ตูน ปืนใหญ่ พลังงาน 300% 

กิต ปืนกล ว่องไว แถมตายยาก

เต ตาเหยี่ยว คอยสังเกตการณ์

เส็ง สไนเปอร์ คอยชุบชีวิต

‘Three Man Down’ บอกว่าพลังแฝงของพวกเขา คือการวิ่งออกไปตาย แต่ไม่ยอมแพ้

เราเผชิญหน้ากับ 4 ตัวละครหลักในเกมที่สู้ยิบตามานานเกือบ 10 ปี บนสนามดนตรีที่ไม่เคยมีใครบอกทางลัดให้ หลังล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักกับการฟาร์มเงิน เดินดุ่มไร้ทิศทางจนถูกยิงตายมาก็หลายครั้ง หวังใจว่าพวกเขาตอนนี้จะเป็นร่างทองที่เอาชนะทุกอุปสรรคได้สบาย แต่เปล่าเลย 

พวกเขายังสนุกกับการชนะปนแพ้ สู้อย่างสุดฝีมือบนแช็ปเตอร์ปัจจุบันโดยไม่กลัวเควสต์ใหม่ แม้จะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแถวหน้าของวงการในวัยใกล้ 30 และกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิตที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี วันที่ 19 สิงหาคมนี้

สำหรับวงที่มีเกมเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เราถามพวกเขาว่านี่ถือเป็นชัยชนะที่ตามหารึเปล่า

Three Man Down ตอบว่า คอนเสิร์ตใหญ่เป็นเพียงแค่บอสตัวแรกเท่านั้น

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

DEATHMATCH

ถ้ามอง Three Man Down เป็นเควสต์เกม ช่วงไหนของวงที่ถือว่ายากและท้าทายที่สุด

ตูน : ช่วงยังไม่เกิด

เต : ช่วงต้นเกม ถ้าคนเล่นเกมจะเข้าใจว่ายังไม่เกิดคืออะไร (หัวเราะ)

เส็ง : เรียกว่าความเสี่ยงเยอะดีกว่า จังหวะที่เดินไปฟาร์ม (การเก็บเลเวล) เราไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรที่ดักซุ่มเราอยู่ ปัจจัยมันยากไปหมด 

กิต : ถ้าตัวละครเรามีเลเวลสูงหรือเงินเยอะ เวลาไปฟาร์ม โดนตีตายก็ยังไม่แย่มาก แต่ของเราคือห้ามตาย 

เต : ถ้าอยู่ดี ๆ ตอนต้นเกมเงินหมดขึ้นมา หรือมีอะไรผิดพลาดเรื่องครอบครัว ความรัก แล้วตัดสินใจหยุดไปตอนนั้น คือจบเลย 

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเริ่มต้น

ตูน : ยากสุดก็เรื่องเงินแหละ เราต้องแบ่งเวลาไปทำงาน เพื่อเอาเงินจากงานที่เราทำมาต่อยอดกับดนตรี อีกอย่างคือไม่รู้ว่าจุดไหนจะทำให้เราเลเวลอัปบ้าง เราเห็นคนนั้นเก่ง แต่เราเป็นแบบคนนั้นไม่ได้ โลกความจริงไม่เหมือนเกมที่จะทำตามแล้วได้ผลลัพธ์เหมือนเขา 

ผมมีช่วงที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า จะได้เลเวลอัปในสายงาน แต่ก็ยอมทิ้งโอกาสตรงนั้น เพราะเราชอบทางนี้มากกว่า มองระยะยาวว่าอยากลุยในสายดนตรีมากกว่า เลยคิดว่าจะใช้งานหลักเป็นที่ฟาร์มเงินเฉย ๆ 

กิต : แล้วพอเป็นแบบนั้น มันทำให้เรา Struggled in the Middle ตูนทำงานที่โรงเรียน ผมทำฟรีแลนซ์ เราไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ถ้าผมมีโปรเจกต์ใหญ่เข้ามาในงานฟรีแลนซ์ ผมก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่รู้ว่าถ้าทำแล้วส่วนของดนตรีจะเป็นยังไง

เต : ส่วนของผมคือตัวเอง เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่ในทุกมิติว่าจะทิ้งความสะดวกสบายที่มีอยู่ในวันนั้นไหม ผมทำงานกับที่บ้าน มันปลอดภัย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ ถ้าใครเคยทำงานกับที่บ้าน มันไม่ได้เหมือนบริษัทที่เราไปทำงานกับใครก็ไม่รู้ เรามีครอบครัวเป็นตัวประกัน การที่เราเลือกเดินออกมาก็เหมือนทิ้งครอบครัว แต่พ่อผมบอกว่า มึงคงไม่ได้อยากทำสิ่งนี้หรอก กูไล่มึงออก ผมก็โอเค ดีใจที่เขาปลดล็อกให้เรามาทำตามความฝัน แล้วก็รู้สึกว่าต้องกลับไปตอบแทนครอบครัวในการตัดสินใจครั้งนั้น

กิต : โดนไล่ออกจากบ้านตัวเองด้วยความเต็มใจ (หัวเราะ)

เส็ง : ผมว่าน่าจะคล้าย ๆ กันหมด เพราะมันเป็นช่วงแรกของการทำงาน หนึ่ง เราต้องหาแมปให้ฟาร์ม ต้องหาแหล่งทุนในการเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่เราชอบ ผมเหมือนเตอย่างหนึ่งคือทำงานกับที่บ้าน ผมว่าถ้าเราออกจากตรงนี้แล้วใครจะช่วยที่บ้านทำ ตอนนั้นผมแทบไม่กล้าลาหยุดเลย 

กิต : เส็งก็เลยเลือกที่จะไล่พ่อออก (หัวเราะ) 

เส็ง : ใช่ครับ อะไรเนี่ย (หัวเราะ) ผมก็ค่อย ๆ แก้ ค่อย ๆ ปรับไป

คือพอเราเดินทางไปเรื่อย ๆ ภาพของวงในอนาคตก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเรียกความไว้วางใจจากที่บ้านมาเรื่อย ๆ จนเขาเข้าใจเราไปเองว่าการทำวงมันเลี้ยงดูเราได้

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

แต่ละคนใช้ไอเทมอะไรในการเอาชนะช่วงเวลาเหล่านั้น

กิต : พลังแฝงครับ (หัวเราะ) หรือที่เรียกว่า Passive Skill อาจจะมีไอเทมวิเศษชิ้นหนึ่งขึ้นมา

ถ้าเป็นในเกม แต่ละคนเป็นฮีโร่ที่ไม่เหมือนกัน มีสกิลล์ไม่เหมือนกัน ออกของไม่เหมือนกัน รับหน้าที่ไม่เหมือนกัน เส็งกับเตอาจจะมีปัญหาคล้ายกัน แต่โรลกับไอเทมต่างกันแน่นอน อย่างพลังแฝงของตูนคือการทำงานในสถานการณ์บีบคั้นได้ คือแบ่งเวลาที่มีอยู่น้อยได้ดี 

ตูน : Passive Skill ของผมน่าจะชื่อว่า Energy 300% (หัวเราะ)

กิต : ส่วนของผมจะเป็น Berserk สกิลล์เลือดสุดท้าย สมมติว่าจะตายแล้วก็จะมีเลือดเด้งขึ้นมาให้อีกครึ่งหนึ่ง แล้วตอนนั้นจะโดนดาเมจแรงขึ้น แต่ผมก็จะโจมตีได้แรงขึ้นด้วย ไม่ได้ชอบความเจ็บปวดนะ แต่ฮึดสุดท้ายมันจะบ้ามาก ส่วนสกิลล์ประจำตัวของเตจะเป็นรูปดวงตา ในดวงตามีเป้าปืนอีกทีหนึ่ง (หัวเราะ) ส่วนของเส็งจะเป็นตัวซัพพอร์ต มีออร่าที่บลัฟเพื่อนอยู่ คืออยู่ด้วยแล้วสบายใจ

เต : Three Man Down มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือพยายามเข้าใจเกม เข้าใจว่าเกมต้องการอะไร เอาชนะความยากด้วยการมองภาพรวม แล้วหาช่องว่างของเกมที่จะเร็วที่สุด ช่วงนี้อะไรมา เรากระโจนเข้าไปในความท้าทายของมัน ถ้าประสบความสำเร็จก็ดี ถ้าไม่ เราก็หาความท้าทายใหม่

กิต : ถ้ามองเป็นเกมแล้วไม่เข้าใจ อาจจะมองเป็นทหาร 4 คน ตูนเป็นคนถือปืนกลใหญ่ คอยลุย มีอุปกรณ์สะพายพร้อม ไม่ต้องกลัวหิว กลัวตาย 

เต : ส่วนกิตเป็นปืนเล็ก ไว เป็นตัวที่วิ่งเข้าไปตายเรื่อย ๆ (หัวเราะ) ส่วนผมเป็น Eagle Eyes อยู่บนตึก เส็งเป็นสไนเปอร์ คอยดูแลเพื่อนและเป็นหน่วยแพทย์

เซิร์ฟต่อไปที่ Three Man Down กำลังจะเล่นคืออิมแพ็ค อารีน่า แล้วเซิร์ฟแรกที่พวกคุณลงแข่งคือที่ไหน

เต : เวทีแรกที่เราขึ้นเหรอ 5 GUM 

กิต : อันนั้นเราเพิ่งล็อกอินเข้าเกมเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) อย่าว่าแต่เซิร์ฟเวอร์เลย เราน่าจะเพิ่งสร้างตัวละครกัน 

เต : เหมือนโหลดเกมเสร็จแล้วกด Deathmatch เลย 

มองเห็นอะไรในตัวเองวันนั้น

ตูน : ผมคิดว่าเกมมีให้เล่นแค่นั้น ไปประกวด กลับบ้าน แล้วก็ไปประกวดอีกอันหนึ่ง

เต : ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องประกวดแล้ว ทุกคนอยากทำเพลงปล่อยในยูทูบ แต่ยุคนั้นโอกาสในบ้านเราไม่ได้มีมาก มันเป็นช่องทางเดียวที่เด็กมหาลัยมองว่าจะทำให้มีชื่อเสียง มีรายได้ 

ตูน : ตอนนั้นเราประกวดเยอะสัส แทบทุกอาทิตย์ เทคโนโลยีมันยังไม่ก้าวหน้ามาก เราทำโฮมสตูดิโอง่าย ๆ ไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นเวย์ที่เราเป็น เราต้องไปห้องซ้อม ประกวดกันบนเวที เพื่อให้ทุกคนเข้ามาเห็น 

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

เป้าหมายในการไปประกวดคืออะไร

ตูน : ไปชนะ 

เส็ง : เราเหมือนกลุ่มวัยรุ่นที่แค่บ้าเล่นดนตรี อยากเล่นดนตรีกับเพื่อน แต่พอเล่นไปวัน ๆ ซ้อมไปวัน ๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เราเลยลองลงประกวด เป้าหมายหลังจากนั้นคือการลงประกวดไปเรื่อย ๆ ทำคัฟเวอร์ไปเรื่อย ๆ 

งั้นถ้าชนะประกวดแล้วจะไปไหนต่อ

กิต : นั่นดิ (หัวเราะ) 

เต : เราคงหวังให้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น แต่ความจริงคือเราไม่ชนะไง 

กิต : ช่วงนั้นก็มีเงินรางวัล ถ้าชนะได้ไปเล่นที่นั่น ได้ทำเพลงกับคนนี้ ตอนนั้นความคิดมีแค่นั้นเอง เรายังเลเวลไม่ถึงที่จะมีแรงก์โหมดให้กด (หัวเราะ)

พวกคุณแพ้มาเยอะแค่ไหน

เต : ผมใช้คำว่าแพ้ตลอด

กิต : ใช้คำว่าเคยชนะครั้งแรกครั้งเดียวดีกว่า (หัวเราะ) ที่เหลือก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

อะไรทำให้วงที่ประกวดกี่ครั้งก็แพ้ตัดสินใจประกวดต่ออีกเรื่อย ๆ 

(ตอบพร้อมกัน) มันไม่มีอะไรทำครับ (หัวเราะ)

กิต : ไม่มีใครมาบอกเราว่าการทำแบบนี้มันตัน ถ้าเทียบเป็นคนเล่นกล้าม เหมือนเราเล่นผิดท่า เหมือนคุณเล่นท่าเดิมไปเรื่อย ๆ แล้วคิดว่ากล้ามจะใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ มันต้องมีคนมาจับมือคุณแล้วบอกว่าเล่นแบบนี้จะดีกว่า 

ประกวดชนะ รอโอกาส ประกวดชนะ รอโอกาส ประกวดแพ้ แล้วยังไงต่อ เราไม่รู้เลย

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

รู้ตัวตอนไหนว่ากำลังเดินผิดทาง

เต : ผมว่ามีกลิ่นตั้งแต่เราแพ้มาเรื่อย ๆ (หัวเราะ) จนกูไม่รู้ว่าจะแพ้อะไรแล้ว เหมือนนี่เป็นเวทีอินดี้ เราเอาเพลงร็อกไปเล่น เวทีนี้เป็นเพลงร็อก เราเอาอินดี้ไปเล่น ถ้าแทงหวยก็คือผิดทุกตัว รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว โลกไม่เข้าใจเรา จนมาเจองานหนึ่งที่มีคนเดินมาตบไหล่ว่า กูเรียกพวกมึงมาเพื่อให้พวกมึงรู้ว่าควรเลิกประกวด 

กิต : เพราะมันไม่มีคนไปประกวดกันแล้ว ทุกคนเล่นเพลงตัวเอง แต่เราเล่นเพลงคัฟเวอร์อยู่วงเดียว ถ้านี่เป็นการประกวดกล้าม ก็เหมือนเราอกปูดข้างเดียว (หัวเราะ) เราไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นไปโชว์สิ่งที่เราเล่นกล้ามมาด้วยซ้ำ เรารู้ก็วันนั้นแหละว่าต้องมีเพลงเป็นของตัวเองได้แล้ว 

ทำไมวัยรุ่นอายุ 20 ต้น ๆ ถึงมุ่งมั่นในเส้นทางที่ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จรึเปล่า

ตูน : พวกเราวิ่งสู้ฟัด 

เต : มันเป็นคาแรกเตอร์ของคนเล่นเกมที่ไม่ยอมแพ้เกม 

กิต : ภาษาเกมจะเรียกว่าการ Grinding คือออกไปแพ้ แต่ไม่เลิก 

เต : มีเกมหนึ่งที่บอสเก่งมาก ๆ เราจะแพ้เป็นร้อยตา แต่ขอแค่ตาเดียวที่เราชนะมัน ต่อให้เลือดเราเหลือนิดเดียว เราจะเข้าใจทุกองค์ประกอบของบอสตัวนั้น แล้วหลังจากนั้นเราจะเล่นง่ายขึ้น 

กิต : เกมบางเกมที่คนเล่นแล้วยากมาก ๆ จนเป็นไปไม่ได้ จะมีคน 2 ประเภท คือเลิกเล่น กับคนที่จะเล่นให้ได้ เพราะเชื่อว่าจะต้องชนะ Three Man Down เป็นประเภทหลังที่เชื่อว่ายังไงเกมนี้ก็ต้องมีวิธีชนะ เราต้องฝึกตัวเอง ต้องจำทุกอย่าง แพ้ก็ต้องจำว่าแพ้เพราะอะไร ชนะก็ต้องจำว่าเราทำอะไรและใช้ต่อ แต่ถ้าเกมหน้าไม่ใช่ ก็ต้องเปลี่ยน

การมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของตัวเองคือการได้รับชัยชนะรึยัง

กิต : ไม่ 

(ตอบพร้อมกัน) นั่นคือบอสตัวแรก

เต : เราฟาร์มทั้งหมดมาก็เพื่อเจอกับบอสตัวนี้ พวกเราเป็นคนบ้าแบบนี้แหละ

บอสที่ชื่อว่าคอนเสิร์ตใหญ่น่ากลัวยังไง

กิต : มันเป็นบอสที่น่าตบมาก (หัวเราะ) ถ้าตั้งวงดนตรี ผมว่าใคร ๆ ก็อยากตบบอสตัวนี้ปะ

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

Three Man Down
Live at IMPACT Arena

ทำไมถึงเลือกจัดคอนเสิร์ตแค่รอบเดียว

กิต : สำหรับวงดนตรี การสร้างความทรงจำเข้าไปในหัวใจครั้งแรก ผมว่าควรจะใส่เต็มจนไม่เหลืออะไรกลับบ้านทั้งคนดูและคนเล่น ถ้าเกิดว่าพรุ่งนี้หรือเย็นนั้นต้องเล่นอีกรอบ ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคนดูและของตัวเองด้วย ผมใส่ไม่กั๊กไม่ได้

เต : คอนเสิร์ตมีแค่โมเมนต์เดียว ต่อให้เล่นเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่องค์ประกอบไม่มีทางเหมือนเดิม ดังนั้น มันควรจะมีแค่ครั้งเดียว 

บางวงเล่นหลายรอบได้ แต่พวกเราวิเคราะห์กันแล้วว่าวงเราจะทำแค่ครั้งเดียวโดยใส่เต็มทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนที่ไปมีภาพ Magic Moment เดียวกัน แล้วมันจะเล่าในแบบเดียวว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เป็นเรื่องเล่าเรื่องเดียวที่ไม่ได้บอกว่าเพลงนี้ในวันแรกกับวันที่สองแตกต่างกันยังไง

สมาชิกแต่ละคนมีส่วนร่วมอะไรในคอนเสิร์ตบ้าง

กิต : ตามโรลทุกอย่าง เราทำงานแบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เส็งดู Merchandise ดูเรื่องอุปกรณ์ ตูนเป็นเฮดเรื่องดนตรี ผมเป็นเฮดเรื่องภาพ เตเป็นเหมือนโปรดิวเซอร์ คอยตรวจสอบ รวบรวมทุกอย่างขึ้นมา เหมือนในเกมเลย (หัวเราะ)

เต : ผมว่าทุกคนแบกรับโปรเจกต์ไว้ทุกมิติ มีคำพูดที่บอกว่า ไม่มีใครเข้าใจวงได้เท่ากับตัววงเองหรอก ซึ่งต้องให้เครดิตค่ายกับแกรมมี่ด้วยที่ไว้ใจให้วงเป็นคนครีเอตงาน แต่ในความจริงเราทำงานกันแค่นั้นไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีคนมาช่วยเรา

กิต : ถ้านับ 1 – 10 เริ่มนับ 1 – 2 จะเป็น Three Man Down 3 – 5 อาจจะเป็นทีมงานจากค่าย และสุดท้ายก็ต้องวนกลับมาที่เราเสมอ ไม่มีการปล่อยถึง 10 โดยที่ชิ้นงานนี้ไม่เคยผ่านตาพวกเรา

แพ้เป็นพระชนะเป็น Three Man Down วงที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมตาย ในวันที่เจอบอสตัวแรกของชีวิต

โจทย์แรกของการทำคอนเสิร์ตนี้คืออะไร

เต : จะทำคอนเสิร์ตใหญ่ที่มีครั้งเดียวที่อิมแพ็ค อารีน่า

กิต : แล้วก็ไม่อยากใช้คำว่าครั้งแรก อยากใช้คำว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

ตูน : ไม่อยากแฟนตาซีมาก เหมือนเราไปดู Star Wars มันก็คือ Star Wars

เต : ตอนแรกมีคนเสนอมาหลายความคิด จะทำ Trilogy ไหม มี 3 ภาค เล่นกับคำว่า 3 ไหม แต่พวกเรามองว่าคอนเสิร์ตที่เป็นคอนเสิร์ตจริง ๆ น้อยมาก ในปีหนึ่งก็มีเฟสติวัลไม่ถึง 20 ครั้ง ดังนั้น คำว่าคอนเสิร์ตควรประกอบไปด้วยทุก ๆ รายละเอียดที่กำหนดให้คนดูรู้สึก ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

ไม่หวือหวา ไม่แฟนตาซีเลยเหรอ

กิต : หวือหวา แฟนตาซี แต่ไม่มีธีมครอบไว้ นี่คือ Original Three Man Down ครับ

ถ้ามีธีม มีคำมากำกับ มันต้องมีภาพ แต่พอไม่มีธีม มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ และนี่คือความพิเศษ

ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้

เต : หนึ่ง มันโดนเลื่อนมา สอง เราโชคดีที่โดนเลื่อน 

เพราะถ้ามองย้อนกลับไป เพลงทั้งหมดในอัลบัมแรกอาจยังไม่ตอบโจทย์กับการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ เพลงอัลบัมสองก็ถูกกำหนดมาให้เล่นคอนเสิร์ตได้สนุกขึ้น พอเราจะจัดในอิมแพ็ค เท่ากับโชว์ในคอนเสิร์ตมีทั้งฟังก์ชันของอัลบัมแรกและสองที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน มันจึงมีความหลากหลายมากขึ้น 

ถ้าไม่จัดตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปจัดเมื่อไหร่ คอนเสิร์ตนี้คือการ Wrap Up ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดให้เป็นรูปธรรมที่สุด แล้วเราจะไปต่อ 

พลังแฝงของ Three Man Down วงที่แพ้มากกว่าชนะแต่ตายไม่ได้ กับคอนเสิร์ตใหญ่ที่เป็นแค่บอสตัวแรกของชีวิต

NEXT LEVEL

มองย้อนกลับไป Three Man Down มีอายุกี่ปี

กิต : เข้าปีที่ 10 แล้ว

แต่ด้วยความที่พวกคุณประสบความสำเร็จมากในช่วง 2 – 3 ปีหลังนี้ หลาย ๆ คนเลยไม่รู้ว่า Three Man Down มีประวัติศาสตร์ยาวนานขนาดนั้น 

เต : ที่เขามองแบบนั้นเพราะไม่มีใครสนใจประวัติศาสตร์ 4 ปีแรกของเรา 

เรายังคุยกันอยู่ทุกครั้งที่ไปประกวด คนอื่นเขามีเพื่อน มีคนมาช่วย ๆ กัน แต่สิ่งที่พวกเราเป็นคือเรามีกัน 5 คน หิ้วเครื่องดนตรีเอง ไม่มีกองเชียร์ ไม่มีอะไร เรื่องเล่าตรงนั้นถ้าเราไม่ถ่ายเก็บไว้เอง ป่านนี้ก็คงถูกลืมไปแล้ว

กิต : ถ้าปลายทางไม่ได้ถูกสนใจก็ไม่มีใครไปสนใจต้นทางหรอก ถูกต้องแล้วที่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น 

เต : มันเป็นการเล่าย้อนเสมอ

กิต : ถ้าเราสมหวังก็คงไม่มีให้เล่าย้อนไป ประวัติศาสตร์ก็คงจะเริ่มตั้งแต่ตรงนั้น (หัวเราะ) 

ในระยะเวลา 10 ปี ช่วงไหนที่ถือว่าพีกสุดของวง

กิต : ผมเคยถามผู้กำกับที่ร่วมงานกันว่า มองจากภายนอก Three Man Down พีกตอนไหนบ้าง เขาบอกว่า ฝนตกไหม กับเพลง น้อง เพราะไม่ได้มองเรื่องความดัง แต่มันคือการสร้าง Era เพลงที่เซตยุคแรกคือ ฝนตกไหม กับยุคที่สองก็คือเพลง น้อง เป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก

พลังแฝงของ Three Man Down วงที่แพ้มากกว่าชนะแต่ตายไม่ได้ กับคอนเสิร์ตใหญ่ที่เป็นแค่บอสตัวแรกของชีวิต

ตอนนี้ถือว่าพวกคุณก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินเบอร์ต้น ๆ แล้ว การไปต่อจากช่วงที่พีกมาก ๆ มันยากไหม

กิต : ก็กลับไปท้าย ๆ แล้วค่อยขึ้นมาพีกใหม่ (หัวเราะ) 

วันก่อนก็เพิ่งคิดเรื่องนี้ เรื่องการทำอะไรสักอย่างต่อไปในอนาคต ผมมองว่าอุตสาหกรรมเพลงประเทศเราเล็ก เลยทำให้มีคำว่าเบอร์ 1 เบอร์ 2 ถ้าเป็นต่างประเทศ มี Guns N’ Roses มี Coldplay ใครดังกว่ากัน เราวัดไม่ได้หรอก สุดท้ายจัดคอนเสิร์ตก็เต็มทั้งคู่ เพราะเค้กก้อนนี้ใหญ่มาก Guns N’ Roses ไม่ได้กินเค้กทั้งก้อน เขาก็แบ่งเท่าที่อยากกินไปให้คนอื่น ๆ แต่พอเป็นบ้านเรา เค้กมีเท่านี้ อยู่ที่ใครจะกิน 

เส็ง : ผมว่าอยู่ที่วัตถุประสงค์มากกว่า ถ้าวงวงหนึ่งไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเบอร์ 1 ความนิยมแค่นี้ก็พอใจแล้ว 

กลัววันที่จะรับความนิยมน้อยลงรึเปล่า

เต : มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว ต่อให้กลัวก็ต้องเกิดขึ้น แต่หลังจากความนิยมน้อยลงแล้ว คนจะพูดถึงเราแบบไหน เราเชื่อในงานตัวเองไหม และเราได้ทิ้งอะไรไว้ให้กับวงการบ้าง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องทำในวันนี้

คิดว่าโชคดีไหมที่เคยผ่านความเจ็บปวดจากการพ่ายแพ้เมื่อ 4 ปีแรกมาก่อน

เต : ใช้เป็นความโชคดีไม่ได้ แต่มันเป็นสกิลล์ที่ถ้าพลาด เราจะไม่มีวันรู้แล้ว

กิต : เป็นการเติบโตที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ กลายเป็นว่าเราเข้าใจในกระบวนการ เข้าใจอุตสาหกรรม เข้าใจจนไม่เจ็บปวดมากแล้ว 

เราเคยอยู่ในจุดที่เราไม่รู้สักด้าน โทษคนนู้นคนนี้ แต่พอเปลี่ยนบทบาทไปทำอันอื่น มันเต็มไปด้วยข้อจำกัด Three Man Down วนไปทุกวงแล้ว เตไปทำออร์แกไนซ์ให้คนอื่น ผมไปตัด MV ให้คนอื่น ตูนไปทำเพลงให้คนอื่น เส็งไปทำแบรนด์เสื้อผ้าให้คนอื่น การทำหลาย ๆ บทบาทแล้วเอาสกิลล์ทุกอย่างมาใช้กับวงตัวเองทำให้เราเข้าใจ 100%

เต : ถ้าเควสต์นี้ล้มเหลว ถ้าพลาด มันย้อนกลับมาเล่นไม่ได้ ยกเว้นเริ่มเกมใหม่ แล้วเควสต์ที่เราไปทำดูเหมือนเควสต์ไร้สาระ เหมือนเราแวะไปเก็บผัก ตัดต้นไม้ แต่ถ้าเล่นเกมจริง ๆ พอเลเวลสูง ๆ คนแม่งอยากกลับไปทำเควสต์ตัดต้นไม้ เพราะมันไม่มีผักไม่มีต้นไม้ให้ใช้แล้ว สุดท้ายต้องจ่ายเงินซื้อ แต่คนที่ขยันเก็บมาตั้งแต่เลเวล 1 สุดท้ายปลายทางแม่งมีชัย 

หลังตกตะกอนทุกอย่างมา อยากจะเล่าอะไรในยุคใหม่ของ Three Man Down 

เส็ง : ตอนนี้เป็นการเดินทางของวงที่นับว่าเสี่ยงเหมือนกัน เพราะมีเพลงที่จะถูกคาดหวังในอนาคต กับเพลงที่ไม่รู้ว่าจะคาดหวังได้รึเปล่า 

ในอัลบัมนี้เราจะลองทำอะไรเสี่ยง ๆ ไว้ก่อน เหมือนอย่างที่กิตกับเตพูดไว้ว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้ว นับเป็นความโชคดีของเราที่ยังมีบุญเก่าของเพลงก่อน ๆ ในอัลบัม 1 อยู่ด้วย ทำให้เรายังมีทุนในส่วนนั้นใช้อยู่ งั้นเราลองหาอะไรใหม่ ๆ ในยุคที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปสู่ยุคหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าทุกคนรู้สึกเหมือนกันไหม แต่ผมว่ายุคนี้คือการเปลี่ยนผ่านของวงการดนตรีในบ้านเรา 

เต : เหมือนการพนัน ถ้าถูกก็รวยเละ ถ้าผิดก็อาจจะทรง ๆ เพราะสายป่านเรายังยาว แต่ถ้าแทงผิดไปเรื่อย ๆ ก็เจ๊งกลับบ้าน (หัวเราะ) ตอนนี้เราพนันกับสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง เพราะเราว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ 

กิต : แล้ววงเราจะไม่เล่นเกมแบบเดิม เพราะดีที่สุดของการเล่นแบบเดิมคือได้ผลลัพธ์เท่าเดิม ไม่ดีกว่าเดิมเด็ดขาด ไม่ก็แย่ลง เพราะฉะนั้น การลองทำสิ่งใหม่ ๆ มันอาจจะได้ผลก็ได้ อัลบัมนี้เราเลยไม่ Play Safe แต่เรา Paid Safe นะ (หัวเราะ)

พลังแฝงของ Three Man Down วงที่แพ้มากกว่าชนะแต่ตายไม่ได้ กับคอนเสิร์ตใหญ่ที่เป็นแค่บอสตัวแรกของชีวิต

ที่ผ่านมา เพลงของ Three Man Down มักเล่าเรื่องรักไม่สมหวัง แล้วพวกคุณมองความรักในวัยใกล้ 30 ยังไง

กิต : เป็นความเข้าใจบวกกับไม่ได้มานั่งโอดครวญกับความเจ็บปวดของตัวเองแล้ว มันเป็นการระบายออกไปมากกว่า เราไม่พ่อแง่แม่งอน ไม่น้อยใจ ไม่ฟูมฟาย เป็นแค่การตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น และเรารู้สึกยังไง 

ถ้าตีบอสที่ชื่อว่าคอนเสิร์ตใหญ่ได้แล้ว อยากทำอะไรต่อ

กิต : ไม่รู้เลย เพราะเกมดำเนินมาถึงแช็ปเตอร์นี้ เราก็ต้องเล่นแช็ปเตอร์นี้ก่อน พอจบแล้วมันก็จะมีเควสต์ใหม่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอให้เราเล่นต่อเอง ถ้ายังไม่มีแสดงว่าแพตช์ยังไม่อัป ก็ฟาร์มรอไปก่อน (หัวเราะ) ทุกวันนี้เควสต์ที่อยู่ขวามือหน้าจอก็เยอะฉิบหายแล้ว

พวกคุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า วงไม่มีเวลามาเก็บเกี่ยวความสำเร็จ ยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม

เต : เป็นแบบนั้นเสมอ

กิต : เราไม่มีเวลาแม้กระทั่งลิ้มรสลาเต้ข้างทาง เฉลิมฉลองกันหน่อยว่าสิ่งที่เราทำมามันหอมหวานขนาดไหน แวะจิบกาแฟกันสักหน่อยหนึ่ง แต่ไม่อะ เรากินกาแฟเพราะง่วง แค่นั้น (หัวเราะ) อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ ดีไม่ดีค่อยว่ากัน ทำต่อ

นับเป็นเรื่องน่าเสียดายไหม

เต : สะใจมากกว่า มันคือการ Reinvest ถ้าเราได้ 10 เราก็ลงไปอีก 15 ถ้าได้ 15 คืนมา เราก็ลงไปอีก 30 แต่ถ้าพลาดก็หมดเลยนะ (หัวเราะ) เพราะว่าเราลงไม่แบ่งเก็บเลย เป็นนักลงทุนนิสัยเสีย เงินที่ทำในอัลบัมแรกก็ลงกับอัลบัมสองหมด

กิต : ทุกวันนี้เงินเก็บในกระเป๋ากูก็ยังเท่าเดิมเลย งงมาก (หัวเราะ)

เต : ช่วงนี้เรายังสนุกกับการทำงาน ยังมีแรง มันคือสิ่งที่เราตั้งใจอยากทำตั้งแต่เด็ก ๆ 

กิต : ผมว่ามันเป็นนิสัยของเจเนอเรชันด้วย ยุคเราน่าจะนิสัยแบบนี้เยอะ การเสพสื่อในวัยเด็กมีผลมาก เราได้ข้อคิดจากการ์ตูน เกม การเมือง นายเองก็เป็นฮีโร่ได้นะ ทุกคนมีความ All In ในตัวอยู่เสมอ ผมเลยมองว่าเด็กสมัยผมที่อายุใกล้ 30 มีความอยากเป็นฮีโร่ในแบบของตัวเอง

ถ้าเริ่มต้นแรง ๆ มัน ๆ แล้วไม่กลัวจะเหนื่อยเร็วเหรอ

กิต : เหนื่อยนานแล้วครับ ไม่ต้องกลัว (หัวเราะ)

เต : เหนื่อยตลอดแหละ ผมว่ามันเหมือนการวิ่งมาราธอนจนกว่าจะเหนื่อยตาย

เส็ง : ตั้งแต่ทำวงมาไม่เคยไม่เหนื่อยเลย

กิต : มีช่วงไม่เหนื่อยแล้วก็รู้สึกว่าทำไมพวกกูแม่งโง่ ช่วงโควิดก็รู้สึกไม่มีคุณค่า ชีวิตห่อเหี่ยวหดหู่ เข้าใจเลยว่าคนจีนที่ทำงาน 60 ปี พอเกษียณอยู่บ้านแล้วป่วยเลยเป็นยังไง (หัวเราะ) ผมหยุดพักงาน เล่นเกมจนหายใจออกมาเป็นปุ่ม X O สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม

เต : จุดนี้มันอาจจะสนุกที่สุดของเกมก็ได้ วันที่เราประสบความสำเร็จมากกว่านี้ มีเงินมากกว่านี้ มีทีมใหญ่กว่านี้ บางทีความสนุกอาจจะหายไปก็ได้ เราต้องรักษาเพดานของความท้าทายไว้เสมอ คนชอบถามก่อนขึ้นเวทีใหญ่ ๆ ว่าตื่นเต้นไหม ผมก็ยังอยากตื่นเต้นอยู่ ถ้าวันไหนขึ้นเวทีแล้วไม่ตื่นเต้นเลย ผมอยากเลิก เพราะผมคงไม่มีความสุขแล้ว

กิต : อย่างที่เตบอก จุดที่ได้เรียนรู้และยังชนะปนแพ้แต่ยังได้สู้จนสุดฝีมือทุกครั้ง นี่แหละคือจุดที่สนุกที่สุดของเกม แต่เมื่อวันไหนที่ตัวละครเก่งมาก พร้อมไปหมด ลงไปยิงปัง ๆๆ ตาย ชนะ มันไม่สนุกแล้ว วันนั้นเราอาจจะเปลี่ยนเกมเล่น

คำถามสุดท้าย ตอนนี้ Three Man Down ยังติดบั๊กอะไรอยู่

(หัวเราะพร้อมกัน) 

เต : เซิร์ฟเวอร์มันติดบั๊กอยู่ครับ ตอนนี้นักดนตรีทุกคนหรือวงการหลาย ๆ อย่างก็ติดบั๊กเซิร์ฟเหมือนกัน แต่สิ่งที่เราทำได้ คือเล่นให้ดีที่สุดในเกมที่มันยังบั๊กอยู่ 

กิต : เราเล่นให้ดีที่สุด และต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบั๊ก ถ้าแก้บั๊กเซิร์ฟได้ ไม่ใช่แค่วง Three Man Down ไม่ใช่แค่วงการดนตรี แต่เกมชีวิตของทุกคนจะดีขึ้น เราจะเล่นกันอย่างสุดฝีมือ ไม่มีเฟรมเรตตก ไม่มีเด้งออกจากเซิร์ฟ และไม่มีบั๊กครับ (หัวเราะ)

พลังแฝงของ Three Man Down วงที่แพ้มากกว่าชนะแต่ตายไม่ได้ กับคอนเสิร์ตใหญ่ที่เป็นแค่บอสตัวแรกของชีวิต

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์