จำได้มั้ย กระเป๋าเดินทางของคุณยี่ห้ออะไร
เราเชื่อว่า หากไม่ใช่นักเดินทางตัวยง คงมีน้อยกว่าครึ่งที่จำได้ นี่คือความโหดของตลาดกระเป๋าเดินทาง เรามักซื้อกระเป๋าเมื่อจำเป็นต้องใช้ ไม่ได้คิดถึงแบรนด์ใดเป็นพิเศษ หากนักการตลาดอยากสร้าง Brand Love เพื่อให้คนอยากซื้อจึงต้องออกแรงมากหน่อยเพื่อให้คนรักและจดจำ
ในช่องว่างเล็ก ๆ นั้น มีอยู่หนึ่งแบรนด์ที่ยึดฐานที่มั่นกระเป๋าเดินทางที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน นั่นคือ Samsonite
กระเป๋าอายุ 114 ปีก่อตั้งโดย เจสส์ ชเวเดอร์ (Jesse Shwayder) ในปี 1909 ในเมือง Denver สหรัฐอเมริกา ยุคนั้นการเดินทางยังไม่ง่ายเหมือนยุคนี้ ตั๋วพาหนะเดินทางยังมีราคาสูง คนที่จะเดินทางข้ามประเทศหรือทั่วโลกได้ต้องเก็บสะสมเงินมากพอถึงจะไปได้
การเดินทางจึงเป็นเหมือนประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต สิ่งละอันพันละน้อยที่ใช้ในการเดินทางจึงไม่ใช่แค่อุปกรณ์ แต่เป็นเครื่องมือเก็บความทรงจำ
การสร้าง Samsonite จึงนำความหรูหราและความรู้สึกล้ำค่าในการเดินทางมาเป็นแนวคิดในการออกแบบ แต่สิ่งที่แบรนด์เพิ่มเติมเข้าไปคือความทนทานของกระเป๋า
เอกลักษณ์ข้อหลังนี้เองที่ Samsonite ยึดเป็นจุดเด่นยาวนานร่วมศตวรรษ ผ่านการเดินทางมามากมาย
ในบ้านเรา คนที่เล่าเรื่อง Samsonite ได้ดีที่สุด คืออดีตวิศวกรที่สนใจการตลาดและได้มาทำงานให้แบรนด์กระเป๋าที่รัก นั่นคือ เคน สิษฐวัศ Samsonite Brand Head ประจำประเทศไทย
ทำไม Samsonite ต้องขายความทน ทนแค่ไหน และทนอย่างไรให้ได้ใจคน เคนอาสามาเล่าให้เราฟัง
1
เราแบ่งประวัติศาสตร์ของ Samsonite ออกมาได้ 3 ยุค
ยุคแรก คือช่วงเวลาของการสร้างสิ่งใหม่ให้ตอบโจทย์ยุคสมัยแห่งการเดินทาง
ช่วงรอยต่อราวปี 1907 – 1910 เครื่องบินอยู่ในช่วงพัฒนาประสิทธิภาพ ยังไม่ถูกใช้ในฐานะเครื่องบินพาณิชย์ คนส่วนใหญ่บนโลกยังเดินทางด้วยเรือและรถไฟ
พาหนะทั้ง 2 แบบมีห้องโดยสารที่ไม่ใหญ่มาก บางครั้งคนต้องยัดกระเป๋าเดินทางไว้บนช่องสัมภาระเหนือหัว ซึ่งขนาดไม่ได้ใหญ่นัก กระเป๋าเดินทางที่คนนิยมใช้จึงต้องเป็นลักษณะกระเป๋าเอกสารหรือ Briefcase ที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย
ยุคนั้นการเดินทางไม่ได้สะดวกสบายมาก นักเดินทางที่มีฐานะยินดีจ่ายเงินเพื่อหากระเป๋าเดินทางที่ทน ปกป้องสัมภาระได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เจสส์ ชเวเดอร์ เห็นโอกาสในการสร้างกระเป๋าเดินทางเพื่อตอบโจทย์นี้ ยุคนั้นวัสดุในการสร้างกระเป๋ายังไม่ดีมาก ไม้และหนังคือวัสดุยอดนิยม นักประดิษฐ์หนุ่มเลือกทำกระเป๋าเดินทางที่ทำด้วยหีบไม้ทั้งใบ หนา แข็งแรง เพื่อให้กระเป๋าทนทานและดูดีสมฐานะผู้ใช้มากที่สุด
ยุคนั้นเจสส์ยังไม่ได้ตั้งชื่อยี่ห้อของกระเป๋า จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงยุคที่ 2 คือประมาณปี 1930 – 1950
หลายทศวรรษต่อมา เครื่องบินพาณิชย์เริ่มใช้งาน มนุษย์เดินทางมากขึ้นและบ่อยขึ้น จุดนี้เองที่นักประดิษฐ์กระเป๋าเดินทางเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ ชูจุดเด่นให้แตกต่างจากคู่แข่ง
เจสส์เลือกความทนมาเป็นจุดแข็ง เขานำชื่อของตัวละครในนิทานปรัมปรา ‘Samson’ ที่เก่งด้านความแข็งแกร่งมาปรับเป็นชื่อแบรนด์ว่า Samsonite และเริ่มโปรโมตแบรนด์จริงจังราวปี 1941
ยุคนี้ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ดีขึ้น กระเป๋าที่ทนไม่จำเป็นต้องหนา พัฒนาวัสดุอย่างพลาสติกให้รองรับแรงกระแทกได้ดี และยังเบา ใช้งานสะดวก
“Samsonite มีนวัตกรรมรีดพลาสติกให้บางแล้วมาทอ เรียกว่า Curv Material ทำให้กระเป๋ายืดหยุ่นและเบามาก มีการทดสอบกระเป๋าในโรงงานด้วยการกลิ้งในวงล้อขนาดใหญ่ ทดสอบแรงกระแทก มีสายพานในการทดสอบล้อ ด้วยระยะทางต่าง ๆ ที่กำหนดเป็นมาตรฐานขึ้นมา” เคนเล่า
ความรู้ด้านวัสดุวิศวกรรมเป็นจุดเด่นของ Samsonite ต่อเนื่องมาจนถึงยุคที่ 3 คือราวยุค 90 จนถึงปัจจุบัน กระเป๋าเดินทางที่เด่นเรื่องนี้มากคือ Cosmolite (ปัจจุบันพัฒนามาเป็นรุ่น C-lite) กระเป๋าที่ทั้งทนและเบา โด่งดังมากในช่วงเปิดตัว
อีกรุ่นที่ดังเรื่องนี้มากคือ Oyster ผลิตโดยการขึ้นรูปพลาสติกทั้งใบ ไม่ใช้โครงเหล็ก ทำให้กระเป๋าทั้งทนและเบามากในยุคนั้น
ปี 2020 Samsonite ครบรอบ 110 ปี เขาออกกระเป๋ารุ่นใหม่ชื่อว่า Proxis เป็นกระเป๋าเคสแข็งใบแรกที่ใช้วัสดุใหม่ Roxkin ต่อยอดจาก Curv ทั้งยังคงความทนและเบาตามที่นักเดินทางทั่วโลกต้องการ
2
Tagline ของ Samsonite ที่เราเห็นบ่อย ๆ คือคำว่า ‘Styled Tough’
Tough นี่ชัดเจน แต่ Styled มายังไง ทำไมกระเป๋าเดินทางที่มีจุดขายเรื่องทน ต้องออกแบบให้สวยด้วย
เรื่องนี้มีหลายปัจจัย ทั้งเทรนด์การตลาด การพัฒนาวัสดุที่ขึ้นรูปและลวดลายได้ดีขึ้น เช่น รุ่น Attaché กระเป๋าเอกสารที่ทำในปี 1963 ด้วยวัสดุพลาสติกที่รีดให้บางเบา ทำให้กระเป๋ากลายเป็นไอเทมที่นักธุรกิจยุค 60 ต้องมีทุกคน
อีกรุ่นคือ Cosmolite และ C-lite ที่มีลวดลายเปลือกหอยเป็นเอกลักษณ์ นี่ก็เกิดจากเทคโนโลยีการขึ้นรูปวัสดุเช่นกัน ถ้าอยู่บนสายพานกระเป๋า เห็นแต่ไกลก็รู้ว่ารุ่นอะไร
กระเป๋าเดินทางทุกแบรนด์มีทีมนักออกแบบของตัวเอง สิ่งที่ Samsonite แตกต่าง คือเขาคิดโดยคำนึงถึงความต้องการของนักเดินทางเป็นหลักด้วย
พระเอกของเรื่องนี้ขอยกให้รุ่น Silhouette กระเป๋าเดินทางรุ่นแรกของ Samsonite ที่มีล้อลากติดกระเป๋า แต่แบรนด์ไม่หยุดแค่นั้น
“ลูกค้าหลายคนอยู่ด้วยกันมายาวนาน มีประสบการณ์การเดินทางค่อนข้างเยอะ เขาจะรู้ว่าในการเดินทางต้องเจออะไรบ้าง สนใจประสิทธิภาพของกระเป๋า
“เวลาทุกนาทีของเขามีความหมาย ถ้านวัตกรรมช่วยให้เขาลากกระเป๋าได้เร็วขึ้น เข็นได้เหนื่อยน้อยลง มีแรงไปทำงานและเที่ยวมากขึ้น เราก็จะตอบโจทย์เขา Samsonite จึงพัฒนาสินค้าที่ช่วยสนับสนุนให้คนเดินทางมากขึ้น” อดีตวิศวกรที่ผันตัวเป็นนักการตลาดเล่า
ปัจจุบันล้อของ Samsonite พัฒนาเป็นล้อที่เรียกว่า AERO-TRAC™ หรือ ล้อติดโช๊ค ทำให้การลากกระเป๋าหา Hostel หรือ Airbnb ที่ซ่อนตัวในเมือง นุ่มนวลดุจเดินบนปุยเมฆทีเดียว
เรื่องระบบล็อกกระเป๋าก็เช่นกัน Samsonite พัฒนาเรื่องนี้มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ยุคแรกที่มีจุดล็อกกระเป๋า 3 จุด มาจนถึงปัจจุบันที่พัฒนาระบบล็อกด้วยลายนิ้วมือและซิปแม่เหล็กล้ำ ๆ
เคนเล่าว่าแบรนด์ไม่ได้ใส่สิ่งนี้เพราะอยากโชว์เทคโนโลยี แต่ทีมออกแบบคิดจริง ๆ ว่าเวลาเดินทาง ลูกค้าเจออุปสรรคอะไรบ้าง และต้องการอะไรเพื่อแก้ปัญหา
อีกเรื่องที่หลายคนไม่รู้ คือ Samsonite มีกระเป๋าที่ตอบโจทย์ด้วยพาหนะที่แตกต่างกัน
กระเป๋าที่ออกแบบให้เดินทางด้วยรถไฟ ขนาดกระเป๋าเล็ก เพราะช่องเก็บสัมภาระด้านบนไม่ใหญ่เท่าเครื่องบิน ใช้วัสดุผ้าเพราะยืดหดตัวได้ดีกว่า เหมาะแก่การยัดในช่องบนรถไฟได้สะดวก
ถ้าใครเคยเดินทางด้วยเรือ จะรู้ว่าห้องนอนหรือห้องโดยสารมีขนาดเล็กมาก กระเป๋าจึงออกแบบให้พิงกระเป๋าข้างหนึ่งกับกำแพงแล้วยังเปิดออกได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องกางแผ่บนพื้น ประหยัดพื้นที่ไปได้อีกเยอะ
ส่วนการเดินทางด้วยเครื่องบิน การพัฒนาวัสดุที่เบาและมีล้อที่แกร่ง พร้อมลุยทุกพื้นผิว ถูกคิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
3
เมื่อก่อนเวลาเราเลือกซื้อกระเป๋า มักเลือกสีพื้น ๆ อย่างสีดำหรือน้ำเงิน
เคนเล่าว่าเทรนด์การเดินทางยุคนี้เปลี่ยนไป คนชอบกระเป๋าที่เข้ากับบุคคลิกตัวเองมากขึ้น อยากมีกระเป๋าเดินทางขนาดต่างกันให้เหมาะกับการเดินทาง หมดยุคของการซื้อกระเป๋าใหญ่ใบเดียว
กระเป๋าเดินทางยิ่งมีร่อยรอยแห่งการเดินทางยิ่งดี เพราะมันโชว์ว่าผู้ใช้กระเป๋าหลงใหลการเดินทางแค่ไหน
ในโลกที่เปิดกว้างอีกครั้ง ผู้คนจึงนิยมเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตที่หายไป จำนวนการเดินทางของมนุษย์จึงเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Samsonite ไม่ได้ทำกระเป๋าเพื่อป่าวประกาศว่ามีเทคโนโลยีล้ำสมัย ทำกระเป๋าได้ทนกว่าใคร
หัวใจสำคัญที่แบรนด์อยากบอก คืออยากให้คนออกเดินทางมากขึ้น ไปได้สะดวก สนุก เพื่อค้นพบความหมายมากขึ้น
เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิต