ตูน ปืนใหญ่ พลังงาน 300%
กิต ปืนกล ว่องไว แถมตายยาก
เต ตาเหยี่ยว คอยสังเกตการณ์
เส็ง สไนเปอร์ คอยชุบชีวิต
‘Three Man Down’ บอกว่าพลังแฝงของพวกเขา คือการวิ่งออกไปตาย แต่ไม่ยอมแพ้
เราเผชิญหน้ากับ 4 ตัวละครหลักในเกมที่สู้ยิบตามานานเกือบ 10 ปี บนสนามดนตรีที่ไม่เคยมีใครบอกทางลัดให้ หลังล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักกับการฟาร์มเงิน เดินดุ่มไร้ทิศทางจนถูกยิงตายมาก็หลายครั้ง หวังใจว่าพวกเขาตอนนี้จะเป็นร่างทองที่เอาชนะทุกอุปสรรคได้สบาย แต่เปล่าเลย
พวกเขายังสนุกกับการชนะปนแพ้ สู้อย่างสุดฝีมือบนแช็ปเตอร์ปัจจุบันโดยไม่กลัวเควสต์ใหม่ แม้จะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแถวหน้าของวงการในวัยใกล้ 30 และกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิตที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี วันที่ 19 สิงหาคมนี้
สำหรับวงที่มีเกมเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เราถามพวกเขาว่านี่ถือเป็นชัยชนะที่ตามหารึเปล่า
Three Man Down ตอบว่า คอนเสิร์ตใหญ่เป็นเพียงแค่บอสตัวแรกเท่านั้น
DEATHMATCH
ถ้ามอง Three Man Down เป็นเควสต์เกม ช่วงไหนของวงที่ถือว่ายากและท้าทายที่สุด
ตูน : ช่วงยังไม่เกิด
เต : ช่วงต้นเกม ถ้าคนเล่นเกมจะเข้าใจว่ายังไม่เกิดคืออะไร (หัวเราะ)
เส็ง : เรียกว่าความเสี่ยงเยอะดีกว่า จังหวะที่เดินไปฟาร์ม (การเก็บเลเวล) เราไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรที่ดักซุ่มเราอยู่ ปัจจัยมันยากไปหมด
กิต : ถ้าตัวละครเรามีเลเวลสูงหรือเงินเยอะ เวลาไปฟาร์ม โดนตีตายก็ยังไม่แย่มาก แต่ของเราคือห้ามตาย
เต : ถ้าอยู่ดี ๆ ตอนต้นเกมเงินหมดขึ้นมา หรือมีอะไรผิดพลาดเรื่องครอบครัว ความรัก แล้วตัดสินใจหยุดไปตอนนั้น คือจบเลย
เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเริ่มต้น
ตูน : ยากสุดก็เรื่องเงินแหละ เราต้องแบ่งเวลาไปทำงาน เพื่อเอาเงินจากงานที่เราทำมาต่อยอดกับดนตรี อีกอย่างคือไม่รู้ว่าจุดไหนจะทำให้เราเลเวลอัปบ้าง เราเห็นคนนั้นเก่ง แต่เราเป็นแบบคนนั้นไม่ได้ โลกความจริงไม่เหมือนเกมที่จะทำตามแล้วได้ผลลัพธ์เหมือนเขา
ผมมีช่วงที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า จะได้เลเวลอัปในสายงาน แต่ก็ยอมทิ้งโอกาสตรงนั้น เพราะเราชอบทางนี้มากกว่า มองระยะยาวว่าอยากลุยในสายดนตรีมากกว่า เลยคิดว่าจะใช้งานหลักเป็นที่ฟาร์มเงินเฉย ๆ
กิต : แล้วพอเป็นแบบนั้น มันทำให้เรา Struggled in the Middle ตูนทำงานที่โรงเรียน ผมทำฟรีแลนซ์ เราไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ถ้าผมมีโปรเจกต์ใหญ่เข้ามาในงานฟรีแลนซ์ ผมก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่รู้ว่าถ้าทำแล้วส่วนของดนตรีจะเป็นยังไง
เต : ส่วนของผมคือตัวเอง เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่ในทุกมิติว่าจะทิ้งความสะดวกสบายที่มีอยู่ในวันนั้นไหม ผมทำงานกับที่บ้าน มันปลอดภัย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ ถ้าใครเคยทำงานกับที่บ้าน มันไม่ได้เหมือนบริษัทที่เราไปทำงานกับใครก็ไม่รู้ เรามีครอบครัวเป็นตัวประกัน การที่เราเลือกเดินออกมาก็เหมือนทิ้งครอบครัว แต่พ่อผมบอกว่า มึงคงไม่ได้อยากทำสิ่งนี้หรอก กูไล่มึงออก ผมก็โอเค ดีใจที่เขาปลดล็อกให้เรามาทำตามความฝัน แล้วก็รู้สึกว่าต้องกลับไปตอบแทนครอบครัวในการตัดสินใจครั้งนั้น
กิต : โดนไล่ออกจากบ้านตัวเองด้วยความเต็มใจ (หัวเราะ)
เส็ง : ผมว่าน่าจะคล้าย ๆ กันหมด เพราะมันเป็นช่วงแรกของการทำงาน หนึ่ง เราต้องหาแมปให้ฟาร์ม ต้องหาแหล่งทุนในการเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่เราชอบ ผมเหมือนเตอย่างหนึ่งคือทำงานกับที่บ้าน ผมว่าถ้าเราออกจากตรงนี้แล้วใครจะช่วยที่บ้านทำ ตอนนั้นผมแทบไม่กล้าลาหยุดเลย
กิต : เส็งก็เลยเลือกที่จะไล่พ่อออก (หัวเราะ)
เส็ง : ใช่ครับ อะไรเนี่ย (หัวเราะ) ผมก็ค่อย ๆ แก้ ค่อย ๆ ปรับไป
คือพอเราเดินทางไปเรื่อย ๆ ภาพของวงในอนาคตก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเรียกความไว้วางใจจากที่บ้านมาเรื่อย ๆ จนเขาเข้าใจเราไปเองว่าการทำวงมันเลี้ยงดูเราได้
แต่ละคนใช้ไอเทมอะไรในการเอาชนะช่วงเวลาเหล่านั้น
กิต : พลังแฝงครับ (หัวเราะ) หรือที่เรียกว่า Passive Skill อาจจะมีไอเทมวิเศษชิ้นหนึ่งขึ้นมา
ถ้าเป็นในเกม แต่ละคนเป็นฮีโร่ที่ไม่เหมือนกัน มีสกิลล์ไม่เหมือนกัน ออกของไม่เหมือนกัน รับหน้าที่ไม่เหมือนกัน เส็งกับเตอาจจะมีปัญหาคล้ายกัน แต่โรลกับไอเทมต่างกันแน่นอน อย่างพลังแฝงของตูนคือการทำงานในสถานการณ์บีบคั้นได้ คือแบ่งเวลาที่มีอยู่น้อยได้ดี
ตูน : Passive Skill ของผมน่าจะชื่อว่า Energy 300% (หัวเราะ)
กิต : ส่วนของผมจะเป็น Berserk สกิลล์เลือดสุดท้าย สมมติว่าจะตายแล้วก็จะมีเลือดเด้งขึ้นมาให้อีกครึ่งหนึ่ง แล้วตอนนั้นจะโดนดาเมจแรงขึ้น แต่ผมก็จะโจมตีได้แรงขึ้นด้วย ไม่ได้ชอบความเจ็บปวดนะ แต่ฮึดสุดท้ายมันจะบ้ามาก ส่วนสกิลล์ประจำตัวของเตจะเป็นรูปดวงตา ในดวงตามีเป้าปืนอีกทีหนึ่ง (หัวเราะ) ส่วนของเส็งจะเป็นตัวซัพพอร์ต มีออร่าที่บลัฟเพื่อนอยู่ คืออยู่ด้วยแล้วสบายใจ
เต : Three Man Down มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือพยายามเข้าใจเกม เข้าใจว่าเกมต้องการอะไร เอาชนะความยากด้วยการมองภาพรวม แล้วหาช่องว่างของเกมที่จะเร็วที่สุด ช่วงนี้อะไรมา เรากระโจนเข้าไปในความท้าทายของมัน ถ้าประสบความสำเร็จก็ดี ถ้าไม่ เราก็หาความท้าทายใหม่
กิต : ถ้ามองเป็นเกมแล้วไม่เข้าใจ อาจจะมองเป็นทหาร 4 คน ตูนเป็นคนถือปืนกลใหญ่ คอยลุย มีอุปกรณ์สะพายพร้อม ไม่ต้องกลัวหิว กลัวตาย
เต : ส่วนกิตเป็นปืนเล็ก ไว เป็นตัวที่วิ่งเข้าไปตายเรื่อย ๆ (หัวเราะ) ส่วนผมเป็น Eagle Eyes อยู่บนตึก เส็งเป็นสไนเปอร์ คอยดูแลเพื่อนและเป็นหน่วยแพทย์
เซิร์ฟต่อไปที่ Three Man Down กำลังจะเล่นคืออิมแพ็ค อารีน่า แล้วเซิร์ฟแรกที่พวกคุณลงแข่งคือที่ไหน
เต : เวทีแรกที่เราขึ้นเหรอ 5 GUM
กิต : อันนั้นเราเพิ่งล็อกอินเข้าเกมเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) อย่าว่าแต่เซิร์ฟเวอร์เลย เราน่าจะเพิ่งสร้างตัวละครกัน
เต : เหมือนโหลดเกมเสร็จแล้วกด Deathmatch เลย
มองเห็นอะไรในตัวเองวันนั้น
ตูน : ผมคิดว่าเกมมีให้เล่นแค่นั้น ไปประกวด กลับบ้าน แล้วก็ไปประกวดอีกอันหนึ่ง
เต : ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องประกวดแล้ว ทุกคนอยากทำเพลงปล่อยในยูทูบ แต่ยุคนั้นโอกาสในบ้านเราไม่ได้มีมาก มันเป็นช่องทางเดียวที่เด็กมหาลัยมองว่าจะทำให้มีชื่อเสียง มีรายได้
ตูน : ตอนนั้นเราประกวดเยอะสัส แทบทุกอาทิตย์ เทคโนโลยีมันยังไม่ก้าวหน้ามาก เราทำโฮมสตูดิโอง่าย ๆ ไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นเวย์ที่เราเป็น เราต้องไปห้องซ้อม ประกวดกันบนเวที เพื่อให้ทุกคนเข้ามาเห็น
เป้าหมายในการไปประกวดคืออะไร
ตูน : ไปชนะ
เส็ง : เราเหมือนกลุ่มวัยรุ่นที่แค่บ้าเล่นดนตรี อยากเล่นดนตรีกับเพื่อน แต่พอเล่นไปวัน ๆ ซ้อมไปวัน ๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เราเลยลองลงประกวด เป้าหมายหลังจากนั้นคือการลงประกวดไปเรื่อย ๆ ทำคัฟเวอร์ไปเรื่อย ๆ
งั้นถ้าชนะประกวดแล้วจะไปไหนต่อ
กิต : นั่นดิ (หัวเราะ)
เต : เราคงหวังให้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น แต่ความจริงคือเราไม่ชนะไง
กิต : ช่วงนั้นก็มีเงินรางวัล ถ้าชนะได้ไปเล่นที่นั่น ได้ทำเพลงกับคนนี้ ตอนนั้นความคิดมีแค่นั้นเอง เรายังเลเวลไม่ถึงที่จะมีแรงก์โหมดให้กด (หัวเราะ)
พวกคุณแพ้มาเยอะแค่ไหน
เต : ผมใช้คำว่าแพ้ตลอด
กิต : ใช้คำว่าเคยชนะครั้งแรกครั้งเดียวดีกว่า (หัวเราะ) ที่เหลือก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
อะไรทำให้วงที่ประกวดกี่ครั้งก็แพ้ตัดสินใจประกวดต่ออีกเรื่อย ๆ
(ตอบพร้อมกัน) มันไม่มีอะไรทำครับ (หัวเราะ)
กิต : ไม่มีใครมาบอกเราว่าการทำแบบนี้มันตัน ถ้าเทียบเป็นคนเล่นกล้าม เหมือนเราเล่นผิดท่า เหมือนคุณเล่นท่าเดิมไปเรื่อย ๆ แล้วคิดว่ากล้ามจะใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ มันต้องมีคนมาจับมือคุณแล้วบอกว่าเล่นแบบนี้จะดีกว่า
ประกวดชนะ รอโอกาส ประกวดชนะ รอโอกาส ประกวดแพ้ แล้วยังไงต่อ เราไม่รู้เลย
รู้ตัวตอนไหนว่ากำลังเดินผิดทาง
เต : ผมว่ามีกลิ่นตั้งแต่เราแพ้มาเรื่อย ๆ (หัวเราะ) จนกูไม่รู้ว่าจะแพ้อะไรแล้ว เหมือนนี่เป็นเวทีอินดี้ เราเอาเพลงร็อกไปเล่น เวทีนี้เป็นเพลงร็อก เราเอาอินดี้ไปเล่น ถ้าแทงหวยก็คือผิดทุกตัว รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว โลกไม่เข้าใจเรา จนมาเจองานหนึ่งที่มีคนเดินมาตบไหล่ว่า กูเรียกพวกมึงมาเพื่อให้พวกมึงรู้ว่าควรเลิกประกวด
กิต : เพราะมันไม่มีคนไปประกวดกันแล้ว ทุกคนเล่นเพลงตัวเอง แต่เราเล่นเพลงคัฟเวอร์อยู่วงเดียว ถ้านี่เป็นการประกวดกล้าม ก็เหมือนเราอกปูดข้างเดียว (หัวเราะ) เราไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นไปโชว์สิ่งที่เราเล่นกล้ามมาด้วยซ้ำ เรารู้ก็วันนั้นแหละว่าต้องมีเพลงเป็นของตัวเองได้แล้ว
ทำไมวัยรุ่นอายุ 20 ต้น ๆ ถึงมุ่งมั่นในเส้นทางที่ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จรึเปล่า
ตูน : พวกเราวิ่งสู้ฟัด
เต : มันเป็นคาแรกเตอร์ของคนเล่นเกมที่ไม่ยอมแพ้เกม
กิต : ภาษาเกมจะเรียกว่าการ Grinding คือออกไปแพ้ แต่ไม่เลิก
เต : มีเกมหนึ่งที่บอสเก่งมาก ๆ เราจะแพ้เป็นร้อยตา แต่ขอแค่ตาเดียวที่เราชนะมัน ต่อให้เลือดเราเหลือนิดเดียว เราจะเข้าใจทุกองค์ประกอบของบอสตัวนั้น แล้วหลังจากนั้นเราจะเล่นง่ายขึ้น
กิต : เกมบางเกมที่คนเล่นแล้วยากมาก ๆ จนเป็นไปไม่ได้ จะมีคน 2 ประเภท คือเลิกเล่น กับคนที่จะเล่นให้ได้ เพราะเชื่อว่าจะต้องชนะ Three Man Down เป็นประเภทหลังที่เชื่อว่ายังไงเกมนี้ก็ต้องมีวิธีชนะ เราต้องฝึกตัวเอง ต้องจำทุกอย่าง แพ้ก็ต้องจำว่าแพ้เพราะอะไร ชนะก็ต้องจำว่าเราทำอะไรและใช้ต่อ แต่ถ้าเกมหน้าไม่ใช่ ก็ต้องเปลี่ยน
การมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของตัวเองคือการได้รับชัยชนะรึยัง
กิต : ไม่
(ตอบพร้อมกัน) นั่นคือบอสตัวแรก
เต : เราฟาร์มทั้งหมดมาก็เพื่อเจอกับบอสตัวนี้ พวกเราเป็นคนบ้าแบบนี้แหละ
บอสที่ชื่อว่าคอนเสิร์ตใหญ่น่ากลัวยังไง
กิต : มันเป็นบอสที่น่าตบมาก (หัวเราะ) ถ้าตั้งวงดนตรี ผมว่าใคร ๆ ก็อยากตบบอสตัวนี้ปะ
Three Man Down
Live at IMPACT Arena
ทำไมถึงเลือกจัดคอนเสิร์ตแค่รอบเดียว
กิต : สำหรับวงดนตรี การสร้างความทรงจำเข้าไปในหัวใจครั้งแรก ผมว่าควรจะใส่เต็มจนไม่เหลืออะไรกลับบ้านทั้งคนดูและคนเล่น ถ้าเกิดว่าพรุ่งนี้หรือเย็นนั้นต้องเล่นอีกรอบ ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคนดูและของตัวเองด้วย ผมใส่ไม่กั๊กไม่ได้
เต : คอนเสิร์ตมีแค่โมเมนต์เดียว ต่อให้เล่นเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่องค์ประกอบไม่มีทางเหมือนเดิม ดังนั้น มันควรจะมีแค่ครั้งเดียว
บางวงเล่นหลายรอบได้ แต่พวกเราวิเคราะห์กันแล้วว่าวงเราจะทำแค่ครั้งเดียวโดยใส่เต็มทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนที่ไปมีภาพ Magic Moment เดียวกัน แล้วมันจะเล่าในแบบเดียวว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เป็นเรื่องเล่าเรื่องเดียวที่ไม่ได้บอกว่าเพลงนี้ในวันแรกกับวันที่สองแตกต่างกันยังไง
สมาชิกแต่ละคนมีส่วนร่วมอะไรในคอนเสิร์ตบ้าง
กิต : ตามโรลทุกอย่าง เราทำงานแบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เส็งดู Merchandise ดูเรื่องอุปกรณ์ ตูนเป็นเฮดเรื่องดนตรี ผมเป็นเฮดเรื่องภาพ เตเป็นเหมือนโปรดิวเซอร์ คอยตรวจสอบ รวบรวมทุกอย่างขึ้นมา เหมือนในเกมเลย (หัวเราะ)
เต : ผมว่าทุกคนแบกรับโปรเจกต์ไว้ทุกมิติ มีคำพูดที่บอกว่า ไม่มีใครเข้าใจวงได้เท่ากับตัววงเองหรอก ซึ่งต้องให้เครดิตค่ายกับแกรมมี่ด้วยที่ไว้ใจให้วงเป็นคนครีเอตงาน แต่ในความจริงเราทำงานกันแค่นั้นไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีคนมาช่วยเรา
กิต : ถ้านับ 1 – 10 เริ่มนับ 1 – 2 จะเป็น Three Man Down 3 – 5 อาจจะเป็นทีมงานจากค่าย และสุดท้ายก็ต้องวนกลับมาที่เราเสมอ ไม่มีการปล่อยถึง 10 โดยที่ชิ้นงานนี้ไม่เคยผ่านตาพวกเรา
โจทย์แรกของการทำคอนเสิร์ตนี้คืออะไร
เต : จะทำคอนเสิร์ตใหญ่ที่มีครั้งเดียวที่อิมแพ็ค อารีน่า
กิต : แล้วก็ไม่อยากใช้คำว่าครั้งแรก อยากใช้คำว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ตูน : ไม่อยากแฟนตาซีมาก เหมือนเราไปดู Star Wars มันก็คือ Star Wars
เต : ตอนแรกมีคนเสนอมาหลายความคิด จะทำ Trilogy ไหม มี 3 ภาค เล่นกับคำว่า 3 ไหม แต่พวกเรามองว่าคอนเสิร์ตที่เป็นคอนเสิร์ตจริง ๆ น้อยมาก ในปีหนึ่งก็มีเฟสติวัลไม่ถึง 20 ครั้ง ดังนั้น คำว่าคอนเสิร์ตควรประกอบไปด้วยทุก ๆ รายละเอียดที่กำหนดให้คนดูรู้สึก ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ไม่หวือหวา ไม่แฟนตาซีเลยเหรอ
กิต : หวือหวา แฟนตาซี แต่ไม่มีธีมครอบไว้ นี่คือ Original Three Man Down ครับ
ถ้ามีธีม มีคำมากำกับ มันต้องมีภาพ แต่พอไม่มีธีม มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ และนี่คือความพิเศษ
ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้
เต : หนึ่ง มันโดนเลื่อนมา สอง เราโชคดีที่โดนเลื่อน
เพราะถ้ามองย้อนกลับไป เพลงทั้งหมดในอัลบัมแรกอาจยังไม่ตอบโจทย์กับการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ เพลงอัลบัมสองก็ถูกกำหนดมาให้เล่นคอนเสิร์ตได้สนุกขึ้น พอเราจะจัดในอิมแพ็ค เท่ากับโชว์ในคอนเสิร์ตมีทั้งฟังก์ชันของอัลบัมแรกและสองที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน มันจึงมีความหลากหลายมากขึ้น
ถ้าไม่จัดตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปจัดเมื่อไหร่ คอนเสิร์ตนี้คือการ Wrap Up ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดให้เป็นรูปธรรมที่สุด แล้วเราจะไปต่อ
NEXT LEVEL
มองย้อนกลับไป Three Man Down มีอายุกี่ปี
กิต : เข้าปีที่ 10 แล้ว
แต่ด้วยความที่พวกคุณประสบความสำเร็จมากในช่วง 2 – 3 ปีหลังนี้ หลาย ๆ คนเลยไม่รู้ว่า Three Man Down มีประวัติศาสตร์ยาวนานขนาดนั้น
เต : ที่เขามองแบบนั้นเพราะไม่มีใครสนใจประวัติศาสตร์ 4 ปีแรกของเรา
เรายังคุยกันอยู่ทุกครั้งที่ไปประกวด คนอื่นเขามีเพื่อน มีคนมาช่วย ๆ กัน แต่สิ่งที่พวกเราเป็นคือเรามีกัน 5 คน หิ้วเครื่องดนตรีเอง ไม่มีกองเชียร์ ไม่มีอะไร เรื่องเล่าตรงนั้นถ้าเราไม่ถ่ายเก็บไว้เอง ป่านนี้ก็คงถูกลืมไปแล้ว
กิต : ถ้าปลายทางไม่ได้ถูกสนใจก็ไม่มีใครไปสนใจต้นทางหรอก ถูกต้องแล้วที่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น
เต : มันเป็นการเล่าย้อนเสมอ
กิต : ถ้าเราสมหวังก็คงไม่มีให้เล่าย้อนไป ประวัติศาสตร์ก็คงจะเริ่มตั้งแต่ตรงนั้น (หัวเราะ)
ในระยะเวลา 10 ปี ช่วงไหนที่ถือว่าพีกสุดของวง
กิต : ผมเคยถามผู้กำกับที่ร่วมงานกันว่า มองจากภายนอก Three Man Down พีกตอนไหนบ้าง เขาบอกว่า ฝนตกไหม กับเพลง น้อง เพราะไม่ได้มองเรื่องความดัง แต่มันคือการสร้าง Era เพลงที่เซตยุคแรกคือ ฝนตกไหม กับยุคที่สองก็คือเพลง น้อง เป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก
ตอนนี้ถือว่าพวกคุณก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินเบอร์ต้น ๆ แล้ว การไปต่อจากช่วงที่พีกมาก ๆ มันยากไหม
กิต : ก็กลับไปท้าย ๆ แล้วค่อยขึ้นมาพีกใหม่ (หัวเราะ)
วันก่อนก็เพิ่งคิดเรื่องนี้ เรื่องการทำอะไรสักอย่างต่อไปในอนาคต ผมมองว่าอุตสาหกรรมเพลงประเทศเราเล็ก เลยทำให้มีคำว่าเบอร์ 1 เบอร์ 2 ถ้าเป็นต่างประเทศ มี Guns N’ Roses มี Coldplay ใครดังกว่ากัน เราวัดไม่ได้หรอก สุดท้ายจัดคอนเสิร์ตก็เต็มทั้งคู่ เพราะเค้กก้อนนี้ใหญ่มาก Guns N’ Roses ไม่ได้กินเค้กทั้งก้อน เขาก็แบ่งเท่าที่อยากกินไปให้คนอื่น ๆ แต่พอเป็นบ้านเรา เค้กมีเท่านี้ อยู่ที่ใครจะกิน
เส็ง : ผมว่าอยู่ที่วัตถุประสงค์มากกว่า ถ้าวงวงหนึ่งไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเบอร์ 1 ความนิยมแค่นี้ก็พอใจแล้ว
กลัววันที่จะรับความนิยมน้อยลงรึเปล่า
เต : มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว ต่อให้กลัวก็ต้องเกิดขึ้น แต่หลังจากความนิยมน้อยลงแล้ว คนจะพูดถึงเราแบบไหน เราเชื่อในงานตัวเองไหม และเราได้ทิ้งอะไรไว้ให้กับวงการบ้าง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องทำในวันนี้
คิดว่าโชคดีไหมที่เคยผ่านความเจ็บปวดจากการพ่ายแพ้เมื่อ 4 ปีแรกมาก่อน
เต : ใช้เป็นความโชคดีไม่ได้ แต่มันเป็นสกิลล์ที่ถ้าพลาด เราจะไม่มีวันรู้แล้ว
กิต : เป็นการเติบโตที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ กลายเป็นว่าเราเข้าใจในกระบวนการ เข้าใจอุตสาหกรรม เข้าใจจนไม่เจ็บปวดมากแล้ว
เราเคยอยู่ในจุดที่เราไม่รู้สักด้าน โทษคนนู้นคนนี้ แต่พอเปลี่ยนบทบาทไปทำอันอื่น มันเต็มไปด้วยข้อจำกัด Three Man Down วนไปทุกวงแล้ว เตไปทำออร์แกไนซ์ให้คนอื่น ผมไปตัด MV ให้คนอื่น ตูนไปทำเพลงให้คนอื่น เส็งไปทำแบรนด์เสื้อผ้าให้คนอื่น การทำหลาย ๆ บทบาทแล้วเอาสกิลล์ทุกอย่างมาใช้กับวงตัวเองทำให้เราเข้าใจ 100%
เต : ถ้าเควสต์นี้ล้มเหลว ถ้าพลาด มันย้อนกลับมาเล่นไม่ได้ ยกเว้นเริ่มเกมใหม่ แล้วเควสต์ที่เราไปทำดูเหมือนเควสต์ไร้สาระ เหมือนเราแวะไปเก็บผัก ตัดต้นไม้ แต่ถ้าเล่นเกมจริง ๆ พอเลเวลสูง ๆ คนแม่งอยากกลับไปทำเควสต์ตัดต้นไม้ เพราะมันไม่มีผักไม่มีต้นไม้ให้ใช้แล้ว สุดท้ายต้องจ่ายเงินซื้อ แต่คนที่ขยันเก็บมาตั้งแต่เลเวล 1 สุดท้ายปลายทางแม่งมีชัย
หลังตกตะกอนทุกอย่างมา อยากจะเล่าอะไรในยุคใหม่ของ Three Man Down
เส็ง : ตอนนี้เป็นการเดินทางของวงที่นับว่าเสี่ยงเหมือนกัน เพราะมีเพลงที่จะถูกคาดหวังในอนาคต กับเพลงที่ไม่รู้ว่าจะคาดหวังได้รึเปล่า
ในอัลบัมนี้เราจะลองทำอะไรเสี่ยง ๆ ไว้ก่อน เหมือนอย่างที่กิตกับเตพูดไว้ว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้ว นับเป็นความโชคดีของเราที่ยังมีบุญเก่าของเพลงก่อน ๆ ในอัลบัม 1 อยู่ด้วย ทำให้เรายังมีทุนในส่วนนั้นใช้อยู่ งั้นเราลองหาอะไรใหม่ ๆ ในยุคที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปสู่ยุคหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าทุกคนรู้สึกเหมือนกันไหม แต่ผมว่ายุคนี้คือการเปลี่ยนผ่านของวงการดนตรีในบ้านเรา
เต : เหมือนการพนัน ถ้าถูกก็รวยเละ ถ้าผิดก็อาจจะทรง ๆ เพราะสายป่านเรายังยาว แต่ถ้าแทงผิดไปเรื่อย ๆ ก็เจ๊งกลับบ้าน (หัวเราะ) ตอนนี้เราพนันกับสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง เพราะเราว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ
กิต : แล้ววงเราจะไม่เล่นเกมแบบเดิม เพราะดีที่สุดของการเล่นแบบเดิมคือได้ผลลัพธ์เท่าเดิม ไม่ดีกว่าเดิมเด็ดขาด ไม่ก็แย่ลง เพราะฉะนั้น การลองทำสิ่งใหม่ ๆ มันอาจจะได้ผลก็ได้ อัลบัมนี้เราเลยไม่ Play Safe แต่เรา Paid Safe นะ (หัวเราะ)
ที่ผ่านมา เพลงของ Three Man Down มักเล่าเรื่องรักไม่สมหวัง แล้วพวกคุณมองความรักในวัยใกล้ 30 ยังไง
กิต : เป็นความเข้าใจบวกกับไม่ได้มานั่งโอดครวญกับความเจ็บปวดของตัวเองแล้ว มันเป็นการระบายออกไปมากกว่า เราไม่พ่อแง่แม่งอน ไม่น้อยใจ ไม่ฟูมฟาย เป็นแค่การตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น และเรารู้สึกยังไง
ถ้าตีบอสที่ชื่อว่าคอนเสิร์ตใหญ่ได้แล้ว อยากทำอะไรต่อ
กิต : ไม่รู้เลย เพราะเกมดำเนินมาถึงแช็ปเตอร์นี้ เราก็ต้องเล่นแช็ปเตอร์นี้ก่อน พอจบแล้วมันก็จะมีเควสต์ใหม่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอให้เราเล่นต่อเอง ถ้ายังไม่มีแสดงว่าแพตช์ยังไม่อัป ก็ฟาร์มรอไปก่อน (หัวเราะ) ทุกวันนี้เควสต์ที่อยู่ขวามือหน้าจอก็เยอะฉิบหายแล้ว
พวกคุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า วงไม่มีเวลามาเก็บเกี่ยวความสำเร็จ ยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม
เต : เป็นแบบนั้นเสมอ
กิต : เราไม่มีเวลาแม้กระทั่งลิ้มรสลาเต้ข้างทาง เฉลิมฉลองกันหน่อยว่าสิ่งที่เราทำมามันหอมหวานขนาดไหน แวะจิบกาแฟกันสักหน่อยหนึ่ง แต่ไม่อะ เรากินกาแฟเพราะง่วง แค่นั้น (หัวเราะ) อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ ดีไม่ดีค่อยว่ากัน ทำต่อ
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายไหม
เต : สะใจมากกว่า มันคือการ Reinvest ถ้าเราได้ 10 เราก็ลงไปอีก 15 ถ้าได้ 15 คืนมา เราก็ลงไปอีก 30 แต่ถ้าพลาดก็หมดเลยนะ (หัวเราะ) เพราะว่าเราลงไม่แบ่งเก็บเลย เป็นนักลงทุนนิสัยเสีย เงินที่ทำในอัลบัมแรกก็ลงกับอัลบัมสองหมด
กิต : ทุกวันนี้เงินเก็บในกระเป๋ากูก็ยังเท่าเดิมเลย งงมาก (หัวเราะ)
เต : ช่วงนี้เรายังสนุกกับการทำงาน ยังมีแรง มันคือสิ่งที่เราตั้งใจอยากทำตั้งแต่เด็ก ๆ
กิต : ผมว่ามันเป็นนิสัยของเจเนอเรชันด้วย ยุคเราน่าจะนิสัยแบบนี้เยอะ การเสพสื่อในวัยเด็กมีผลมาก เราได้ข้อคิดจากการ์ตูน เกม การเมือง นายเองก็เป็นฮีโร่ได้นะ ทุกคนมีความ All In ในตัวอยู่เสมอ ผมเลยมองว่าเด็กสมัยผมที่อายุใกล้ 30 มีความอยากเป็นฮีโร่ในแบบของตัวเอง
ถ้าเริ่มต้นแรง ๆ มัน ๆ แล้วไม่กลัวจะเหนื่อยเร็วเหรอ
กิต : เหนื่อยนานแล้วครับ ไม่ต้องกลัว (หัวเราะ)
เต : เหนื่อยตลอดแหละ ผมว่ามันเหมือนการวิ่งมาราธอนจนกว่าจะเหนื่อยตาย
เส็ง : ตั้งแต่ทำวงมาไม่เคยไม่เหนื่อยเลย
กิต : มีช่วงไม่เหนื่อยแล้วก็รู้สึกว่าทำไมพวกกูแม่งโง่ ช่วงโควิดก็รู้สึกไม่มีคุณค่า ชีวิตห่อเหี่ยวหดหู่ เข้าใจเลยว่าคนจีนที่ทำงาน 60 ปี พอเกษียณอยู่บ้านแล้วป่วยเลยเป็นยังไง (หัวเราะ) ผมหยุดพักงาน เล่นเกมจนหายใจออกมาเป็นปุ่ม X O สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม
เต : จุดนี้มันอาจจะสนุกที่สุดของเกมก็ได้ วันที่เราประสบความสำเร็จมากกว่านี้ มีเงินมากกว่านี้ มีทีมใหญ่กว่านี้ บางทีความสนุกอาจจะหายไปก็ได้ เราต้องรักษาเพดานของความท้าทายไว้เสมอ คนชอบถามก่อนขึ้นเวทีใหญ่ ๆ ว่าตื่นเต้นไหม ผมก็ยังอยากตื่นเต้นอยู่ ถ้าวันไหนขึ้นเวทีแล้วไม่ตื่นเต้นเลย ผมอยากเลิก เพราะผมคงไม่มีความสุขแล้ว
กิต : อย่างที่เตบอก จุดที่ได้เรียนรู้และยังชนะปนแพ้แต่ยังได้สู้จนสุดฝีมือทุกครั้ง นี่แหละคือจุดที่สนุกที่สุดของเกม แต่เมื่อวันไหนที่ตัวละครเก่งมาก พร้อมไปหมด ลงไปยิงปัง ๆๆ ตาย ชนะ มันไม่สนุกแล้ว วันนั้นเราอาจจะเปลี่ยนเกมเล่น
คำถามสุดท้าย ตอนนี้ Three Man Down ยังติดบั๊กอะไรอยู่
(หัวเราะพร้อมกัน)
เต : เซิร์ฟเวอร์มันติดบั๊กอยู่ครับ ตอนนี้นักดนตรีทุกคนหรือวงการหลาย ๆ อย่างก็ติดบั๊กเซิร์ฟเหมือนกัน แต่สิ่งที่เราทำได้ คือเล่นให้ดีที่สุดในเกมที่มันยังบั๊กอยู่
กิต : เราเล่นให้ดีที่สุด และต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบั๊ก ถ้าแก้บั๊กเซิร์ฟได้ ไม่ใช่แค่วง Three Man Down ไม่ใช่แค่วงการดนตรี แต่เกมชีวิตของทุกคนจะดีขึ้น เราจะเล่นกันอย่างสุดฝีมือ ไม่มีเฟรมเรตตก ไม่มีเด้งออกจากเซิร์ฟ และไม่มีบั๊กครับ (หัวเราะ)