เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก็ถึงคิวการเข้าโรงกับอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่น่าจับตามองแห่งปี กับ Appwar แอปชนแอป จากค่ายหนัง T Moment ที่ได้ผู้กำกับฝีมือเฉียบอย่าง เสือ-ยรรยง คุรุอังกูร (2538 อัลเทอร์มาจีบ) มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับคุมทีมเรื่องนี้ แท็กทีมร่วมกับแก๊งดาราหน้าใหม่มากฝีมือ เล่าถึงการแข่งขันในวงการ Startup ผสมผสานกับความรักและมิตรภาพ คลุกเคล้าเสียงหัวเราะและความระทึกใจให้ชวนติดตามตลอดเรื่อง
แต่นอกเหนือจากความดีงามในเชิงภาพยนตร์แล้ว สายตาคนช่างกินอย่างเราก็อดที่จะซอกแซกไม่ได้ว่า เอ๊ะ อึ๊ อ๊ะ นี่ Appwar ได้กระทำการวางพิกัดร้านอาหารอินเดียคุณภาพดีไว้ถึง 2 ร้านด้วยกันนี่นา! เห็นแล้วมันคันไม้คันมือและคันพุงอีกหน่อย อยากไปลองกินอาหารถาดถาลีแบบเขาบ้างแล้วสิจ๊ะนายจ๋า ถ้าคุณเป็นเหมือนเราที่ดูหนังแล้วมันอิน อยากจะไปตามร้านเผื่อจะเจอคนที่ชอบอาหารอินเดียเหมือนกันบ้าง งั้นเตรียมท้องให้ว่าง แล้วไปยืนงงในดงแขกกันเถอะ!
Tony’s
“ถ้าแบบ.. ได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกันก็คงดี”
ประเดิมร้านแรกเรียงตามลำดับในหนัง เมื่อบอมบ์ (ณัฏฐ์ กิจจริต) ต้องมานั่งเฉาคนเดียวในร้านอาหารอินเดียร้านโปรดเพราะเพื่อนๆ ไม่อิน แต่โชคชะตานำมาให้มาเจอสาวจูน (วริศรา ยู) ที่มาคนเดียวเหมือนกันซะนี่ ด้วยความชอบในอาหารอินเดียอันแตกต่างจากคนทั่วไป จึงเกิดเป็นสปาร์คกันครั้งแรกระหว่างสองพระนาง
จริงอยู่ที่อาหารอินเดียอาจไม่ใช่สำหรับทุกคน ด้วยกลิ่นเครื่องเทศที่แรงติดตัว แต่ความฮาร์ดคอร์แบบอินเดียนั้นมีหลายเลเวลให้ทดลอง สำหรับมือใหม่หัดกิน การมาประเดิมที่ร้าน Tony’s ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยสนนราคาอาหารที่ไม่แพง และความหลากหลายของเมนูด้วยฝีมือการทำอาหารของคนอินเดียในบรรยกาศแบบอินเดี๊ยยย อินเดีย ของย่านพาหุรัดอีกด้วย
Tony’s เป็นร้านอาหารอินเดียเล็กๆ อยู่ในตรอกตรงข้ามอินเดียเอ็มโพเรี่ยมและศาลเจ้าแม่ทับทิม เดินเข้ามาในซอยเล็กๆ นั้นจนเจอคลอง ร้านจะตั้งอยู่แบบโอเพ่นแอร์รับกลิ่นลมธรรมชาติความพาหุรัดท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติวัดวาอารามของเนปาล (เอ๊ะ.. ยังไงนะ..) บรรยากาศภายนอกอาจจะดูเลอะเขรอะกรังตามความเก่าของพื้นที่ และห้องครัวแบบเปิดที่อาจจะดูเก่าแก่ตามอายุขัยของมันไปบ้าง แต่อย่าดูถูกไปนะคุณขา เพราะที่ Tony’s นี่เป็นอีกหนึ่งร้านลับม้ามืดที่ครองใจคนชอบอาหารอินเดียแบบ ‘บอมบ์’ และ ‘จูน’
เมนูที่ Tony’s มีตั้งแต่แบบสำหรับคนที่กินมังสวิรัติและเนื้อสัตว์ อันตัวเราก็คงต้องสารภาพว่าไม่ได้แรกเริ่มเป็นสายเซียนด้านอาหารอินเดีย ส่วนมากก็จะเคาะเมนูมาตรฐาน เริ่มต้นด้วย Butter Chicken หรือไก่เนย เนื้อไก่หมักที่มาในซอสแกงกลิ่นมันๆ หอมเนยและเครื่องเทศ กำลังเหมาะสำหรับมือใหม่หัดอินเดีย
ต่อด้วย Kadai Paneer ซึ่งองค์ประกอบพระเอกคือชีสจากนมวัวผัดกับเครื่องเทศที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศและพริกหยวกให้รสชาติมันๆ เคี้ยวหนึบเพลินๆ อีกเมนูน่าทานก็ต้องเป็น Fish Masala ที่นำเนื้อปลาทอดคลุกเคล้าเครื่องเทศออกมารสจัดและแห้งกว่าจานอื่นๆ
ปิดท้ายสำคัญสุดก็ต้องโรตี ที่นี่ทำแบบแป้งบางกิน 1 ชิ้นไม่พออิ่ม เหนียวนุ่มกำลังพอเหมาะให้ปาดเข้ากับสารพัดแกง แกล้มกับ Chai Tea ชานมหอมๆ ลดความเลี่ยนของอาหารคาวได้อย่างดี จบบริบูรณ์อาหาร 4 อย่างแบบ 2 คนอิ่มจุก รวมแล้วก็ประมาณ 400 บาทเท่านั้นเอง

พิกัดร้าน Tony’s : 64/1 ซอย ริมคลองโอ่งอ่าง แขวง วังบูรพาภิรมย์ เปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 22.00 น.
HIMALAYA RESTAURANT
“วันนี้มันโอกาสพิเศษนี่เนอะ”
ตัดภาพเข้ามาที่อีกร้านหนึ่ง ต่อยอดการได้เจอกันอีกครั้งระหว่างบอมบ์และจูนหลังจบเกมส์ Laser Tag สุดมันกับร้านที่เหมาะสำหรับ ‘โอกาสพิเศษ’ ดูหรูหรา ตกแต่งแปลกตา โดดเด่นด้วยสีแดง ประดับโคมสีสันเหมือนชนเผ่า ร้านนั้นก็คือ Himalaya Restaurant นั่นเอง
Himalaya Restaurant อยู่ใจกลางเมืองในซอยสุขุมวิท 31 หาไม่ยากนักหากขับรถมา โดยลัดเลาะตามโค้งของซอยมาเรื่อยๆ ก็จะเจอเวิ้งร้านอาหารทางด้านขวามือ มีป้ายระบุอย่างชัดเจนและธงประดับอยู่หน้าร้าน แสดงความแตกต่างจากร้านในละแวกนั้นออกมาอย่างโดดเด่นไม่มีทางเข้าร้านผิดอย่างแน่นอน
หากจะบอกว่าร้าน Himalaya เป็นร้านอาหารอินเดีย 100% ก็คงไม่ใช่นัก แต่ร้านนี้เป็นรวมอาหารประเทศที่เชื่อมต่อด้วยภูเขาหิมาลัย นั่นก็คือรวมเนปาล ภูฏาน ทิเบต และอินเดีย ดังนั้น เมนูจึงมีความแตกต่างจากร้านอินเดียทั่วไป ภายในตกแต่งด้วยธงหลากหลายสีสันและของพื้นเมืองต่างๆ มีมุมขายของที่ระลึกเล็กๆ น้อย โต๊ะบางส่วนถูกจัดให้เป็นการนั่งเบาะเตี้ย มีกระดิ่งเล็กๆ ไว้เรียกพนักงาน ให้บรรยากาศกันเองเหมือนอยู่ในบ้านเนปาล
ถึงแม้จะตัวร้านจะเหมารวบความเป็น 4 ประเทศพื้นที่หิมาลัย อาหารของแต่ละประเทศดูมีความใกล้เคียงกันโดยเฉพาะในส่วนของกลิ่นเครื่องเทศที่ถูกนำมาปรุงแต่ง สำหรับมือใหม่หัดลองทานที่อาจจะยังจิ้มไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี แนะนำให้ลองเสี่ยงดวงกับ Kathmandy Set Dish นี่แบ่งเป็นตามชนิดเนื้อสัตว์ (หรือผัก) ที่เราสั่ง
อาหารจะถูกเสิร์ฟมาในถาดทองเหลือง แยกเป็นสัดส่วนของข้าว แกง ผัดผัก และซุปเครื่องเทศ ที่รวมกันแล้วก็จะช่วยให้ไม่เลี่ยนเมาเครื่องเทศจนเกินไป แต่ที่เด็ดและหากินจากที่อื่นยาก ต้องเป็น ‘Momo’ หรือซาลาเปานึ่งแบบทิเบต หน้าตาคล้ายๆ เสี่ยวหลงเปา แต่แตกต่างที่เนื้อแป้งที่ไม่ได้บ้างเหมือนน้องเสี่ยว และเครื่องเทศที่คลุกเคล้าไปกับเนื้อส่งกลิ่นหอมแตกต่างจากเวอร์ชันจีน
เห็นตั้งพิกัดอยู่ใจกลางสุขุมวิทขนาดนี้ ร้านนี้เป็นมิตรต่อกระเป๋าสตางค์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับบรรยากาศของร้านและรสชาติ ราคาแต่ละจานน่าคบหาแบบมากินได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวา คาดการณ์หนึ่งมื้ออยู่ที่ 200 – 400 บาท
พิกัด Himalaya Restaurant : 235/5 ซอย สุขุมวิท 31 แขวงคลองตันเหนือ เปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 22.00น.
Appwar แอปชนแอป
ฉายแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์