ไม่กี่วันก่อนมีข่าวดังเขย่าโลกเรื่องสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจาก Paris Agreement
คนหลายคนหงุดหงิด อีกหลายคนคงหงุดหงิดยิ่งกว่าที่ไม่รู้ว่าไอ้คนก่อนหน้ามันหงุดหงิดเรื่องอะไรกัน…
มันไม่ใช่ข้อตกลงงดซื้อขนมปังบาแก็ตต์ หรือปฏิวัติของแบรนด์เนม แต่มันคือข้อตกลงร่วมกันของชาวโลกในการร่วมมือกันลดโลกร้อนเพื่อไม่ให้สถานการณ์โลกร้อนเลวร้ายลงไปกว่านี้
ก่อนที่จะได้ยินนายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาพูดถึงโลกร้อนว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ชาวโลกจำนวนมากรู้จักปัญหานี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว จากหนังสารคดีของอดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ เรื่อง An Inconvenient Truth โดยหลักการแล้วภาวะโลกร้อนคือ ภาวะที่โลกมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ในชั้นบรรยากาศมากเกินไป จนเกินกำลังที่ป่าไม้จะดูดซับเอาไว้ได้หมด ก๊าซเรือนกระจกพวกนี้คล้ายผ้าห่มที่คลุมโลกไว้ ทำให้ความร้อนในโลกไม่หายไป อุณหภูมิของโลกเลยร้อนขึ้นเรื่อยๆ
พวกเราชาวเมืองย่านเส้นศูนย์สูตรรับรู้ภาวะโลกร้อนนี้จากการที่เหงื่อหยดไหลชุ่มตัวเราตลอดทั้งปี (ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่นา) น้ำท่วมในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ (ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่นา) หรือไม่ก็เห็นภาพหมีขาวขั้วโลกในทีวีโดดหย็องแหย็งไปมาบนแผ่นน้ำแข็งที่เล็กลงๆ แต่เรานั้นไม่เคยเห็นว่าจริงๆ แล้วโลกร้อนมันเป็นอย่างไร
หนังสารคดีผสมหนัง boat-trip เรื่องนี้จะพาเราไปเห็นโลกร้อนในหลายแง่มุม ณ สถานที่เกิดเหตุนั้นกัน
เรื่องภาวะเรือนกระจกที่ทำให้อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นจนเป็นเหตุให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้นเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกก็มีเรื่องน่าสนใจอยู่
ในมหาสมุทรอาร์กติกมีเส้นทางเดินเรือ Northwest Passage ซึ่งเริ่มต้นจากแคนาดาตอนเหนือใกล้กรีนแลนด์ ผ่านไปทางตะวันตกข้ามแคนาดาไปสิ้นสุดที่อะแลสกา ก่อนหน้านี้มันเป็นเส้นทางคดเคี้ยวเล็กๆ ระหว่างเกาะ เร้นลับจนแทบไม่มีมนุษย์คนไหนเดินเรือผ่านไปได้ เพราะมีก้อนน้ำแข็งจำนวนมหาศาลปิดกั้นขวางทางอยู่ราวกับเป็นเขาวงกตน้ำแข็ง พอเกิดภาวะโลกร้อน ผสมกับเข้าสู่ฤดูร้อนที่แสงอาทิตย์ดำรงอยู่จนถึงเที่ยงคืน น้ำแข็งที่เคยเป็นอุปสรรคในเส้นทางนี้ก็ละลายหายไปเยอะเสียจนนักเดินเรือสมัครเล่นก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ ปรากฏการณ์นี้ทำให้เหล่านักเดินทางมองเส้นทางนี้เป็นเหมือนยอดเขาเอเวอเรสต์แห่งใหม่ และพยายามเดินทางมาเพื่อพิชิตเส้นทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
Richard Tegner ก็เป็นหนึ่งในนั้น แกเป็นสถาปนิกชาวสวีเดนที่ถูกเพื่อนอีก 2 คนชวนมาล่องเรือเข้าสู่ Northwest Passage แกเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์เดินเรือด้วยตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว จึงรับหน้าที่เป็นเชฟและจดบันทึกการเดินเรือ นอกเหนือจากชีวิตบนเรือยอชท์ลำจิ๋วที่ประสบปัญหาเรือเสียตลอดเวลา และความบาดหมางทางอารมณ์กับเพื่อนร่วมทริปตลอดเวลาเช่นกัน หนังจะพาเราไปเจอโลก ปัญหา มลภาวะ รวมถึงวัฒนธรรมของชาวอาร์กติกแบบรอบด้าน 360 องศาแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อนแน่ๆ เช่น
โลกร้อนเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่คนท้องถิ่นหลายคนกลับยินดีที่เกิดขึ้น เพราะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดการอพยพที่ผิดแผกไปของหมีขั้วโลกและสัตว์ต่างๆ หลายเกาะที่ไม่เคยมีหมีมาก่อนก็มีหมีเป็นสมาชิกใหม่ ฟังดูเหมือนจะดี แต่ปัญหานี้สร้างความลำบากมากให้แก่ผู้อยู่อาศัย เพราะเห็นหมีขาวน่ารักแบบนี้ มันกินคนได้นะคุณ!
อากาศที่อุ่นขึ้นทำให้เกิดพืชพันธุ์ในดินแดนบางแห่งที่ไม่เคยมีพืชบนดินมาก่อน ฟังดูก็เป็นเรื่องดี แต่กวางคาลิบู (หน้าตาเหมือนกวางเรนเดียร์ของซานตาคลอส) ก็มีแนวโน้มจะสูญพันธุ์ เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ปรสิตของกวางถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน
เมื่อน้ำแข็งละลายก็เกิดการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรงขึ้น จนหลายเกาะเสียพื้นที่ไปเรื่อยๆ
นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อมความเจริญแบบทุนนิยมต่างๆ สร้างปัญหาให้เด็กวัยรุ่นชาวอินูอิต (ชาวเอสกิโม) ที่ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่ได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ไม่ใช่คนสองคน แต่อัตราการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นในหมู่บ้านนั้นสูงจนน่าตกใจ
อุตสาหกรรมน้ำมันที่อะแลสกามีส่วนช่วยเร่งภาวะโลกร้อนให้สูงขึ้น แต่คนที่ทำงานที่นั่นต่างเชื่อว่าโลกร้อนเป็นเพียงแค่ข่าวลือ และด้วยความที่น้ำมันเป็นธุรกิจหลักของรัฐอะแลสกา จึงยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ
และยังมีผู้คนอีกมากมายที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนซึ่งเราอาจไม่มีโอกาสได้รับรู้เลย
หลังจากดูสารคดีจนจบแล้ว เราจะพบว่าปัญหานี้ไม่ได้ไกลตัวเราเท่าระยะทาง แต่มันใกล้ตัวเรามากจริงๆ และเราทุกคนนั้นแหละที่จะช่วยทำให้คำพูดของ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่ว่า “Make Our Planet Great Again” เกิดขึ้นจริง