5 พฤษภาคม 2021
21 K

หากวันนี้คุณอยากเดินทางออกไปจากเมืองที่อาศัยอยู่ เพื่อไปปะทะกับแดดจ้า ลมโชย ไอดิน และกลิ่นของแม่น้ำ ขอแสดงความเสียใจ สถานการณ์ในโลกตอนนี้คงไม่อนุญาตให้เราได้ออกจากบ้านได้ง่ายดายเท่าไรนัก

แต่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ 

เราจะพาคุณออกเดินทางผ่านตัวอักษรแทน ซึ่งไกด์นำทางของเราในวันนี้คือ งบ-ธัชรวี หาริกุล เจ้าของแบรนด์ Thailand Outdoor และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Thailandoutdoor.com ตำนานของวงการ ‘กิจกรรมกลางแจ้ง’ เมืองไทย ที่ทุกวันนี้กลายมาเป็นชุมชนของผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์ชีวิตกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

เนื้อหาของทริปในวันนี้ไม่ไกลไปกว่าเส้นทางชีวิตของตัวงบเอง แต่ระหว่างทางเหล่านั้น ผู้อ่านจะได้พบกับธรรมชาติมากล้น ทั้งหุบเขาเขียวชอุ่ม น้ำตกลึกลับกลางชุมชนกะเหรี่ยง พระจันทร์ริมหาดทรายที่แวดล้อมด้วยดาวนับแสน ฯลฯ เพราะชีวิตของงบคือชีวิตของผู้ชายกลางแจ้งอย่างแท้จริง มันจึงเต็มไปด้วยฉากของธรรมชาติที่น่าตื่นตะลึง 

กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เขาออกจากบ้านเพื่อไปตั้งแคมป์ เดินป่า พายเรือมาแล้วหลายร้อยทริป ซึ่งเหตุผลที่ชวนให้เขาออกไปนั้น มีไม่มากไปกว่าการได้ไปใช้ลมหายใจอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

ช่วงหนึ่งของบทสนทนา เขาเล่าถึงช่วงเวลาแสนวิเศษที่ธรรมชาติมอบให้กับเขาว่า

“ตอนนั้นผมต้องลุกขึ้นมา เอากระดาษกับปากกามาเขียนบันทึกความรู้สึกนั้นไว้ นอนไม่ได้เพราะไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะสัมผัสโมเมนต์นั้น”

หากอยากรู้ว่าช่วงเวลานั้นคืออะไร ผู้อ่านคงต้องลองออกเดินตามเขาไป รับรองกว่าหลังจากจบทริปนี้ คุณจะได้รู้จักกับผืนป่าที่เขาเคยเดิน สายน้ำที่เขาเคยล่อง รวมไปถึงความสวยงามของธรรมชาติที่เขาหลงใหลมากขึ้น

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

เริ่มต้นชีวิตที่กลางแจ้ง

ถ้าให้นิยามคำว่าชีวิตกลางแจ้ง คุณจะนิยามว่ามันเป็นไลฟ์สไตล์แบบไหน

ผมคิดว่านิยามของมันอาจเป็นการเอาตัวเองออกไปพักจากความเป็นเมืองที่มันห่อหุ้มตัวเราอยู่ ออกไปอยู่กับธรรมชาติ ให้เราได้พักจากสิ่งวุ่นวายรอบตัว ไปรู้จักคำว่า ‘ชีวิตจริง’ ออกไปเดินป่า พายเรือ ดำน้ำ ทุกอย่างที่เป็นการออกไปสู่ธรรมชาติ ถึงแม้ชั่วคราวก็ตาม เพราะสุดท้ายเราต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ยังต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพอยู่ดี แต่การได้เอาความคิดออกไปจากสังคมเมืองบ้าง พักผ่อนจากเรื่องเหล่านี้บ้าง ผมว่านั่นแหละคือชีวิตกลางแจ้งจริง ๆ

ชีวิตกลางแจ้งของคุณเริ่มต้นจากตรงไหน

มันมาจากแรงบันดาลใจหลาย ๆ อย่างร่วมกัน ส่วนหนึ่งคือพ่อของเราเขาชอบเที่ยวป่า สมัยก่อนผมเกิด พ่อจะพาพี่สาว พี่ชาย ขับรถจี๊ปไปเที่ยวกัน แต่พอเราโตมาสักแปดถึงสิบขวบ เขาก็เริ่มพาเราเที่ยวด้วย ซึ่งทำให้เราเริ่มชอบมาตั้งแต่นั้น

นอกจากนี้ก็ยังมีแรงบันดาลใจจากการอ่านนิยายด้วย คือเรื่อง เพชรพระอุมา กับ ล่องไพร ล่องไพร เป็นนิยายที่เก่ามาก น่าจะเป็นนิยายที่เกี่ยวกับป่าฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งเราก็เอาชื่อตัวละครจากนิยายเรื่องนี้มาเป็นนามปากกาที่ใช้เขียน คือ ‘ตาเกิ้น’ ก็เป็นพรานกะเหรี่ยงแก่ ๆ ในนิยาย ล่องไพร

อย่างตอนทำเว็บไซต์เราก็เขียนเกี่ยวกับเรื่องปืนทุกกระบอกใน เพชรพระอุมา เพราะเราเป็นคนชอบปืน แล้วก็อ่าน เพชรพระอุมา หลายรอบ ยุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต คนที่อ่าน เพชรพระอุมา ไม่เคยเห็นภาพว่าปืนแต่ละชนิดหน้าตาเป็นยังไง เราก็เขียนออกมาหมดเลยว่าปืนที่อยู่ในนิยายเรื่องนี้มีอะไรบ้าง หน้าตาเป็นยังไง ปรากฏว่าครูพนมเทียนแกเห็นเลยให้คนมาตามว่าคนนี้เป็นใคร อยากคุยด้วย ก็เลยมีโอกาสได้พบท่านตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว แกก็เอ็นดูเราเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เพราะผมอายุเท่าๆ กับลูกของแก จากนั้นก็มีโอกาสได้ไปหาแกทุกปีๆ 

นิยายสองเรื่องนี้คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ทนแดด ทนฝน

ทริปที่ทำให้คุณหลงใหลชีวิตเอาต์ดอร์จริงๆ คือทริปไหน

เป็นทริปที่เราได้ลุยเดี่ยวเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงอายุประมาณสามสิบกว่า ตอนนั้นบังเอิญมีคนรู้จักเป็นนักเขียนอยู่ที่อนุสาร อ.ส.ท. วันหนึ่งเขาพูดกับผมว่า “พี่ ผมรู้ว่าพี่ชอบแม่น้ำ เพราะเวลาถ่ายรูปก็จะมีแต่แม่น้ำ แล้วก็เขียนถึงแม่น้ำ ผมอยากให้พี่ไปเที่ยวแม่น้ำสายหนึ่งชื่อแม่เงา ที่ชื่อแม่เงาเพราะว่ามันใสเหมือนกระจกและมันสวยมาก” เราก็เลยชวนเพื่อนคนหนึ่งไปด้วยกันกับเรา

พอไปถึงก็ได้เจอกับหัวหน้าอุทยานฯ เขาเล่าว่าแถวนี้ชาวกะเหรี่ยงลือกันว่าในพื้นที่นี้มีน้ำตก แต่คนเมืองยังไม่เคยมีใครไปเห็น ผมตื่นเต้นมาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอินเดียน่าโจนส์กำลังจะไปสำรวจน้ำตก เหมือนคนในยุคก่อนอย่าง พี่ดวงดาว สุวรรณรังษี ที่ไปเจอน้ำตกทีลอซูแล้วถ่ายรูปออกมา แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามันไกล ต้องนั่งเรือเข้าไปแล้วเดินขึ้นเขาที่ชันมากๆ อีกสองวัน

ผมเลยกลับมาทำการบ้านใหม่ และพบว่าถ้าเริ่มต้นเดินทางจากฝั่งอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จะใช้เวลาเดินไม่ถึงหนึ่งวัน แล้วก็ไม่ต้องขึ้นเขาด้วย ตอนนั้นเราอยู่ป่ากันมาเจ็ดวันแล้ว ผมเลยต้องโทรไปลางานเพิ่ม ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันวันลาหมดเลยต้องกลับกรุงเทพฯ เหลือผมคนเดียว สุดท้ายก็เลยได้ไปกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกสามคน เราเดินหลงป่ากันอยู่หนึ่งวันกว่าจะไปเจอน้ำตก ซึ่งมันมีชื่อที่ชาวกะเหรี่ยงตั้งไว้ว่า ‘โอโละโกร’ เป็นน้ำตกที่ใหญ่มาก สูงเป็นร้อยเมตร หลังจากนั้นเราก็หลงป่าอีกสองวันกว่าจะกลับออกมาได้ ผมเลยผูกพันกับที่นั่นมาก สนิทกับทั้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้และชาวบ้าน

คุณฝึกทักษะในการเดินป่าและใช้ชีวิตในธรรมชาติจากที่ไหน

หลักๆ ก็คงเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานและชาวบ้านนี่แหละที่เป็นคนให้ความรู้เรา นอกจากนี้ในนิตยสาร ชีวิตกลางแจ้ง ก็บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ทุกเรื่อง ทั้งการใช้แผนที่นำทาง การใช้เข็มทิศ แม้กระทั่งวิธีผูกเบ็ดตกปลา ผมเริ่มอ่านชีวิตกลางแจ้งตั้งแต่อายุสิบสี่ปี และซื้ออ่านทุกเดือนนับตั้งแต่ฉบับแรกใน พ.ศ. 2524 ต้องเล่าว่านิตยสารเล่มนี้มีทุกมิติของคนที่ชอบชีวิตกลางแจ้ง ตั้งแต่การเดินป่า ตกปลา ดูนก พายเรือ ยิงธนู ยิงปืน ทุกอย่างรวมอยู่ในเล่มเดียวกันหมด เราที่เป็นคนเมือง อาศัยอยู่ในเมือง พอได้อ่านนิตยสารเล่มนี้ก็ทำให้เราได้รู้ว่าโลกข้างนอกมันมีสิ่งต่าง ๆ ให้เราทำอีกมาก มีคนไปตกปลาตัวใหญ่ ๆ ที่สิมิลัน หรือว่าเดินป่า ขึ้นดอยที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ คือมันให้จินตนาการกับเรา 

นอกจากนี้เราก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง อย่างตอนที่ผมไปเที่ยวทุ่งใหญ่นเรศวรกับชาวกะเหรี่ยง เขามีข้าวสารที่ห่อไปในผ้าขาวม้า มีดหนึ่งเล่ม เกลือ แล้วก็พริก นอกนั้นก็ไปหาเอาระหว่างทาง จับปลาบ้าง เก็บผัก เก็บเห็ด แล้วก็ก่อไฟ แม้แต่หม้อยังไม่ได้เอาไปเลย ทุกอย่างใช้ไม้ไผ่หมด พอเราซึ่งเป็นคนเมืองไปเห็น ได้คุยกับเขา ไปเที่ยวที่บ้านเขา เราก็ได้เรียนรู้วิธีอยู่กับธรรมชาติจากเขา

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย
ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

Thailand Outdoor ชุมชนที่มีจุดเริ่มต้นจากสนามยิงธนู

Thailandoutdoor.com มีที่มาที่ไปอย่างไร

มันเริ่มจากการที่นิตยสาร ชีวิตกลางแจ้ง ปิดตัวลงใน พ.ศ. 2534 ตอนนั้นด้วยความที่เราชอบมันมาก เราก็มานั่งคุยกับเพื่อนว่าอยากให้มีนิตยสารแบบนี้อีก พอดีกับตอนนั้นอินเทอร์เน็ตเพิ่งมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ เลย ก็เลยเกิดไอเดียทำนิตยสารออนไลน์กันขึ้นมา ตอนแรกที่เปิดเราใช้ชื่อ Thailand Outdoor Net Zeen แต่ตอนหลังก็ไปจดโดเมนเป็นชื่อ thailandoutdoor.com ซึ่งในเว็บไซต์ก็จะมีบทความต่างๆ คล้ายกับนิตยสาร ชีวิตกลางแจ้ง เช่น มีบทความบันทึกการท่องเที่ยวและบทความแนะนำอุปกรณ์กลางแจ้งต่างๆ

จากนั้นเว็บไซต์ก็เติบโตขึ้นและกลายเป็นแหล่งรวมของคนคอเดียวกันจากทั่วประเทศ ซึ่งจริงๆ ในวันที่เปิดมันก็มีเว็บบอร์ดที่พูดเกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยวเดินป่าอยู่หลายที่นะ แต่ที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับชีวิตกลางแจ้งจริงๆ มีที่นี่ที่เดียว ซึ่งมีทั้งเรื่องปืน ตกปลา เรื่องมีด และสารพัดสิ่ง จนชุมชนของเว็บค่อยๆ เกิดขึ้นบนออนไลน์ แต่ก็ยังไม่ได้มาพบปะพูดคุยกันในชีวิตจริง

แล้วจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้เกิดคนในเว็บได้มาพบปะกัน

มันเริ่มมาจากชมรมยิงธนูที่เราชักชวนคนในเว็บบอร์ดนี่แหละมาเล่นด้วยกัน ต้องเล่าว่าสมัยก่อนผมเป็นนักกีฬายิงปืน มีวันหนึ่งเพื่อนชวนไปยิงธนูกัน ผมก็ไปยิงกันแล้วถ่ายรูปมาลงเว็บบอร์ด โอ้โห เว็บบอร์ดแทบแตกเลย เพราะว่าทุกคนอยากเล่นบ้าง เลยมีการนัดมาเล่นด้วยกันแถวหัวหมาก ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้คนเจอในเว็บบอร์ดได้มารวมตัวและเจอหน้ากัน จนเกิดเป็นชมรมยิงธนูขึ้นมา 

ตอนนั้นคุณยังไม่ได้มีสนามธนูเป็นของตัวเอง

ใช่ คือตอนนั้นเรายิงธนูที่สนามแห่งหนึ่ง แต่มันก็ไม่สะดวก เพราะว่าเขาเปิดให้ยิงแค่วันอาทิตย์ตอนบ่าย พอตอนกลางคืนก็ไม่มีไฟอีก แถมคันธนูก็ไม่มีให้เลือกเพราะหาซื้อลำบาก ผมเลยคุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่ทำเว็บไซต์มาด้วยกันตั้งแต่วันแรกว่า ถ้ามันหายากนัก เราอยากได้ คนอื่นก็อยากได้ งั้นเราเปิดร้านขายธนูเลยแล้วกัน

จุดเริ่มต้นเลยตอนนั้นร้านเรามีม็อตโต้ที่บอกว่า ‘เราจะส่งเสริมความสุขของการยิงธนูให้ทั่วถึง’ คือเราต้องการทำให้การยิงธนูเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย เพราะตัวผมเองยิงธนูแล้วมีความสุขมาก ทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ทุกวันตอนเย็นก็จะกลับมายิงธนู เพราะว่ามันสนุก สงบ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง แล้วก็ได้ออกกำลังกายด้วย

คนในชมรมก็มักมาเจอกันตอนเย็นๆ นั่งคุยกันไป ใครอยากยิงธนูก็ไปยิง เพราะว่าธนูมันเสียงไม่ดัง ยิงกันไปคุยกันไปได้ สนามธนูของเราเลยเหมือนที่นั่งเล่นเอาไว้คุยกัน จนตอนหลังๆ คนที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งทั้งหลายก็หลั่งไหลมาที่ร้านธนูนี้ คุยกันไปคุยกันมาสักพักก็เริ่มคุยกันว่าผมชอบปืน ส่วนอีกคนชอบมีด บางทีก็คุยกันว่าผมชอบเดินป่า ปรากฏว่ามีหลายคนที่ชอบเดินป่าเหมือน ก็เลยเกิดกลุ่มเดินป่ารวมตัวกันขึ้นมา

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

จากสนามยิงธนู สู่ธุรกิจขายอุปกรณ์เอาต์ดอร์

หลังจากสนามยิงธนู มันมาสู่ร้านขายอุปกรณ์เอาต์ดอร์ได้อย่างไร

ต้องย้อนไปว่าสมัยก่อนผมทำงานอยู่ที่บริษัท IBM ซึ่งจะถูกส่งไปทำงานที่ต่างประเทศหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งถูกส่งไปที่แคนาดาหลายเดือน เราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์อะไรจากบ้านไปเลย ปรากฏว่าพอไปถึงที่นู่นคนเขาเดินป่า พายเรือกันเต็มเลย เพราะเป็นช่วงซัมเมอร์ เราเลยต้องไปซื้ออุปกรณ์ใหม่ทั้งหมดเพื่อออกไปเที่ยว ไปเดินป่า พายเรือที่แคนาดาอยู่พักหนึ่ง 

พอกลับมาไทยก็ได้ไปเดินป่ากับเพื่อน เราแบกอุปกรณ์จากแคนาดามาก็เลยมีอุปกรณ์ครบเซ็ตมาก ทุกคนถามว่าเราไปเอามาจากไหน อยากได้บ้าง เพราะในยุคนั้น ส่วนใหญ่เขาจะใช้เป็นอุปกรณ์ของทหารหมดเลย เป้ก็ทหาร เต็นท์ก็เป็นเต็นท์ทหาร พูดง่ายๆ คือไม่มีร้านอุปกรณ์สำหรับแคมปิ้งจริง ๆ 

ในสมัยก่อน หากอยากได้อุปกรณ์แคมป์ปิ้งจะต้องไปซื้อที่ไหน

ต้องไปจตุจักร ซึ่งก็มีทั้งของมือหนึ่งและมือสอง ส่วนในห้างก็จะมีเต็นท์ของแบรนด์ไทยขาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเต็นท์สำหรับสามถึงสี่คน ไม่ค่อยมีเต็นท์เบาๆ สำหรับเอาไปเดินป่า

ทีนี้พอเพื่อนเดินป่าด้วยกันบอกว่าอยากได้อุปกรณ์แบบเราบ้าง มันก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนตอนธนูเลย เราก็ต้องฝากเพื่อนซื้อหรือหิ้วกลับมาให้โดยไม่ได้บวกกำไรอะไร จนสักพักหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เพราะคนชักจะสั่งกันเยอะ เลยมีวันหนึ่งที่นั่งคุยกัน ถ้าพวกคุณอยากได้กันขนาดนี้ ผมขนให้ไม่ไหวแล้ว เปิดร้านเลยแล้วกัน

ง่ายๆ แบบนั้น

ใช่ ยังจำวันที่ตัดสินใจทำได้เลย ตอนนั้นนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ในป่าที่แม่ฮ่องสอน แล้วก็ตัดสินใจทำกันเลย มีหุ้นส่วนเริ่มแรกอยู่เจ็ดคน ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีมากที่ได้คนเหล่านี้มาเป็นหุ้นส่วน เพราะเป็นเพื่อนที่ยิงธนูด้วยกัน นิสัยดีทุกคน บ้าทุกคน มีคนหนึ่งที่เป็นเจ้าพ่อเอาต์ดอร์จริงๆ ชื่อไอ้ป๊อป มันเคยทำงานอยู่ที่บริษัทฝรั่งชื่อว่า Outward Bound ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำออแกไนซ์ กิจกรรมกลางแจ้ง เพราะฉะนั้น มันรู้จักอุปกรณ์ทุกอย่าง เลยยกให้เป็นผู้ดูแลและจัดการร้านคนแรก

หน้าร้านแห่งแรกของ Thailand Outdoor คือมุมเล็กๆ ขนาด 3 x 4 เมตรของสนามธนูนี่แหละ โดยม็อตโต้แต่เดิมของร้านเราคือ ‘ผู้สนับสนุนการนอนกลางดิน กินกลางทรายอย่างเป็นทางการ’ คือเราเน้นว่าต้องไปเที่ยวแบบไม่ลำบาก ไม่ต้องไปทรมาน เปียกฝน ก่อกองไฟ เราต้องการสนับสนุนให้ทุกคนมีอุปกรณ์กลางแจ้งที่ดี ไปแบบสะดวกสบาย ‘เป็นทางการ’

ทำไมคุณถึงกล้าตัดสินใจทำธุรกิจของตัวเอง ขณะที่ยังทำงานประจำอยู่

ช่วงนั้นมันมีจุดเปลี่ยนหลายอย่าง ตอนแรกที่เปิดร้าน Thailand Outdoor คือประมาณ พ.ศ. 2552 บังเอิญปีนั้นคุณพ่อของผมป่วยหนัก เราก็ดูแล้วว่าพ่อคงอยู่ได้ไม่นาน เลยไปคุยกับเจ้านายที่ IBM ซึ่งเป็นบริษัทที่เราทำงานมาสิบเก้าปีว่า ผมขอ Leave Without Pay เพื่อไปใช้เวลากับพ่อ ความตั้งใจตอนนั้นไม่ได้ต้องการจะหยุดเพื่อมาดูร้าน แต่พอเราหยุดเพื่อมาดูพ่อ พอดีว่ามันมีเวลาว่าง เราก็เลยมาดูแลร้านธนูและร้าน Thailand Outdoor ไปด้วย

พอครบกำหนดต้องกลับไปทำงาน คุณพ่อก็เสียชีวิตจริงๆ ตอนนั้นจำได้ว่าลาไปเก้าเดือน ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงธันวาคม พอกลับไปเจ้านายก็บอกว่ารออยู่นะ มีตำแหน่งรอไว้ให้เลย ผมก็คิดหนักมากว่าจะกลับไปทำดีไหม เพราะร้านมันเพิ่งเปิด กำลังอยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่ขณะเดียวกันเราก็เสียดายเงินเดือน

ผมลองคำนวณดู ถ้าทำงานที่ร้าน เราจะได้เงินประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เพราะว่ามันเพิ่งเริ่ม ยังทำรายได้ไม่มาก เราคิดแล้วคิดอีก จนถึงวันต้องกลับไปที่ IBM ก็ยังคิดไม่ตก แต่พอเราเปิดประตูเข้าไปในบริษัทแล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เราอีกแล้ว เหมือนกับคำพูดหนึ่งที่บอกว่า 

“ถ้าหัวใจคุณรู้จักอิสรภาพแล้ว คุณจะจับมันกลับไปใส่กล่องเหมือนเดิมไม่ได้” เทียบได้กับการทำธุรกิจส่วนตัวมา มันมีอิสระในการทำสิ่งที่เราอยากจะทำ มีความสุขที่ได้เจอผู้คนที่เดินเข้ามาแล้วเขาชอบการใช้ชีวิตกลางแจ้งเหมือนกัน มาคุยกันว่าอยากไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ไปเที่ยวด้วยกัน เราไม่สามารถกลับไปทำงานรูทีนเหมือนเดิมได้ สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะเดินไปลาออก

หลังจากที่เลือกมารับเงิน 5 เปอร์เซ็นต์แล้วเป็นอย่างไรบ้าง

ทุกวันนี้ผ่านมาสิบสองปีแล้วก็ยังได้ไม่เท่ากับที่เคยได้ตอนนั้นเลย (หัวเราะ) แต่มีความสุขกว่าเยอะ เราได้ออกไปเจอชีวิตอีกแบบหนึ่งที่มันให้อิสระทางความคิด ให้อิสระที่เราจะบริหารงานในแบบของเราเอง เราเอาความรู้ที่ได้จาก IBM มาเลือกใช้ได้ แล้วบริษัทของเรามันก็ค่อยๆ โตขึ้นมา ทั้งร้านธนู และร้าน Thailand Outdoor เราเลือกแบรนด์ที่เราอยากได้ อยากใช้เอง ไม่มีขายในเมืองไทยเราก็ขอเป็นตัวแทน ทีละแบรนด์ๆ จนตอนนี้มีประมาณสี่สิบแบรนด์

การเริ่มทำธุรกิจในวัย 40 ต้นๆ เป็นเรื่องยากไหม

ถามว่ามาเริ่มต้นทำธุรกิจยากไหมก็ต้องบอกว่าไม่ยาก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เรามีแพสชันกับมันจริงๆ เรามีแพสชันกับเรื่องธนู เพราะเรายิงแล้วมีความสุข เราเลยอยากให้คนได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้ เพราะฉะนั้น ตอนที่อยู่ร้านเราก็คุยได้เต็มที่เลย เราจะอธิบายเขายังไง เราเข้าใจความรู้สึกตอนที่เขาเริ่มต้นเพราะเราเคยเป็นอย่างนั้น 

ร้าน Thailand Outdoor ก็เหมือนกัน เรามีแพสชันกับมันมาก เพื่อนๆ อีกหกคนที่มาร่วมหุ้นกันก็เป็นคนที่ชอบเที่ยวป่า เวลาผลัดกันอยู่ร้าน เราตั้งใจมากกว่าเราไม่ได้อยากขายของ แต่อยากให้คนที่เดินเข้ามาเขาได้ของที่เหมาะกับการใช้งานของเขา ดีจริงๆ เหมือนกับที่เราเคยอยากได้ มันเริ่มจากตรงนั้น 

เราก็เริ่มหาของเพราะเราเชื่อว่าถ้าของที่เราอยากได้ เราใช้แล้วชอบ คนอื่นก็น่าจะชอบ ดังนั้น ในด้านการสรรหาของเราก็จะสั่งมาลองใช้จริง ส่วนของที่เราเคยใช้แล้วชอบ ก็จะไปติดต่อเป็นตัวแทนทีละแบรนด์ๆ เคยมียี่ห้ออื่นติดต่อมาเราก็ปฏิเสธ เพราะว่าเราจะเอาเฉพาะยี่ห้อที่เราเคยใช้แล้วชอบเท่านั้น 

ข้อดีหนึ่งของการออกมาทำธุรกิจเอง คือคุณได้มีเวลาได้ไปเที่ยวมากขึ้นหรือเปล่า

ใช่ เพื่อนๆ ที่ IBM เขาก็ถามว่ามันเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน เปลี่ยนไปยังไง เราก็บอกว่า ตอนอยู่ที่นู่นผมทำงาน ห้าวัน เที่ยวสองวัน ตอนนี้ผมเที่ยวห้าวัน ทำงานสองวัน แต่ได้เงินแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ของที่เคยทำอยู่นะ แล้วมันก็มีคำหนึ่งที่เพื่อนเคยถามว่า ออกมาทำงานเองเหนื่อยไหม เราก็ตอบว่าเหนื่อย เพราะมันไม่มีวันหยุด อย่างเมื่อก่อนเราทำงานบริษัทก็คือ ทำงานห้าวัน ถ้าเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราก็วางแผนไปเที่ยวแล้ว พอทำงานส่วนตัวมันไม่ได้หยุดหรอก เพราะต้องคิดทุกวัน 

มันต่างกันนิดเดียว คือตอนทำงานที่บริษัท ทุกเช้าที่ตื่นมาเราต้องปลุกใจตัวเองให้ไปทำงาน แต่พอมาทำงานส่วนตัว เราต้องบอกตัวเองว่า เฮ้ย ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวค่อยๆ ทำ เพราะทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ในหัวเรามีแต่สิ่งที่อยากทำเต็มไปหมด มันต่างกันแค่นี้เอง

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

ประสบการณ์การเดินทางที่ ‘ไม่จำกัด’

การเดินทางครั้งไหนของคุณที่ประทับใจที่สุด

มีหลายครั้ง แต่มีทริปหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของผมเลย คือทริปที่ได้ไปกับบริษัท Fjällräven ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสำหรับใส่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตอนนั้นเขาจัดทริปเดินป่าชื่อ Fjällräven Classic ซึ่งเป็นการเดินทางไกลระยะทางหนึ่งร้อยสิบกิโลเมตร ตอนนั้นเราเที่ยวป่ามาเป็นสิบๆ ปีแต่ไม่เคยเดินเกินสามสิบกิโลเมตร ทริปนี้จึงน่าตื่นเต้นมากสำหรับเรา

ตอนนั้นเรารวมตัวกับคนที่เป็นหุ้นส่วนและลูกค้าใกล้ชิดทั้งหมดสิบสองคน เพื่อไปทริปนี้ด้วยกัน เราไปเดินกัน หนึ่งร้อยสิบกิโลเมตร ไม่มีไกด์ แต่สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือ เราเห็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตกลางแจ้งของชาวสวีเดน คือทุกคนแบกของเอง บางคนแบกเป้ใบเบ้อเริ่มแล้วเดินไกลกว่าเราอีก เด็กตัวเล็กๆ เดินมากับพ่อแม่เขาก็ต้องแบกของด้วยตัวเอง เขาแข็งแรงมาก ใช้ชีวิตกลางแจ้งแบบแบกของเองหมด นอนตรงไหนก็ได้ ไม่มีแคมป์ไซต์ อีกอย่างที่ทึ่งมากคือ ตลอดระยะเวลาที่เดินหนึ่งร้อยสิบกิโลเมตร ผมไม่เห็นขยะแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่มีถังขยะด้วยนะ เขาแบกของเอง ไม่ทิ้งขยะ เดินกันเองไม่มีไกด์ แล้วทุกคนในเทรลก็น่ารักมาก ไม่มีการเหยียดผิวไม่มีอะไรเลย

ตอนนั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือเราทุกคนคือเผ่าเดียวกัน เป็นเผ่ากลางแจ้งเหมือนกัน เราให้ความช่วยเหลือกันทุกอย่าง บางคนเท้าเจ็บ ก็มีคนที่ผ่านมาก็จะเอาพลาสเตอร์มาแปะให้ มาชวนคุยว่ากินกาแฟไหม คนในเทรลพูดคุยกันหมด เราใช้เวลาเดินทั้งหมดห้าวัน เกือบตาย แต่ประทับใจมาก

นอกจากความประทับใจแล้ว จุดเปลี่ยนทางความคิดที่เกิดขึ้นคืออะไร

วัฒนธรรมการเดินป่าที่ต้องเดินระยะไกลโดยพึ่งพาตัวเอง 

คือคนไทยเราไปไหนก็มีลูกหาบ สมัยก่อนผมเที่ยวก็มีลูกหาบ ส่วนเราก็แบกของแค่นิดหน่อย แต่ที่นั่นเขาพึ่งพาตัวเองและดูแลธรรมชาติเป็นอย่างดี เราเลยเกิดความคิดว่า เราจะสร้างวัฒนธรรมอย่างนี้ในเมืองไทยได้ยังไง ก็เลยคุยกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนด้วยกันว่า งั้นเราทำ Fjällräven Thailand บ้างดีไหม เราก็เลยติดต่อ Fjällräven ไป บอกว่าอยากจะทำกิจกรรมนี้โดยเสนอให้จัดที่แม่เงา เพราะผมคุ้นเคยกับชาวบ้านและรู้จักเส้นทางอยู่แล้ว

ใน พ.ศ. 2561 เราก็เลยไปสำรวจเส้นทางกันจนได้เทรลที่มีความยาวห้าสิบกิโลเมตรมา ซึ่งจะเป็นการเดินบนสันเขา พาไปดูต้นน้ำ ดูป่า และให้ความรู้ระหว่างการเดินทางจำนวนสี่วัน เพื่อให้เขาได้สัมผัสและเข้าใจธรรมชาติจริงๆ

Fjällräven Thailand ที่แม่เงา เลยกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นมา ชื่อว่า ‘มูลนิธิธรรมชาติไม่จำกัด’ ขึ้น เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราใช้ธรรมชาติอย่างถูกต้อง มันจะไม่หมดไปและไม่จำกัด คือไม่ใช่แค่การพาคนไปเที่ยวป่า แต่เป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติไปในตัวด้วย เพราะผมมองว่าการจะทำให้การอนุรักษ์ในประเทศนี้ประสบความสำเร็จได้ เราต้องมีคนที่เข้าใจธรรมชาติจริงๆ มากกว่านี้

เราเชื่อว่าการสร้างวัฒนธรรมเดินป่าที่ดี พาคนเข้าไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆ แบบที่แม่เงา มันจะสร้างวัฒนธรรม สร้างความรู้ ความคิดใหม่ ใช้คำว่าจริยธรรมเลยด้วยซ้ำไป อย่างที่สวีเดน ตอนเราไปเดินในเทรลเขาไม่มีตำรวจนะ ไม่มีใครมาบอกว่าทิ้งขยะปรับหนึ่งพันบาท แต่มันคือจริยธรรมที่ถูกสร้างไว้ให้คนของเขา การอนุรักษ์ การใช้ชีวิตกลางแจ้ง ในบ้านเขาถึงได้ประสบความสำเร็จ ผมว่าเราต้องเดินไปหาตรงนั้นแหละ ซึ่งมันยังอีกไกล แต่ว่านั่นคือเป้าหมายที่เราอยากจะไป

อุปสรรคที่สำคัญในงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของไทยคืออะไร

ต้องบอกว่าเรายังให้โอกาสคนไทยสัมผัสกับธรรมชาติจริงๆ น้อยเกินไป เพราะความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้บอกเล่าหรือสอนกันได้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่คุณต้องสัมผัสและรู้สึกเอง ครูที่ผมเคารพคนหนึ่งเขาพูดคำหนึ่งอยู่เสมอว่า “ผู้รู้ย่อมเห็นเอง” การที่รู้แจ้งต้องมาจากการที่ได้พบเห็นเองจริงๆ ผมเชื่อว่าคนที่เราพาไปเดินที่แม่เงา แล้วเขาได้มีโมเมนต์ที่เห็นธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติจริงๆ เขาจะรักมัน เขาจะรักธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดตามคนอื่น

ความรักในธรรมชาติที่คุณว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ผมว่าการเดินป่าระยะไกลหรือการพายเรือแคนูแคมปิ้งให้ความรู้สึกนี้ได้ เพราะมันปราศจากสิ่งรบกวน ปราศจากความเจริญของเมือง บางครั้งคุณเดินเข้าไปในป่า ถ้าคุณมีโมเมนต์ที่ไม่ได้เฮฮากันมากนัก ไม่ได้โวยวายร้องเพลงกัน เป็นช่วงเวลาเงียบๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกว่าธรรมชาติมันใหญ่มากและตัวคุณเล็กนิดเดียว มันเป็นโมเมนต์ที่คุณจะมีเวลาสังเกตต้นไม้เล็กๆ เสียงน้ำไหล หรือเสียงสัตว์ต่างๆ มันเป็นสิ่งที่คุณต้องสัมผัสด้วยตัวเอง อ่านหนังสือก็ไม่เข้าใจ คนบอกเล่า ดูภาพ ก็ไม่รู้สึก

เพราะฉะนั้น เราควรให้โอกาสคนได้เข้าไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆ ไม่ว่าเป็นการเดินป่าระยะไกลหรือการพายเรือแคนูเลาะตามแม่น้ำ ซึ่งปัจจุบันมีโอกาสน้อยเกินไป ตอนนี้เส้นทางเดินป่าที่เปิดให้เดินอย่างเป็นทางการมีน้อยมาก น้อยกว่าสมัยผมเด็กๆ อีก มันไม่มีโรงเรียนธรรมชาติที่ให้คนได้ไปเดินและสำรวจสิ่งเหล่านี้

คุณเป็นท่องเที่ยว นักเดินทาง อะไรที่ทำให้หันมาสนใจการอนุรักษ์

ผมกลัวไม่มีป่าเดิน กลัวไม่มีปลาให้ตก กลัวไม่มีแม่น้ำให้พายเรือ

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

ธรรมชาติ คือสิ่งที่มากกว่าจุดชมวิว

ในยุคนี้การท่องเที่ยวธรรมชาติกลับมาบูมอีกครั้ง คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้มันกลายมาเป็นที่นิยม

เพราะคนไปแล้วก็ถ่ายรูปมาลงโซเชียลมีเดียว่าวิวมันสวย คนอื่นๆ ก็ถูกดึงดูดให้ไปเพราะภาพถ่าย เขาอยากไปเห็นวิวสวยๆ กัน ซึ่งผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เพียงแต่ว่าเมื่อเขาไปแล้วเขามีโอกาสได้เรียนรู้ ได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ หรือเปล่า หรือไปเพื่อจะแค่ไปถ่ายรูป ถ้าไปแค่นั้นมันจะน่าเสียดายมากที่เราไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักกับมัน

คุณกำลังบอกว่าความจริงแล้วธรรมชาติเป็นมากกว่าแค่วิวสวยๆ

ใช่ ผมยกตัวอย่างโมเมนต์หนึ่งแล้วกัน เมื่อปีที่แล้วประมาณช่วงเดือนมีนาคม ผมไปสำรวจเส้นทางพายเรือเส้นหนึ่งแถวแม่น้ำน่านตอนล่าง มีอยู่คืนหนึ่งที่กลายมาเป็นประสบการณ์ไม่รู้ลืมเลยคือ คืนนั้นเราตั้งแคมป์อยู่ริมแม่น้ำ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาล้อมรอบ พลบค่ำเราก็ก่อกองไฟแล้วนอนกันบนหาดทราย มีเสียงน้ำไหลเอื่อม มีลมพัดมา แล้วดาวก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้น คุณต้องไม่คิดแน่เลยว่าดาวมันจะเยอะขนาดนั้นได้ยังไง มันเยอะที่สุดเท่าที่คุณจะเห็นได้ มีกลิ่นควันไฟ มีลมมา พอสักสามทุ่ม พระจันทร์ก็ขึ้นจากด้านหลัง สว่างเห็นทั้งหุบเขา คุณไม่คิดว่าแสงจันทร์มันจะสว่างได้ขนาดนั้นเลย คุณเห็นแม่น้ำระยิบระยับ 

ตอนนั้นผมต้องลุกขึ้นมา เอากระดาษกับปากกามาเขียนบันทึกความรู้สึกนั้นไว้ นอนไม่ได้เพราะไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะสัมผัสโมเมนต์นั้น ซึ่งคนทั่วไปถ้าบรรยายแบบนี้เขาก็จะถามว่า ทำไมล่ะ ก็แม่น้ำ ก็ภูเขา ก็ดาว ไม่เห็นจะพิเศษ แต่เขาอาจจะไม่เข้าใจ ธรรมชาติบางแบบมันต้องสัมผัสและรับรู้ด้วยตัวเองจริงๆ

คุณเดินป่าสัมผัสกับธรรมชาติมากว่า 20 ปี Magic Moment แบบนี้ก็ยังไม่หายไป

ไม่หายไป มันมีแทบทุกครั้ง เพียงแต่คุณต้องเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เดินไปในที่ที่คนน้อยลงเรื่อยๆ แล้วก็ให้ความใส่ใจกับธรรมชาติให้มากกว่าที่เคยเป็น แล้วก็จะได้สัมผัสอะไรแบบนี้ คือถ้าเราตั้งใจหาโมเมนต์แค่ตอนพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ประมาณสิบนาที เราก็จะพลาดอะไรไปอีกเยอะ ถ้าเราจะแค่ไปดูทะเลหมอก เราอาจจะไม่ได้หันไปดูอย่างอื่นที่มันสวยงามในธรรมชาติ ซึ่ง Magic Moment พวกนี้แหละที่ทำให้ผมอยู่ในเมืองได้ไม่นาน

การได้ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งมันให้ความหมาย อิทธิพล และบทเรียน กับคุณอย่างไร

การที่ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งมันทำให้เรารู้ว่าชีวิตจริงเป็นยังไง พอผมพูดคำนี้ทุกคนก็จะงงๆ เพราะว่าทุกอย่างมันก็จริงหมด แต่จริงๆ แล้วการที่เราอยู่ในสังคมเมือง ความจริงมันเหมือนแก่นอยู่ตรงกลาง แล้วเรามีเปลือกที่ทับซ้อนกันมาเรื่อยๆ ซ้อนกันหลายชั้นมาก จนบางครั้งเราไม่รู้สึกว่าสิ่งสำคัญในชีวิตคืออะไร 

เราคิด กังวล อยากได้นู่นได้นี่ กังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่พอเราไปอยู่ในธรรมชาติจริงๆ ได้ไปอยู่ป่าสักสี่ห้าวัน แล้วมองกลับมา จะรู้สึกว่าสิ่งที่เรากังวัล อยากได้รถ อยากซื้อนาฬิกา กลัวโน่นกลัวนี่ กังวลเรื่องโซเชียลมีเดีย โกรธเพื่อนเพราะว่าด่ากันในโซเชียลมีเดียเนื่องจากความเห็นไม่ตรงกัน พอคุณไปอยู่ในป่า คุณจะรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น เราเถียงกันในเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตเลย 

ผมว่านั่นเป็นผลพลอยได้หลังจากที่คุณได้สัมผัสโมเมนต์ที่เมื่อกี้เล่าให้ฟังไป แล้วคุณจะมองชีวิตกลับมาว่ามันไม่ได้ซับซ้อน ทุกวันนี้เวลาเจอเพื่อนที่ทำงานด้วยกันมาก่อน เขาก็จะมองหน้าแล้วบอกว่าอิจฉาว่ะ อิจฉาชีวิตคุณ ผมก็บอกว่าไม่ต้องอิจฉาหรอก ทุกคนมีทางเลือกของแต่ละคน ผมเลือกที่จะมาทำงานได้เงินเดือนห้าเปอร์เซ็นต์จากที่เคยได้อยู่ เขาก็เลือกวิถีชีวิตของเขา แต่ว่าถ้ามีโอกาส เราก็อยากพาเขาไปสัมผัสชีวิตอย่างที่เราได้เห็นเท่านั้นเอง

ทุกวันนี้ อะไรที่กวักมือเรียกคุณให้ออกจากบ้าน

ต้องถามว่าอะไรที่มาไล่มากกว่า เสียงดังรถติด ความวุ่นวายของผู้คน ทั้งในความจริงแล้วก็โซเชียลมีเดีย ผมว่าเราอยู่กรุงเทพฯ คุณภาพชีวิตเราควรจะดีกว่านี้ ไม่ใช่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับรถติด สูดควันพิษ เวลานอนก็มีแต่เสียงดัง ไม่รู้จะทำอะไร วันๆ เปิดแต่โซเชียลมีเดียดูคนด่ากัน สิ่งเหล่านี้ไล่ผมให้ออกไปนอกเมือง ไปเดินอยู่ที่ลำธาร ตกปลา พายเรือ นอนดูพระจันทร์

คุณเชื่อในการออกไปค้นหาตัวเองผ่านการเดินทางไหม

เชื่อ ตอบได้ทันทีว่าเชื่อ แล้วผมก็คิดว่าผมค้นพบตัวเองจากการเดินทาง โลกนี้กว้างมาก เรามักหลงคิดว่าเรารู้จักตัวเองแล้ว คิดว่าโลกเป็นอย่างงั้น อย่างงี้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ในโลกนี้มีธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหาร ที่แตกต่างออกไปเยอะมาก ที่เราเคยคิดว่าชีวิตเราเป็นแบบนี้สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งนี้ดีที่สุด การเดินทางจะช่วยให้เรารู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น 

การเดินทางทำให้โลกของผมเปิดกว้าง ได้ไปเห็นความคิด ความเป็นอยู่ที่ต่างกันออกไป เราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ คนในต่างประเทศหรือแม้กระทั่งบางซอกมุมของไทย สิ่งที่ผู้คนให้คุณค่ามันต่างจากเราเสมอ ซึ่งมันก็ทำให้วัฒนธรรมและชุดความจริงของเขาต่างออกไปด้วย

การเดินทางทำให้ผมพบตัวจริงของผมมากขึ้น พบโลกจริงๆ มากขึ้น ซึ่งผมก็อยากจะเดินทางมากกว่านี้ ไปเห็นธรรมชาติและเห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างก่อนที่มันจะหายไป

แสดงว่าคุณยังไม่มีแพลนจะหยุดเดินทาง

ไม่หยุด

ธัชรวี หาริกุล ทิ้งชีวิต IBM เพื่อตั้ง Thailand Outdoor ชุมชนกลางแจ้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

Writer

Avatar

คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์

นักเขียนอิสระ ที่กำลังลองทำงานหลายๆ แบบ ชอบลี้คิมฮวง ต้นไม้ เพลงแก่ๆ มีความฝันอยากทำฟาร์มออร์แกนิก และล่าสุดเขียนจดหมายสะสมลงในเพจ In the Letter

Photographer

Avatar

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ