สยาม ย่านใจกลางเมืองของวัยรุ่นตอนต้นจนถึงตอนปลาย เป็นศูนย์รวมเทรนด์ใหม่ ไม่เคยตกยุค มีทั้งเข้ามา เปลี่ยนผ่าน และหมดไปตามกาลเวลา ผู้คนมากหน้าหลายตาสวมชุดเก๋เดินขวักไขว่

หากอยากรู้ว่าตอนนี้วัยรุ่นกำลังนิยมอะไร เดินเข้ามาในสยามเพียงไม่กี่นาทีก็จะพอนึกออก แต่หากเดินออกมาจากความคึกคักเพียงไม่ถึง 1 กิโลเมตร ลัดเลาะมาทางสี่แยกปทุมวัน ขึ้นและลงสะพานหัวช้างพอให้เลือดสูบฉีด เลี้ยวซ้ายเข้ามาหน่อยในซอยธรรมสโรช บรรยากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เงียบสงบ ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่พาให้ร่มรื่น แถมมีลมพัดเย็นเป็นระยะ

นี่เป็นที่ตั้งของสถานที่รวบรวมความทรงจำที่ไม่เคยหมดไปของคนหลายรุ่นไว้อย่างลงตัว ในอาคารไม้ที่เคยเป็นเรือนหอของแพทย์ประจำรัชกาลที่ 6 อายุเกือบ 100 ปี ในชื่อ ‘Rugged Rough Store’

แม้เพิ่งมีหน้าร้านให้ผู้คนได้แวะเวียนมาลอง รื้อ และซื้อ ครบ 1 ปีไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคม แต่ความจริงแล้ว Rugged Rough คัดเลือกและส่งต่อเสื้อผ้าชิ้นโปรดมากว่า 10 ปี ด้วยแพสชันและความชอบด้านเสื้อผ้าที่เต็มเปี่ยมและไม่เคยหมดของ ต้น-กษิดิ์เดช มีศีล ผู้เป็นเจ้าของ

Patchwork – The Match Work!

ต้นเริ่มจากเป็นเด็กเนิร์ดที่ชอบแต่งตัว สอบชิงทุนไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกาในวัยมัธยม หลังจากนั้น เด็กเนิร์ดคนเดิมก็ไม่เนิร์ดอีกเลย – เขาว่าอย่างนั้น

“เราชอบเสื้อผ้าตั้งแต่ก่อนไปเรียนต่อแล้ว พอไปอยู่ที่นั่นเหมือนเราได้เห็นโลก ได้เห็นสไตล์กว้างขึ้น คนที่นั่นแต่งตัวกันหลากหลายมาก เวลาออกจากบ้าน เราจะคิดแล้วว่าแต่งตัวยังไงดี เสื้อตัวไหน รองเท้าคู่ไหน บางวันมี Dress Code ตามเทศกาลต่าง ๆ หรืออย่างน้อยในสัปดาห์จะมี 1 วันที่นัดกันแต่งตัว ยิ่งทำให้เราเห็นความหลากหลาย การแต่งตัวเลยสนุกมากยิ่งขึ้น” เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้น 

ระยะเวลา 1 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ไกลบ้านช่วยย้ำให้ความชอบด้านเสื้อผ้าของต้นชัดเจนขึ้น หลังจากกลับมาศึกษาต่อประเทศไทย แม้เขาจะเลือกเรียนต่อภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่แพสชันด้านเสื้อผ้ายังคงอยู่ ประกอบกับเริ่มสนใจงาน Patchwork มากขึ้น จากทำใส่เองเพราะชอบก็กลายเป็นทำขายด้วย ต้นเริ่มจากเย็บปะด้วยมือ สู่การไปเรียนเย็บจักรเพิ่มเติม เพราะช่วยย่นเวลาการเย็บให้ไวขึ้น ทั้งยังแข็งแรงและทำลวดลายได้มากกว่า ประกอบกับเริ่มหาเสื้อผ้ามือสองในสไตล์ที่ตรงใจมาขายด้วย ซึ่งสไตล์ที่ว่าก็กลายเป็นที่มาของชื่อร้าน

“Rugged เป็นชื่อสไตล์ครับ มีความเนี้ยบ ดูคุณหนูหรือคุณชายหน่อย ๆ แต่ไม่ถึงขนาด Sartorial ส่วนคำว่า Rough เป็นแนวลุย เราจับ 2 คำนี้มาชนกัน เพราะอยากให้ร้านมีความสนุก ไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ลุยเสียทีเดียว ก้ำกึ่งระหว่างกลาง” ต้นเล่าถึงที่มาที่ไปของชื่อร้าน ซึ่งสื่อถึงสไตล์สินค้าที่เขาคัดเลือกมาขาย รวมถึงเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ได้ในประโยคเดียว

แม้การเรียนต่อและใช้ชีวิตในสหรัฐฯ จะพาให้ความสนใจของเขาเปลี่ยนไป แต่ความเนิร์ดที่มีตั้งแต่เด็กยังคงอยู่ ต้นจึงศึกษาเรื่องราวของเสื้อผ้าได้ลึกซึ้ง เช่นเดียวกับอ่านหนังสือเรียน ทั้งตำราด้านสไตล์ ตำราด้านเสื้อผ้า จนถึงบทความในอินเทอร์เน็ต จากคนอ่านกลายเป็นคนเขียน ช่วงนั้นชายหนุ่มจึงรักการแบ่งพื้นที่โซเชียลมีเดียส่วนหนึ่งไปกับการเล่าเรื่องและแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเสื้อผ้า 

“เราชอบพัฒนาการของเสื้อผ้าสายทหาร มีเสื้อผ้าแพตเทิร์นแรกออกมา แล้วสุดท้ายก็ปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อย ๆ ตามการใช้งาน เช่น Jungle Jacket ยุคแรกมีกระเป๋าแบบนี้ ดีไซน์เฉียงแบบนี้ แต่กระดุมโชว์อยู่ด้านนอก พอใส่ทำสงครามไปเรื่อย ๆ กระดุมแตก เลยพัฒนาให้กระดุมซ่อนด้านในแทน หรือ A-2 Flight Jacket ของทหารที่ใช้ใส่ขึ้นเครื่องบิน กันหนาวได้ แต่น้ำหนักเยอะ เคลื่อนที่ช้า พอสงครามลดลงก็ปรับเนื้อผ้าให้ใส่ในกองทัพได้ มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยให้ใช้งานได้มากขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นจากฟังก์ชันการใช้งานจริง ๆ พอใช้งานไม่ตอบโจทย์ก็ปรับ เพียงแต่คงแพตเทิร์นเดิมเอาไว้

“อีกอย่างมันมีเอกลักษณ์ (Unique) ครับ ของบางอย่างไม่มีให้เห็นในเสื้อผ้ามือหนึ่งแล้ว ถึงบางครั้งอาจผลิตใหม่ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว” เขาบอกถึงเสน่ห์ของเสื้อผ้าวินเทจให้เราฟัง

การเรียนมหาลัย ทำงาน Patchwork ศึกษาเสื้อผ้า และเริ่มต้นขายของ จึงกลายเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในชีวิตช่วงมหาลัยของต้น ตลอดจนเรียนจบและเริ่มงานด้านผังเมืองตามที่ได้เรียนมา

“รู้อยู่แล้วนะว่าภาพจบของเราต้องอยู่กับเสื้อผ้า เราขาดสิ่งนี้ไม่ได้ เราหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา แม้จะทำงานออฟฟิศก็ตาม จนรู้สึกว่าเราเหยียบเรือ 2 ลำต่อไปไม่ได้แล้ว ในที่สุดก็โดดออกมา”

Trust me! – It’s all about good stuff.

แม้การซื้อของออนไลน์จะสะดวกสบายและรวดเร็วแค่ไหน แต่ก็ชวนลุ้นอยู่พอตัวว่าคนซื้อจะสวมใส่เสื้อผ้าได้พอดีตัวหรือเปล่า นั่นเป็นเหตุผลให้ Rugged Rough เปิดหน้าร้านให้ลูกค้าเข้ามาเลือก มาลอง ในอาคารไม้ 2 ชั้น พร้อมขายกาแฟ 2 เมนูหลักอย่างอเมริกาโน่และลาเต้ไปด้วย เพราะมีข้อจำกัดด้านพละกำลังที่เจ้าของร้านอยากทักทายต้อนรับ แนะนำเสื้อผ้า พร้อม ๆ กับบดและกดกาแฟแต่ละแก้วด้วยตัวเอง 

ภายใต้หลังคาเดียวกัน อาคารกึ่งไม้กึ่งปูนหลังนี้ยังมี BAAN by studioroom สตูดิโอรับถ่ายภาพ และแกลเลอรีในชื่อของ Window gallery and cafe ของรุ่นพี่ที่รวบรวมรูปถ่ายของศิลปินไทยมากหน้าหลายตา หากใครเข้ามาเยี่ยมชมและถูกใจภาพไหน ที่นี่ก็มีบริการรับอัดกรอบตามขนาดที่โดนใจด้วย 

“ถ้าจำไม่ผิด อาคารนี้น่าจะอายุ 100 ปีแล้วครับ เป็นเรือนหอของแพทย์ประจำรัชกาลที่ 6 เดิมอยู่ด้านในลึกเข้าไปในซอยธรรมสโรช ตรงนี้ยกออกมาเฉพาะชั้นบนที่เป็นอาคารไม้ พอเข้ามาที่นี่มันคลิกกับภาพในหัวที่สุดแล้ว” ต้นเล่าเหตุการณ์เมื่อเห็นพื้นที่นี้ครั้งแรก ก่อนจะเริ่มเล่าต่อจนเราเห็นภาพนั้นชัดไปอีก

“เราชอบ Polo Ralph Lauren มาก เวลาเข้าร้านเขาจะมีบรรยากาศบ้านไม้ของคนอเมริกันสมัยก่อน มีในหนังสมัยก่อนด้วย เช่น The Shawshank Redemption ยุคนั้นเลย พอเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้วจินตนาการว่า ถ้าเอานั่นเอานี่มาวาง มันเห็นภาพสุด ๆ แม้โลเคชันจะลึกเข้ามาหน่อย แต่เราว่า ถ้าคนสนใจ เดี๋ยวเขาก็เข้ามาเอง” 

และต้นก็เสริมถึงวิธีคัดเลือกของในสไตล์ต่าง ๆ มาไว้ในร้านว่า “เราไม่ได้เจาะจงว่าของทุกอย่างในร้านต้องเป็นสินค้าวินเทจเท่านั้น หรือต้องเนี้ยบไปเลย ญี่ปุ่นไปเลย ลุยไปเลย ไม่ใช่ แต่พยายามให้สินค้าอยู่ในหมวด Rugged ที่ยังคงความเป็นเราอยู่ด้วยมากกว่า”

Rugged Rough จึงรวบรวมเสื้อ แจ็กเก็ต กางเกง หมวก รองเท้า กระเป๋า ตั้งแต่สไตล์ American Vintage และ American Classic อย่างแบรนด์ยุค 90 หรือ 2000 เช่น J.Press, J.Crew จนถึงแบรนด์ใหม่ในสไตล์ Japanese Modern หรือ Japanese Reproduction ให้ผู้คนเข้ามาหยิบจับและนำกลับบ้านไปแต่งตัวในแบบที่ชอบ ด้วยประสบการณ์การเป็นแมวมอง (หาเสื้อผ้า) มากว่า 10 ปี รวมถึงมีดีลเลอร์ที่รู้ใจ ภายในร้านขนาดพอดีแห่งนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่หาซื้อได้ไม่ยากไปจนถึงหายากและหายากมาก จนบางชิ้นก็หนักหน่วงเกินกว่าจะตัดใจขายได้ และกลายเป็นของสะสมของเจ้าของร้านในที่สุด 

ต้นบอกเราว่าของบางอย่าง แพตเทิร์นบางแบบ หาไม่ได้แล้ว แม้แบรนด์ญี่ปุ่นนำมาผลิตใหม่ ดัดแพตเทิร์นให้สนุกขึ้น เปลี่ยนเนื้อผ้าให้เข้ากับแต่ละประเทศ และนำมาใส่ในชีวิตประจำวันได้จริงก็ตาม

ลูกค้าที่แวะเวียนมา Rugged Rough มีตั้งแต่วัยรุ่นที่เริ่มสนใจแต่งตัวและชาวต่างชาติ นี่ช่วยย้ำให้เห็นว่าที่นี่มีของแรร์ซุกซ่อนอยู่ ขนาดว่าคนในประเทศผู้ผลิตยังตั้งใจมาเสาะหาของดี

กระซิบว่ามีคุณลุงวัยเก๋าอายุ 60 ปีที่ตั้งใจขับรถจากต่างจังหวัดมา Rugged Rough ด้วย 

“คุณลุงบอกว่าเขาเห็นแล้วนึกถึงช่วงวัยของเขา ที่นี่พาความทรงจำของเขากลับมาได้ 

“เราเป็นคอมมูนิตี้เล็ก ๆ เหมือนสภากาแฟที่คนเข้ามาพูดคุยเรื่องเสื้อผ้า การแต่งตัว แต่ละคนมีเรื่องราว มีความคิด มีจินตนาการของตัวเอง เปิดร้านเหมือนเปิดโลก ผมไม่ได้คิดว่าไวบ์แบบนี้จะเกิดขึ้นนะ บางคนเข้ามา มาขอปรึกษาปัญหาชีวิตก็มี ผมว่าพอเราชอบสิ่งที่เหมือนกัน ไลฟ์สไตล์เลยทับซ้อนกัน ผมบอกลูกค้าเสมอว่าไม่ต้องซื้อสินค้าก็ได้ แค่เข้ามาลองพูดคุยกันก็สนุกแล้วครับ” ต้นยิ้ม

เราถามเขาต่ออีกนิดถึงคนที่ยังไม่มั่นใจหรือไม่กล้าลองแต่งตัว

“ถ้าชอบ ลุยเลยครับ ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเราชอบก็ต้องลุยอยู่ดี การแต่งตัวเหมือนการเรียนรู้ ถ้าคุณเริ่มชอบหรือสนใจ แสดงว่าคุณเริ่มมีสไตล์ของตัวเองแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกว่า ‘ยังดีกว่า’ ” 

Rugged Rough – Store

เราชวนให้ต้นป้ายยา 5 ไอเทม โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นของที่ชอบมาก และเขาต้องยอมขายด้วย 

เขาหายตัวไปในม่านสีครึ้มหลังเคาน์เตอร์ทำกาแฟ และกลับมาพร้อมเสื้อผ้าตัวเก่งในร้าน ได้มาทั้งชิ้นที่พร้อมขายและไม่พร้อมขาย เพราะเจ้าตัวบอกว่าตัดใจเลือกไม่ได้จริง ๆ 

เริ่ม!

01

“ตัวนี้ปาร์กา แจ็กเก็ต กันฝนกันน้ำได้ ของแบรนด์ YAECA ครับ เราชอบแบรนด์นี้ตั้งแต่ไปญี่ปุ่นครั้งแรก และเป็นแบรนด์ที่ไม่ค่อยเห็นในประเทศไทย ตอนแรกตั้งใจจะขายนะ แต่ไป ๆ มา ๆ ตัดใจไม่ไหว เก็บไว้เป็น Art Piece ดีกว่า บางอย่างเรารู้อยู่แล้วว่าอาจไม่ได้เจออีก ขายไปก็ไม่คุ้มกัน”

ศิลปะหรือแฟชั่นแสดงให้เห็นถึงความเจริญของเมือง นี่คืออีกหนึ่งความเชื่อที่ซ่อนอยู่ภายใต้การเปิดร้านและการคัดเลือกสินค้าทุกชิ้น เพราะเขาตั้งใจให้คนไทยได้เห็นแบรนด์แปลกใหม่ 

02

“ตัวนี้เป็นแบรนด์ SHIPS จากญี่ปุ่น มีทั้งผลิตในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เป็นเบลเซอร์ชั้นเดียว ผ้ากำมะหยี่ นี่แหละคือความสนุกของการแต่งตัว ผมคิดเสมอว่าสำหรับเสื้อผ้า Pattern is King นะ

“การแต่งตัวจะออกมาดูดีหรือไม่ดูดี แพตเทิร์นสำคัญมาก รองลงมาคือเท็กซ์เจอร์ ถ้าเท็กซ์เจอร์ดี จะทำให้เราดูมีเสน่ห์มากขึ้น ถ้าแต่งตัวลุคธรรมดาแล้วคลุมด้วยเบลเซอร์นี้ ไอ้คนนี้มันคิดมาแล้ว!”

03

กางเกงลีวายส์สีขาว สีที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ เพราะกลัวซักยากหรือเลอะง่าย เจ้าตัวว่าเลอะง่ายอาจจะใช่ แต่ความลับคือซักง่าย ดูแลง่าย แช่ปั๊บรอยเปื้อนออกปุ๊บ ไม่ต้องกังวลเรื่องสีตกหรือสีด่างด้วย จะใส่กับอะไรก็ได้ สีไหนก็ได้ เป็นอีกไอเทมที่ควรมี แถมช่วยให้การแต่งตัวสนุกมากขึ้นด้วย

04

เสื้อเชิ้ตกระดุม Button Down ใส่ง่าย ใส่ได้ทุกโอกาส เป็น Must Have! ที่ต้นแนะนำสำหรับผู้เริ่มแต่งตัว ตัวนี้พิเศษนิดเพราะมาพร้อมลายพรินต์เต็มตัว ถ้าหากใครผ่านตาแบรนด์ Polo Ralph Lauren หรือ Brook Brother มาแล้ว เจ้าตัวแนะนำว่าแบรนด์ Gitman Bros ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

05

ชิ้นสุดท้ายเป็นสเวตเตอร์ Harvard University ตัวแทนของสไตล์ Ivy League 

“คนอเมริกันชอบใส่เสื้อสกรีนชื่อรัฐ ชื่อเมือง จนถึงชื่อมหาลัย สอดคล้องกับการแข่งกีฬาของโรงเรียนหรือเมืองนั้น ๆ เช่น อเมริกันฟุตบอล เบสบอล หรือแทร็กแอนด์ฟิลด์ ใส่ทับกับเสื้อเชิ้ต สวมรองเท้า Penny Loafer ดูขี้เล่น ดูชนชั้นสูงนิด ๆ แต่ไม่ได้เรียบร้อยเสียทีเดียว เป็นสไตล์เด็กมหาลัยในสมัยนั้น

“เขาใส่กันจนเป็นธรรมชาติ ปัจจุบันก็ยังใส่อยู่ และแบรนด์เสื้อผ้าที่ผลิตให้โรงเรียนเหล่านี้ก็ยังอยู่ เช่น Champion หรือ Fruit of the Looms ก็กลายเป็นคลาสสิกไอเทมไปในตัว” จบการป้ายยา