23 กุมภาพันธ์ 2023
9 K

แตงโม รองเท้า Crocs ขี้ คือ 3 อย่างที่ ภูมิ-วิภูริศ ศิริทิพย์ เกลียดมาก 

และเป็น 3 อย่างที่ทำให้บทสนทนาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

ภูมิ เป็นศิลปิน-นักแต่งเพลงวัย 27 ปีที่ผ่านการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกมาแล้วหลายครั้ง ไม่แปลกที่เราจะตื่นเต้นกับการทำความรู้จักเขาผ่าน ‘The Greng Jai Piece’ อัลบั้มเต็มที่ 2 ที่ตั้งต้นมาจากความเกรงใจ จนได้เพลงที่เวรี่ไทยมาก ๆ

ทันทีที่เจอ เราเห็นอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับภูมิเปลี่ยนไป ทั้งสไตล์การแต่งตัว ทรงผม แว่น 

ยิ่งได้คุยกันมากขึ้น เราพบว่ามุมมองการใช้ชีวิตของภูมิก็แปรเปลี่ยนและเติบโตขึ้นมากด้วยเช่นกัน อย่างการบอกว่าเขาในวันนี้ไม่ใช่ Sunshine Boy ดังใครว่า แต่เป็น Sunset Boy ต่างหาก 

บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go

อาจเป็นเพราะเข้าใกล้ความตายของผู้อื่นเพียงข้ามคืน หรือการได้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงตัวแรกในชีวิต ถึงอย่างไร รอยยิ้มของภูมิก็ยังสดใสไม่เปลี่ยน 

เราเริ่มต้นบทสนทนาภาษาไทยปนอังกฤษในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศอุ่น ๆ และลมเบา ๆ ภายนอกอาคารกับมนุษย์คนนี้ 

ป.ล. แนะนำให้รีบอ่าน อย่ารอให้บทสัมภาษณ์นี้เป็นชิ้นเกรงใจ

Greng Jai Please

อะไรคือ The Greng Jai Piece

ชื่ออัลบั้มนี้มาจากซีนหนึ่งของซีรีส์ Big Bang Theory ที่ทุกคนนั่งกินข้าวกันในอะพาร์ตเมนต์แล้วเหลือชิ้นสุดท้าย ตัวละครก็อธิบายว่า ในวัฒนธรรมไทยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘The Greng Jai Piece’ คือชิ้นเกรงใจที่เหลือไว้ให้คนที่แก่สุดหรือน่านับถือสุดในกลุ่ม

จุดสปาร์กคือการที่เราได้ยินคนตะวันตกอธิบายบางอย่างที่มันไทยมาก ๆ ทำให้คิดได้ว่า เราไม่เคยนึกถึงคอนเซปต์นี้จริง ๆ เลยว่าคืออะไร เกี่ยวข้องกับชีวิตเรายังไงบ้าง 

คำนี้ติดอยู่ในใจตั้งแต่ตอนไหน

คิดว่าตั้งแต่เด็กแล้ว คนชอบบอกว่าเราเป็นคนขี้เกรงใจมาก เราว่าเราก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนถึงตอนนี้ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าทำไมบางอย่างที่ไม่ควรเกรงใจ เรากลับเกรงใจ 

ถ้าเพื่อนชวนออกไปข้างนอกก็ต้อง Say yes ทั้ง ๆ ที่วันนั้นอาจจะไม่อยากไป เหมือนเราอินโทรเวิร์ตมาก ไม่ได้อยากออกไปเจอใคร หรือการต้องรับงานบางอย่างที่ไม่ได้อยากทำขนาดนั้น แต่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง 

คุณเป็น Yes Man เหรอ

Yes man, yeah. I would say. (หยุดคิด) 

Yeah, yes man! (หัวเราะ)

บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go

เรื่องอะไรที่คุณตอบ No ได้ทันที

เอ่อ อยากกินแตงโมไหม เราเกลียดแตงโมมาก (หัวเราะ) แล้วก็รองเท้า Crocs 

ถามจริง

ผมเคยใส่ตอนอายุ 10 ขวบเพราะไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้มันกลับกลายมาเป็นเทรนด์ แต่ถ้าใส่มาก็ไม่เป็นไรครับ (หัวเราะ) นี่เป็น 2 อย่างที่เราจะตอบ No แน่ ๆ 

เหมือนเราเอาความรู้สึกของคนอื่นเป็นที่ตั้งก่อนตัวเองเสมอ จนมีวันที่คิดว่า แล้วตัวเราชอบอะไร 

เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้อัลบั้มนี้มีความเป็นไทยมากรึเปล่า 

เราเชื่อว่าคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกันทั้งหมด อัลบั้มนี้เป็นการท้าทายสิ่งที่เราไม่ค่อยพูดถึง ทำไมต้องเกรงใจ ทั้งที่บางทีพูดตรง ๆ ก็ได้ เป็นเหมือนการค้นหาและตั้งคำถามกับกฎกติกาที่มองไม่เห็นจากการเป็น Third Culture Kid 

เราเป็นคนไทยที่ไม่ค่อยเข้ากับที่ไหนสักเท่าไร ครึ่งชีวิตเติบโตที่ประเทศนิวซีแลนด์ ตลอดเวลาที่นั่น แม่จะสอนความเป็นไทย เราไม่รู้สึกว่าเป็นคนนิวซีแลนด์ทั้ง ๆ ที่เป็นพลเมือง พอกลับมาอยู่ไทย เรียน โตขึ้นมาเป็นศิลปิน ก็ไม่รู้สึกว่าเราไทยขนาดนั้น เวลามีลิสต์ Top Thai Artists เราก็ไม่เคยได้อยู่ เหมือนเขาไม่พิจารณาเรา รู้สึกล่องลอยมาก ๆ นะ แต่เราโอเค ส่วนเรื่องราวในอัลบั้มเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้ลิงก์กับเราเป็นการส่วนตัวด้วย

บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go
บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go

เล่าให้ฟังหน่อย

เราได้ชื่ออัลบั้มมา 3 ปีที่แล้ว พอได้ชื่อก็อยากเขียนเพลงอธิบายคำว่า ‘เกรงใจ’ ให้คนต่างชาติฟัง เลยมีเพลงชื่อ Greng Jai Please ส่วนเพลง Lady Papaya เราก็ลองเอาเพลง แม่ค้าส้มตำ ของ อรอุมา สิงห์ศิริ มาใส่ในช่วงต้น แล้วก็มีเพลง Temple Fair ที่เอาเนื้อหาทั้งหมดมาจากหนังเรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2001) ถ้าลองไปฟังอีกที จะมีภาพพระเอกกับนางเอกเต้นอยู่ที่งานวัด 

เป้าหมายแรกเลยคืออยากให้ พี่ต้อม เป็นเอก กำกับเอ็มวีให้มาก เราอีเมลไปคุยกับเขาเลยว่า พี่ต้อมครับ Would you be interested in directing a music video for me? แต่มันเหมือน Reaching for the stars พอคิดใหม่แล้วก็เลยไม่เอาดีกว่า 

เกรงใจอีกแล้ว 

ใช่ มันดูข้ามรุ่นมาก เราจะทำได้หรอวะ เราคือใครวะ อยู่ดี ๆ ไปขอให้พี่ต้อมกำกับเอ็มวีให้

But he knows I wrote the song about his film and it’s nice.

ภูมิบอกว่าอัลบั้มนี้ตั้งต้นมาจากนิสัยคุณ แต่กลับไม่ได้พูดเรื่องชีวิตตัวเองเท่าไร แล้วความเกรงใจนั้นคลี่คลายลงไปบ้างไหม

มันไม่ได้คลี่คลายขนาดนั้น ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าเราเป็นคนขี้เกรงใจมาก ซึ่งก็ชอบในจุดนั้น และก็ไม่ชอบเหมือนกัน 

แปลกเนอะ เราพยายามไม่ให้มันลิงก์กับเราที่สุด แต่สุดท้ายทุกคนก็บอกว่าอัลบั้มนี้มัน Very me (หัวเราะ) 

Long Gone

อัลบั้มนี้ทำนานไหม

3 ปีได้มั้ง เราเริ่มคิดมาตั้งแต่ 2020 

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุด

เราเป็นคนที่ไอเดียเยอะมาก แต่กว่าจะพอใจกับไอเดียหนึ่งได้ใช้เวลานานมาก เราไม่ค่อยทำงานหลาย ๆ ชิ้นพร้อมกัน เวลาทำงานจะเป็น Perfectionist 

คนขี้เกรงใจทำเพลงแล้วปรึกษาใครไหม

ไม่เลย เราดื้อมาก แต่ก่อนปรึกษาอยู่ เพราะทักษะเรายังไม่มากพอ แต่เราอยากทำทุกอย่างเองให้มากที่สุด ถ้าสมมติค่ายเสนออะไรมา เราก็จะไฟต์มากว่า ภูมิคิดมาเป็นปีแล้วนะพี่ (หัวเราะ) ก็จะดื้อซอฟต์ ๆ แบบเกรงใจของเราน่ะ เราใจกว้างกับคนอื่นนะ แต่ก็จะหาหนทางให้มันเป็นแบบที่เราต้องการได้ในที่สุด 

บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go

แล้วทำไมปกอัลบั้มต้องเป็นตัวสลอท 

เราไปเจอศิลปิน สราวุฒิ ปานหนู จาก IG เขาเคยวาดโปสเตอร์ให้งานหนึ่งและเราชอบมาก พอได้ชื่ออัลบั้มก็รู้แล้วว่าอยากทำงานกับเขา เราอธิบายว่าอยากได้ซีนงานวัดที่มีองค์ประกอบโมเดิร์น และอยากให้สลอทเป็นตัวหลักและเป็นตัวแทนเราในการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ 

รู้สึกว่าตัวเองเป็นสลอทเหรอ

ใช่ครับ (ยิ้ม) ทุกคนใกล้ตัวก็มองอย่างนั้น เราเป็นคนที่สมองไวมาก แต่วิธีการใช้ชีวิตช้าสุด ๆ แล้วก็ตรงกับเป้าหมายอาชีพนักดนตรีของเรา คืออยากจะค่อย ๆ เฟดออกไป

เฟดจากการทำเพลง?

ไม่ เราไม่เคยคิดอยากเฟดออกไปจากการทำเพลง 

เราอยากจะอยู่ในงานจริง ๆ อยากให้ตัวตนอยู่แต่ในดนตรีไปเลย ไม่อยากให้คนจำเราด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่เราก็ยินดีนะ เพราะถ้าไม่มีโมเมนต์นั้น เราก็คงไม่ได้เป็นที่สนใจในตอนแรก 

แต่ยิ่งโตขึ้น เรายิ่งอยากทำอาชีพนี้ไปอีกยาว ๆ การทำให้ ‘ความภูมิ วิภูริศ’ แยกออกจากรูปลักษณ์ของเรามันดีกว่าและแน่นอนกว่า 

บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go

งั้นภูมิคิดยังไงกับการที่มี aka ว่า Sunshine Boy 

ชอบนะ เพราะเราเป็นคนยิ้มง่ายมาก และทุกคนก็จดจำเราจากเพลง Lover Boy ซึ่งเป็นเพลงสดใส แต่ถ้าได้รู้จักจริง ๆ จะรู้ว่าเราเป็นคนธรรมดา ๆ และบางครั้งก็อาจจะนิ่งเกินไปด้วย 

มองว่าตัวเองเป็นพระอาทิตย์แบบไหน

พลังงานเราตอนนี้มัน Very Sunset Vibe (หัวเราะ) เรานิ่งและใจเย็นขึ้นเยอะเลยครับ 

Welcome Change

ที่บอกว่าไม่อยากให้คนจดจำคุณจากภาพลักษณ์ ส่งผลให้เอ็มวีในอัลบั้มนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณมากรึเปล่า

ใช่ครับ เราตั้งใจไม่ปรากฏตัวเท่าไร เหมือนอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่า คนจะฟังเพลงของเราโดยไม่คิดถึงเราได้ไหม เหมือนให้ฟังแล้วคิดว่านี่เป็นเพลงที่ดีโดยไม่ต้องเชื่อมโยงมันเข้ากับคนร้อง 

แต่เราก็ยังมีบทบาทเล็ก ๆ ในนั้นบ้าง กำกับเอ็มวีเองด้วย ปีนี้เราตั้งใจจะรับงานเบื้องหลัง ทำโปรเจกต์ให้คนอื่น เขียนเพลงให้คนอื่นมากขึ้น

ทำไมคนที่ดูประสบความสำเร็จแล้วอย่างคุณถึงยังต้องพิสูจน์ตัวตนอีก

เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว นั่นคือตอนที่คุณหยุดสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ เราคงไม่มีทางใช้เวลาวันต่อวันไปกับการไม่พยายาม 

ภูมิอยากพิสูจน์ตัวเองให้ใครยอมรับ

(หัวเราะและตอบทันที) ตัวเองนี่แหละครับ 

ตอนเด็กกว่านี้เราเคยอยากไปโผล่ในเฟสติวัลนู่นนี่ อยากได้ Grammy Awards ตอนนี้เราไม่ได้อยู่เพื่อรางวัลอีกต่อไปแล้ว แค่จะทำยังไงให้มีความสุขกับสิ่งที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมา การทำสิ่งเล็ก ๆ แค่นี้มันเติมเต็มมากพอแล้ว 

แต่เพลง Welcome Change ได้ไอเดียมาจากรูปถ่ายของพ่อกับแม่ การที่ภูมิเล่าเรื่องนี้ก็ต้องอาศัยความกล้าหาญพอสมควรนะ

เราอยากแต่งเพลงที่เกี่ยวกับครอบครัวมานานแล้ว ตากับยายเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม่กับพ่อเราก็เลิกกันตั้งแต่อายุ 3 ขวบ น้าก็ไม่มีสามี เราโตมาในบ้านที่มีแต่ผู้หญิง

แล้วบังเอิญว่าในห้องนอนเราทุกวันนี้เป็นห้องที่แม่เก็บจดหมายที่พ่อเขียนให้สมัยจีบกันไว้เยอะมาก เราไม่ได้อยากเข้าไปอ่าน แต่ก็มีบ้าง (หัวเราะ) ข้างบนสุดมีรูปพ่อกับแม่ตอนตัดสินใจเป็นแฟนกัน เราว่ามันน่ารัก ตอนนี้แม่ไม่ชอบเท่าไร แต่เราว่าแม่น่ารักมาก ก็เลยนั่งคิดว่าจะเขียนอะไรบางอย่างจากรูปนี้ได้ไหม เลยจินตนาการว่าเป็นเพลงที่พ่อเขียนให้แม่

บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go
บทสนทนาเวรี่เกรงใจกับ ภูมิ วิภูริศ ในวัย 27 ถึงจุดเปลี่ยนชีวิต ขี้หมา และการ Let it go

เคยคิดไหมว่าถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้เลิกกันจะเป็นยังไง 

It could be very toxic, honestly (หัวเราะ) เราว่าพ่อกับแม่มีมุมมองเกี่ยวกับการแต่งงานแตกต่างกัน แต่ก็โอเค 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตภูมิคืออะไร

โห (หยุดคิด) เรารถชนเดือนเมษายนปีที่แล้ว เปลี่ยนมาก

เราชอบขับรถตอนกลางคืน เพราะเป็นเวลาที่ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย ถ้าวันไหนตี 1 แล้วรู้สึกไม่ค่อยโอเค เราจะขับรถไปดอนเมือง ไปสุวรรณภูมิ กลับมาดอนเมือง แล้วค่อยขับกลับเข้าบ้าน ทำแบบนั้นได้ 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นงานอดิเรกที่อันตรายมาก ๆ ซึ่งแม่ก็เตือนตลอดว่าประเทศไทยไม่ได้เหมาะกับการทำแบบนั้น แล้วก็มีคืนหนึ่งที่เราตัดสินใจขับไป แล้วคิดว่า บางแสนมันแค่นี้เอง

เราขับกลับบ้านประมาณตี 3 ไม่ได้ขึ้นมอเตอร์เวย์ เหมือนมียูเทิร์นข้างใต้ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์ขี่มาชน แค่นั้น ทุกอย่างเปลี่ยนเลย

เปลี่ยนยังไง

รู้สึกว่าชีวิตมันเปราะบางมาก ๆ พอเปิดประตูรถลงไปแล้วเห็นเขานอนอยู่ เราแบบ (เงียบ) It is the end. 

เขาต้องอยู่ ICU ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ตอนนั้นเราโทรไปทุก ๆ 6 ชั่วโมง เพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง โรงพยาบาลก็บอก 50 – 50 

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อถ้าเขาไม่ฟื้นจริง ๆ ใครจะเป็นคนดูแลครอบครัวเขา แล้วเราจะทำยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะแบกสิ่งเหล่านี้ไว้บนบ่าไปตลอดชีวิตได้รึเปล่า เป็นช่วงเวลาที่ยากมาก ๆ ก็เลยประเมินค่าตัวเองใหม่ทุกอย่าง เราทำอะไรมาบ้าง What do I wanna be remembered by, at the end of it all? 

จาก Sunshine Boy สู่ Sunset คุยกับ ‘ภูมิ วิภูริศ’ ในวันที่เลิก Say yes หลงใหลการจากลา และเลี้ยงหมาตัวแรก

คุณผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง

อืม (หยุดคิด) เราว่ามันผ่านไปวันต่อวันมาก ๆ เรายังคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา กระวนกระวาย เป็นอะไรที่ต้องผ่านไปให้ได้ ชีวิตต้องเดินต่อ ไม่ว่าคืนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์นั้นได้ บางสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย แค่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อะไรจะเป็นก็ต้องเป็น

เกรงใจน้อยลงไหม

ใช่ เราอยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดหรืออยากลองอะไร เราก็โอเค เหมือนใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเร็วขึ้น เพราะทุกวินาทีอาจเจอเหตุการณ์นั้นได้ เราให้คุณค่ากับทุกอย่าง โดยเฉพาะเวลาของทุกคน

ภูมิคนก่อนกับภูมิคนนี้ ชอบตัวเองเวอร์ชันไหนมากกว่ากัน

ชอบเวอร์ชันนี้มากกว่า อาจจะยังห่างไกลกับเวอร์ชันที่เราอยากเป็น แต่อย่างน้อยก็รู้มากขึ้นแล้วว่าอยากเป็นแบบไหน

ถ้าไม่ได้ผ่านเหตุการณ์รถชนวันนั้น คิดว่าจะตกตะกอนสิ่งนี้ได้เองเมื่อไหร่

ตอนนี้อัลบั้มอาจจะยังไม่เสร็จก็ได้ อาจจะ เฮ้ย ยังไม่ดี เดี๋ยวค่อย ยังไม่ต้องทำตอนนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นคือ ไม่ ถ้าเราไม่ทำอัลบั้มนี้ให้เสร็จ เราอาจจะไม่มีโอกาสทำมันให้เสร็จอีกแล้วก็ได้

Everything has more meaning to me, at least to me.

Healing House

คุณเป็นศิลปินที่ผ่านการทัวร์มาแล้วรอบโลก มองย้อนกลับไป ภูมิเห็นอะไรในเพลงแรกอย่าง Adore 

เพลงนี้เกี่ยวกับการบอกลา เราเห็นเพื่อนที่นิวซีแลนด์ หลาย ๆ เพลงของเราก็เกี่ยวกับการบอกลาเหมือนกัน 

นั่นสิ เพราะอะไร

เราเชื่อว่าไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป ทุกอย่างต้องมีจุดจบและค่อย ๆ เลือนหายไป ไม่ว่าคุณจะฝืนมันขนาดไหน ต้นไม้จะล้มตาย ใบหน้าของเราจะเหี่ยวลง ความรู้สึก ประสบการณ์ ผู้คนจะหายไปจากชีวิต ซึ่งเราหลงใหลในสิ่งนี้ เราไม่ต่อต้าน ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น 

เหมือนเราไม่รู้หรอกว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ But you live with me still, everywhere I go

แต่มันไม่เศร้าเหรอ ถ้ารักใครสักคนโดยคิดไว้เสมอว่าต้องจบสักวัน

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนที่อยู่ด้วยยากมาก ๆ (หัวเราะ) เรากลัวการผูกมัดก็จริง แต่มันก็เหมือนการโกหกถ้าบอกว่ารักนี้จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ความรู้สึกคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้

จาก Sunshine Boy สู่ Sunset คุยกับ ‘ภูมิ วิภูริศ’ ในวันที่เลิก Say yes หลงใหลการจากลา และเลี้ยงหมาตัวแรก

เป็น Perfectionist ด้วย แล้วก็ Letting go เก่งไปด้วยเหรอ

ใช่ (หัวเราะ) ทุกอย่างมีจังหวะเวลาของมัน ความ Perfectionist คือการที่เราใช้เวลา 3 ปีในการทำอัลบั้มนี้ แต่เราก็ Let it go ได้ เพราะปล่อยให้มันยืดเยื้อไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก เราเซตลิมิตได้ว่า พอ ต้องหยุดแก้ไขได้แล้ว 

รู้มาว่าคุณเพิ่งเลี้ยงหมาเมื่อปลายปีก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้ชอบชีวิตตอนนี้ด้วยไหม

โห มันเปลี่ยนชีวิตอีกเหมือนกัน ปกติตื่นเที่ยง ทุกวันนี้ตื่น 8 โมงมาให้อาหาร มันทำให้เรามีเหตุผลในการกลับบ้านมากขึ้น ไม่งั้นเราคงขับรถไปเรื่อย ๆ (หัวเราะ) แต่ก่อนเราไปร้านดนตรี ร้านเกม แต่นี่เราไปร้านอาหารหมา จนเจ้าของถามว่าวันนี้เอาเหมือนเดิมไหม

ก่อนหน้านี้เราไม่เลี้ยงสัตว์ เพราะตอนเด็ก ๆ เคยเลี้ยงแฮมสเตอร์ได้ 2 อาทิตย์แล้วก็ตาย หลังจากนั้นเราก็ไม่กล้าเลี้ยงอะไรอีกเลย จนเกิดเหตุการณ์รถชน รู้สึกว่าเราไม่เคยดูแลอะไรแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยในชีวิต ไม่เคยได้เป็นเจ้าของและต้องเลี้ยงดูตั้งแต่สิ่งนั้นเกิด เลยตัดสินใจว่าจะเลี้ยงหมา เราอยากได้หมาไซซ์กลางที่มันชิลล์แล้วก็ช้า ๆ เหมือนเรา แต่ก็เลือกดัลเมเชียน ไม่รู้ทำไม

ถูกชะตาเหรอ

Yes, it feels like one of a kind. I like things that are one of a kind. 

จาก Sunshine Boy สู่ Sunset คุยกับ ‘ภูมิ วิภูริศ’ ในวันที่เลิก Say yes หลงใหลการจากลา และเลี้ยงหมาตัวแรก

ตั้งชื่อว่าอะไร

ตอนแรกอยากได้ชื่อไทยที่เป็นภาษาอังกฤษด้วย พี่ชายก็บอก มาวิน (Marvin) อะไรแบบนี้ไหม สุดท้ายก็จบที่ ‘Boba’ ที่แปลว่า ไข่มุกในชานม และชื่อไทย ‘โบ๊ะบ๊ะ’ แบบตลกโบ๊ะบ๊ะ 

คิดยังไงกับคำพูดที่บอกว่าสัตว์เลี้ยงเป็นครูของชีวิต

เราว่าจริงนะ ตอนแรกไม่เชื่อเลย แต่หมาสอนให้เรามีวินัยในการใช้ชีวิต และมันทำให้เราสนิทกับพี่ชายมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบที่สุด จากเคยรู้สึกเหมือนอยู่บ้านกับใครสักคนที่ไม่รู้จัก เราขอบคุณมันมาก 

แล้วเรื่องอะไรที่ไม่ชอบที่สุดในการเลี้ยงหมา

(หัวเราะ) เก็บขี้หมา

เราเกลียดแตงโม เกลียด Crocs แล้วก็ขี้ (หัวเราะ) เห็นแล้วมันแบบ ARGH! WHAT! Why does it exist, Even though it is from me. 

จำได้ว่า 2 คืนแรกที่มันขี้ในกรง เราเกือบร้องไห้ พี่ชายรู้ว่าเราเกลียดมากเลยจะเก็บให้ เราแบบ ไม่ ๆ แล้วเราก็ใส่ถุงมือ 5 ชั้น (หัวเราะ) 

ทุกวันนี้เราโอเคกับมันแล้วนะ It is normal, people shit, right? And why do I need to be afraid of shit?

(หัวเราะ)

I don’t think we’re gonna be talking about that. Now everyone would know I’m afraid of shit. (หัวเราะ)

จาก Sunshine Boy สู่ Sunset คุยกับ ‘ภูมิ วิภูริศ’ ในวันที่เลิก Say yes หลงใหลการจากลา และเลี้ยงหมาตัวแรก
จาก Sunshine Boy สู่ Sunset คุยกับ ‘ภูมิ วิภูริศ’ ในวันที่เลิก Say yes หลงใหลการจากลา และเลี้ยงหมาตัวแรก

ภูมิในวัย 27 อยากทำอะไรต่อ 

อยากทำ Score ให้ทั้งวิดีโอเกมที่เล่นจบภายใน 2 ชั่วโมง เราอยากทำงานดนตรีกับสิ่งอื่นที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ชื่อเราอย่างเดียว 

อยากทำอีก 1 อัลบั้มในปีนี้ด้วย เป็น Royalty Free ไม่คิดตังค์ เป้าหมายคืออยากให้ทุกคนที่ทำหนังสั้นหรืองานที่ดาวน์โหลดไปตัดและใช้งานได้เลย จะตั้งชื่อว่า Music For Students’ Short Films (หัวเราะ) 

นอกจากเรื่องเพลง มีความฝันบ้า ๆ อยากทำบ้างไหม

อ๋อ (หัวเราะ) อยากไปออกรายการเกมโชว์หนึ่งที่ญี่ปุ่นมาก แต่ไม่ใช่อันไหนก็ได้นะครับ ต้องเป็นอันนี้ (เปิดคลิปรายการ Slippery Stairs ให้ดู) ลองจินตนาการเป็นภาพเราแต่งตัวใส่ชุดลาเท็กซ์มัน ๆ ไปปีนบันไดลื่น ๆ 

เราบอกเอเจนต์ที่ญี่ปุ่นไปว่า ถ้าได้ออกรายการนี้ เราจะไม่คิดค่าตัวหรืออะไรเลย เอาไปโปรโมตยังไงก็ได้ I think this is the most random one, I have many other things similar to this that I wanna do before I die, just stuff like this. 

จาก Sunshine Boy สู่ Sunset คุยกับ ‘ภูมิ วิภูริศ’ ในวันที่เลิก Say yes หลงใหลการจากลา และเลี้ยงหมาตัวแรก

ขอบคุณสถานที่ Bluetamp Cafe
56 ซ. ลาดพร้าว 73 แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310 (แผนที่)

Writers

วีณา พันธุ์ธีรานุรักษ์

วีณา พันธุ์ธีรานุรักษ์

นักออกแบบที่ชอบแอบบอกว่าตัวเองเป็นเป็ด สนใจเรื่องความยั่งยืนไปจนถึงการพบคนแปลกหน้า และสักวันจะเลี้ยงหมาที่ตั้งชื่อเผื่อเอาไว้ให้ได้

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

โตมร เช้าสาคร

โตมร เช้าสาคร

ชอบถ่ายวิวมากกว่าคน ชอบกินเผ็ดและกาแฟมาก เป็นคนอีโค่เฟรนลี่ รักสีเขียว ชวนไปไหนก็ได้ไม่ติด ถ้ามีตัง