใจจากผู้ถูกบำบัด
ซึ่งในระหว่างการบำบัด ถ้าผู้ได้รับการบำบัดรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สบายกาย หรือมีสิ่งใดไม่โอเค สามารถบอกได้ทันทีหรือขอหยุดการบำบัดได้เช่นกัน ศาสตร์นี้เหมาะกับคนที่มีความเครียด ความกังวล มีอาการแพนิก มีความฝังใจเรื่องการจมน้ำ ส่วนด้านร่างกายสามารถสร้างความแข็งแรงให้กับคนที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือผู้ที่มีอาการปวดตามข้อหลัง สะโพก นอกจากนี้ด้วยความที่น้ำไม่มีแรงโน้มถ่วง คนที่มีปัญหาในการลงน้ำหนักบนบก เช่น ข้อเข่าเสื่อมหรือได้รับอุบัติเหตุ ก็ออกแรงในน้ำได้มากขึ้นและไม่เกิดความเจ็บปวดเท่ากับอยู่บนบก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความที่จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว การที่สภาพจิตใจผ่อนคลายตอนอยู่ในน้ำ ส่งผลอย่างมากให้สภาพร่างกายดีขึ้นตามไปด้วย


ทุกครั้งที่ฉันให้การบำบัด จิตของฉันมีสมาธิอย่างมากๆ เพราะต้องโฟกัสผู้บำบัดที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ทั้งต้องสังเกตไม่ให้น้ำเข้าจมูกและปาก ไปจนถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจที่ถึงแม้จะละเอียดอ่อนแต่ก็รับรู้ได้ เพราะเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกัน เมื่อผัสสะของร่างกายเริ่มเปิดออก หัวใจและความรู้สึกก็เริ่มเผยออกเช่นกัน น้ำเป็นเสมือนตัวกลางที่เชื่อมโยงฉันและผู้ถูกบำบัดไว้ หลายครั้งที่ฉันรู้สึกได้ถึงความเศร้า ความสุข ความแข็งแกร่ง ความเปราะบาง และอีกหลายๆ อารมณ์ของพวกเขา เราแค่อยู่ตรงนั้น น้ำและฉันโอบกอดพวกเขาไว้ เป็นความงดงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้ให้อย่างแท้จริง
หมายเหตุ : ผู้ที่มีแผลเปิด แผลติดเชื้อ เป็นไข้ และผู้ที่กลัวน้ำมากๆ ไม่เหมาะที่จะรับการบำบัดแบบนี้
ภาพ : นนทวัฒน์ นำเบญจพล, Seb Leon
ภาพนายแบบ : Amihai Agou