“เหี้ยแล้ว”

“สมัยก่อนเขาไม่ทำกันแบบนี้”

“พี่ไม่ได้สนใจเลย”

“ชนงานคนอื่นไม่ว่า งานตัวเองยังจัดชนกันเองด้วย”

พี่ ๆ น้อง ๆ ในวงการเพลงที่เราคุยด้วย หล่นนานาทัศนะสิ่งที่จะเกิดในวันเสาร์นี้

ว่ากันว่านี่คือปีทองของคอนเสิร์ต ดูจะเป็นเรื่องดี 

แต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ 

28 ตุลาคม เราจะได้ดูคอนเสิร์ตดังต่อไปนี้

  • Heineken Experience Silver Presents WHAT THE DUCK FAMILY & FRIENDS PARTY
  • 2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52] in BANGKOK
  • ไทยประกันชีวิต presents GRAMMY RS CONCERTS HIT100
  • Steve Vai Live in Bangkok 2023
  • LEO Presents Scream Fest
  • CHANG MUSIC CONNECTION PRESENTS FATCAT คอนเสิร์ตวันนั้นในแบบวันนี้

นี่แค่กรุงเทพฯ ถ้ารวมต่างจังหวัดด้วย เนื้อหาบทความคงมีแต่รายชื่อคอนเสิร์ต

เกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจัยคืออะไร และจะนำไปสู่อะไร เราพูดคุยกับผู้จัดคอนเสิร์ต ค่ายเพลง แฟนเพลง ถามความเห็นและที่มาที่ไป จนสรุปออกมาเป็นเทรนด์ที่สะท้อนปัจจุบันและอนาคตของวงการเพลงไทยวันนี้

วันหนึ่งโลกออนไลน์มี Feed มากมาย โปรโมชันจากแบรนด์ ถ้าไม่เด่นจริงจะถูกกลืนหายง่ายมาก 

แบรนด์จึงต้องทำกิจกรรม Offline คู่กันไป หนึ่งในเครื่องมือสำคัญ คือการลงทุนในอุตสาหกรรมดนตรี สปอนเซอร์อีเวนต์คอนเสิร์ตหรือเทศกาล เพราะนอกจากได้สื่อสารแบรนด์ผ่านสื่อโปรโมตออนไลน์ ยังได้เจอลูกค้าตัวเป็น ๆ เห็นผลตอบรับจับต้องได้ผ่าน Google Analytics 

โรคระบาดทำให้ลูกค้าเลื่อนการใช้เงิน แต่ไม่ยกเลิก เมื่อประเทศเปิด แบรนด์จึงขนเงินที่เตรียมไว้มาลงกับคอนเสิร์ต และมากเป็นพิเศษในเดือนตุลาคม-ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วง ‘Festive’ ที่บรรยากาศใกล้สิ้นปี เหมาะกับการจัดงานรื่นเริงทางดนตรียิ่ง

อีกปัจจัย คือการเดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตของศิลปินต่างประเทศ ซึ่งปกติจะวกเวียนมาเล่นในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว ไทยก็เป็นหนึ่งในลิสต์ที่ศิลปินอยากมา

ยกตัวอย่างศิลปินเกาหลีจะชัดเจน ใน 1 รอบการทำงานของศิลปิน จะเริ่มด้วยการออกอัลบัม ซึ่งจะเรียกว่า ‘Come Back’ จากนั้นจะมีกิจกรรมเล็ก ๆ พบแฟนเพลง และจบด้วยทัวร์คอนเสิร์ต เสร็จแล้วศิลปินจะมีเวลาพัก และกลับมาทำงานรอบใหม่

โควิดทำให้การทำงานของศิลปินเกาหลีหายไป 1 รอบ จึงต้องมาจัดทบในช่วง 1 – 2 ปีนี้ ต่อให้คอนเสิร์ตยุคนั้นทำแบบ Virtual ค่ายก็คิดว่าไม่พอ บางวงถือว่าไม่นับเป็นในรอบการทำงานด้วยซ้ำ

อีกปัจจัย คือมีผู้จัดคอนเสิร์ตเยอะขึ้น เดิมมีไม่ถึง 5 เจ้า ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้จัดคอนเสิร์ต แบรนด์ ค่ายเพลง หรือคนธรรมดาที่มีทุนก็จัดคอนเสิร์ตได้ 

เราจึงได้เห็นเทศกาลดนตรี CaT eXpo จัด 2 รอบในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้เห็นศิลปินเกาหลีมาเล่นที่ไทยถี่ขึ้น พร้อมกับมีงานที่ไม่เคยจัด อย่างการมอบรางวัลให้ศิลปิน ซึ่งปกติจะจัดที่เกาหลี แต่ปีนี้เราเริ่มเห็นการย้ายประเทศมาจัดที่ไทยแทน

เหตุการณ์ในวันที่ 28 ตุลาคม เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่เราได้เห็นเหตุการณ์งานชนกัน และจะเกิดเป็นปกติ ผิดกับเมื่อหลายปีก่อนที่ PR พยายามเลี่ยงไม่ให้งานชนกัน แม้จะเป็นแค่งานแถลงข่าวก็ตาม ถือเป็นมารยาทในวงการ

อย่างไรก็ดี ปีหน้าเราอาจไม่เห็นคอนเสิร์ตถี่เท่านี้ เพราะงานที่อั้นไว้ช่วงโควิดจัดเสร็จแล้ว รอบการทัวร์คอนเสิร์ตกลับมาเป็นปกติดังเดิม

ถ้ามองดูดี ๆ เทศกาลดนตรีหลายแห่งมีรายชื่อศิลปินคล้ายกัน ไม่มีคนใหม่มากนัก งานเยอะก็จริงแต่ศิลปินและคนดูยังจำนวนเท่าเดิม

วงการคอนเสิร์ตอาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ ใครอยากทำงานใหญ่ ควรวิเคราะห์แยกแยะให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ

แรกเริ่ม คอนเสิร์ตที่ค่ายจัดเองถือเป็นกิจกรรมเสริมรายได้ในทางธุรกิจ ไม่ได้จัดทุกเดือน จะมีก็ต่อเมื่อศิลปินดังมากพอ มีแฟนเพลงชัดเจน สปอนเซอร์ไม่ขัดข้อง ถ้ารู้ว่าทำแล้วสำเร็จจึงได้ทำ

ปัจจุบันเมื่อความรู้ในการจัดคอนเสิร์ตขยายตัว ไม่ได้กระจุกอยู่ในบริษัทเดียว ใครก็จัดได้ เราจึงได้เห็นแบรนด์หรือองค์กรจัดงานของตัวเอง เมื่อค่ายเห็น Demand ก็ตั้งแผนก Showbiz ขึ้นเพื่อรับจัดคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมตามสั่ง มีการจ้างพนักงาน Full-time ไม่ได้จ้างคนนอกหรือ Outsource เหมือนก่อน ขนาดขึ้นอยู่กับว่าค่ายเพลงนั้นใหญ่แค่ไหน

บางบริษัทอย่าง GMM Grammy มองไกลถึงขั้นทำให้หน่วย Showbiz ขยายไปจัดงานระดับเทศกาลดนตรี ไม่ได้จัดเฉพาะคอนเสิร์ตศิลปินตัวเอง เพราะเทศกาลรองรับศิลปินต่างค่ายได้ ลดความเสี่ยง ไม่ต้องลุ้นว่าศิลปินในค่ายตัวเองจะดังสม่ำเสมอพอจะจัดคอนเสิร์ตตลอดปีได้หรือเปล่า 

ต่อจาก Big Mountain Music Festival เราจึงได้เห็น เชียงใหญ่เฟส เฉียงเหนือเฟส พุ่งใต้เฟส เจ้าใหญ่ลงเอง แบรนด์เห็นโอกาส คนเห็นคุณค่า ทำตามต่อเนื่อง นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเทศกาลดนตรีเติบโตในหลายจังหวัด

ถ้าเทียบสัดส่วนรายได้ ค่ายยังทำเงินจากงานจ้างลูกค้าดีกว่าคอนเสิร์ตของค่ายที่จัดเอง เพราะไม่ต้องแบกต้นทุนและความเสี่ยง กำไรอาจอยู่ที่ราว 30 – 40% ของทั้งหมด 

การจัดคอนเสิร์ตเองก็ยังจำเป็น ค่ายมองว่าเป็นการลงทุนในตัวศิลปิน เมื่อเขาและเธอดังถึงจุดหนึ่ง มีแฟนเพลง มีเพลงฮิต การมีคอนเสิร์ตของตัวเองถือเป็นสปริงบอร์ดสำคัญในอาชีพศิลปิน

นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ในการสร้างชุมชนหรือคอมมูนิตี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินยุคนี้ต้องการเหลือเกิน งานประเภทเทศกาลดนตรีที่ค่ายนำศิลปินไปโชว์ได้มากกว่าหนึ่ง เป็นโอกาสสำคัญของวงเล็กโอกาสน้อยได้ขึ้นโชว์พบคนดูตัวเป็น ๆ ครั้งแรก แถมยังเก็บ Data จากอีเวนต์ไปต่อยอดได้ด้วย

บางครั้งจังหวะไม่เป็นใจ ผู้จัดเจอปัจจัยลบรอบด้านที่อาจทำให้เทศกาลดนตรีหรือคอนเสิร์ตไม่เข้าเป้า ทางออกยุคนี้ไม่ใช่การดันทุรังทำเอง แต่เป็นการหาพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญการแก้ปัญหานั้นมาร่วมจัดเพื่อลดความเสี่ยงและทำให้งานดีขึ้น

โซนตลาดและอาหารถือเป็นจุดตายของหลายเทศกาล โดยเฉพาะกับงานกลางแจ้งที่ไม่มีสาธารณูปโภค ทุกอย่างต้องขนมาเองบนพื้นที่เปล่า

ในงาน WHAT THE DUCK FAMILY & FRIENDS PARTY มอย-สามขวัญ ตันสมพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งค่ายเล่าว่าเขาพาร์ตเนอร์ร่วมกับ Good Hood Services ผู้จัด Good Hood Market ตลาดรวมร้านค้าและร้านอาหารจาก Instagram มาจัดแบบ Offline มีแฟนตามชัดเจน เป็นกลุ่มที่เรียกว่า ‘วัยรุ่นเทสต์ดี’ เป็นหนึ่งในผู้จัดตลาดที่มาแรงมากในยุคนี้

การจัดเทศกาลและคอนเสิร์ตยุคนี้ เพลงอย่างเดียวไม่พอ ต้องใส่ใจประสบการณ์ที่คนจะได้รับด้วย

แฟนเพลงหลายคนไม่ได้ไปถึงงานเพื่อรอฟังเพลงอย่างเดียว คอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีหลายงานจะมีแฟนไปถึงแต่ไก่โห่ งาน 6 โมงเย็นอาจไปถึงตั้งแต่เที่ยง 

เพราะงานแบบนี้เป็นการพบปะเพื่อนฝูง งานคอนฯ เกาหลีเลยมีจุดถ่ายรูป กิจกรรมจากสปอนเซอร์ที่เปิดก่อนงานเริ่มหลายชั่วโมง เพื่อให้คนมีช่วงเวลาดี ๆ ก่อนเริ่มงาน

บางครั้งแฟนคลับจะจัดกิจกรรมกันเอง เช่น นัดกันใส่เสื้อตาม MV ที่เพิ่งออก โดยจะมีแฟนคลับพี่ใหญ่ช่วยประสานงาน ส่วนมากคือแฟนคลับใน Twitter (X) ที่มีคนตามมากที่สุด เรียกว่า ‘บ้านเบส’ หรือบางทีก็มีการรวมตัวระหว่างหลายบ้านเบส เรียกว่า ‘บ้านยูเนี่ยน’ ในช่วงที่มีงานใหญ่หรือวาระพิเศษมากสำหรับศิลปิน 

งานไหนที่ใส่ใจประสบการณ์ในงาน แคร์แฟนคลับ โอกาสที่งานนั้นจะสำเร็จมีสูง

ไม่มีอีกแล้วการแปะโลโก้เฉย ๆ แบรนด์ส่วนใหญ่ต้องคิดวิธีสปอนเซอร์คอนเสิร์ตในรูปแบบที่ครีเอทีฟ แตกต่าง จึงจะได้ใจแฟน 

ฝั่งผู้จัดก็ขายงานพร่ำเพื่อไม่ได้ เพราะคู่แข่งเยอะ ต้องมองให้ออกว่าสิ่งที่แบรนด์กำลังสื่อสารไปด้วยกันกับเนื้อหาในงานหรือเปล่า 

ยกมาสักตัวอย่าง เช่น งาน FatCat ของ Cat Radio นำวงอินดี้วันนั้นที่หลายคนคิดถึงมาเล่นวันนี้ เปรียบเสมือนงานรวมตัวของเพื่อนเก่ามาเจอกัน สปอนเซอร์คือ Chang ซึ่งพูดเรื่องความเป็นเพื่อนเหมือนกัน ต้องตอบโจทย์แบบนี้จึงจะลงตัว

บางแบรนด์พยายามคิดกิจกรรมหรือทำสินค้าใหม่ที่เน้นกลุ่ม Music Lover โดยเฉพาะ เช่น การเล่นกับเทรนด์แผ่นเสียงไวนิล ทำสินค้าพิเศษที่แฟนเพลงน้ำลายหก 

ตลาดโตขึ้น คนมองออกแล้วว่าสปอนเซอร์เจ้าไหนมาแบบตั้งใจจริง เจ้าไหนมาแค่ฉาบฉวย ใครมองโอกาสนี้ออกย่อมได้เปรียบ

ในตลาดศิลปินอินดี้มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ คือการรวมตัวของวงรุ่นใหญ่อย่าง พราว ที่ทำให้แฟนเพลง Gen Z และ Alpha หลงรัก

บูม-บรกรณ์ หลงสวาสดิ์ จาก CaT Radio เล่าว่า พราวห่างหายจากคอนเสิร์ตไปนาน กลับมาขึ้นเล่นในงาน CAT TSHIRT สร้างปรากฏการณ์เสื้อ Sold Out รวดเร็วราวกับศิลปินเกาหลี จากนั้นเราจึงได้เห็นการจัดคอนเสิร์ตเจาะตลาดแนว ‘โตมาด้วยกัน’ มากขึ้นเรื่อย ๆ 

ในอดีต วงรุ่นเก่าจะมีฐานแฟนเพลงชัดเจน ไม่มีหน้าใหม่มากนัก เพราะไม่มีคนรู้จัก แต่โซเชียลมีเดียและสตรีมมิงทำให้เด็กรู้จักศิลปินง่ายขึ้น หากพวกเขาคิดว่าใครน่าสนใจ มีของ โดยเฉพาะวงที่ถูกยกให้เป็นตำนานในอดีต พวกเขาก็จะตามไปฟังและศึกษา เกิดฐานแฟนเพลงรุ่นใหม่อย่างรวดเร็ว

ในต่างประเทศ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือเคสของวงร็อกรุ่นใหญ่อย่าง Metallica ที่เด็กรู้จักจากตัวละครในซีรีส์ Stranger Things โซโล่กีตาร์เพลงดังของวง Master of Puppets จากนั้นวงรุ่นคุณลุงก็ได้แฟนเพลงรุ่นหลานเพิ่มเป็นล้าน ยิ่งวงเปิดใจ เล่นด้วย โอกาสยิ่งมากตาม

แฟนเพลงที่กว้างขึ้น หลากหลายขึ้น เหนียวแน่นขึ้น ทำให้ไลน์อัปศิลปินตามเทศกาลใหญ่เปลี่ยนไป ความเชื่อเดิมที่ว่าต้องเอาวงใหญ่ ๆ เล่นตอนกลางคืนเริ่มเปลี่ยน เพราะวงที่เล่นบ่าย 3 ก็มีคนดูเยอะไม่แพ้กัน 

งานอย่าง FatCat เปิดตัวคอนเสิร์ตโดยไม่มีสปอนเซอร์ เพราะเชื่อว่ายังไงวงอย่าง FUTON, KATSUE, พราว และผองเพื่อนมีคนดูแน่นอน และก็มีจริง ๆ จนทำให้บัตร Sold Out เร็วพอ ๆ กับคอนเสิร์ตเกาหลี

บัตรคอนเสิร์ตวง SEVENTEEN ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ระดับ VIP แพงสุดคือ 9,900 บาท

ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตเกาหลี ทุกคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีบัตรราคาสูงขึ้นมาก จนเกิดโปรโมชัน ‘ผ่อนบัตร’ เพื่อให้แฟนเพลงนักเรียนนักศึกษาจ่ายไหว 

เรื่องที่ยากกว่าราคาบัตร คือการกดบัตรให้ทัน ขอยกเคสคอนเสิร์ตเกาหลีเป็นตัวตั้ง ปัจจุบันมีการ Resell บัตรคอนเสิร์ตเรียบร้อย ถ้าราคาเดิม 5,000 รีเซลล์อาจพุ่งไปถึง 20,000 – 30,000 บาท บัตรวีไอพีเหยียบหมื่น พุ่งไปถึง 70,000 – 80,000 บาท แพงยังไงก็มีคนซื้อ เพราะการันตีว่าได้บัตรแน่

ถ้าเงินน้อย จะมีอีกตัวเลือกจากการใช้บริการ ‘ร้านกดบัตร’ ทวิตเตอร์รับกดบัตรคอนเสิร์ต ราคาประหยัด จ่ายเพิ่มราว 500 บาท ความจริงไม่ได้การันตีว่าคุณจะได้แน่ ๆ แต่ร้านจะมีเครดิตว่ามีเปอร์เซ็นต์ในการกดบัตรทันแค่ไหน 

ร้านไหนดัง คนยิ่งตาม คิวยาว เลยเกิดอีกบริการหนึ่งเรียกว่า ‘ร้านรับกรอกฟอร์ม’ ปกติถ้าจะซื้อบัตรกับร้านกดบัตร จะต้องกรอก Google Forms ก่อน ร้านรับกรอกฟอร์มช่วยกรอกข้อมูลให้เราได้ 

ที่ต้องทำขนาดนี้ เพราะการแย่งชิงบัตรคอนเสิร์ตเกาหลีแข่งกันเสี้ยววินาที ถ้าแฟนคลับจะซื้อบัตร 2 ใบ เขาและเธออาจต้องซื้อบัตรกับร้านกดบัตรและร้านกรอกฟอร์มเป็นสิบร้าน ไม่นับการฝากญาติพี่น้องช่วยกด ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บัตร ต่อให้ได้เกินความต้องการ ขายต่อก็ยังคุ้ม

บางบริษัทพยายามคิดบริการช่วยแฟนเพลงอีกทาง เช่น SM True ผู้จัดคอนเสิร์ตในเครือ SM Entertainment สร้างระบบสมาชิก จ่ายพันกว่าบาทต่อปี มีสิทธิ์กดบัตรคอนเสิร์ตราว 6 สิทธิ์ต่อปี วิธีนี้เวิร์กถ้าคุณติ่งหลายวงในค่าย หารเฉลี่ยแล้วเหลือไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าติ่งแค่วงเดียว คงต้องใช้วิธีธรรมชาติเช่นเดิม

ปัจจุบันเริ่มมีการเรียกร้องจากแฟนเพลงให้ลดราคาบัตร แต่ยังไม่เห็นผลมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะดีมานด์ในตลาดสูงมาก และจะยังเป็นอยู่อีกหลายปี

หลายปีมานี้ ประเทศจีนและเกาหลีมีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นนัก ทำให้ศิลปินเกาหลีบางวงจัดคอนเสิร์ตที่จีนไม่ได้

ติ่งชาวจีนจึงต้องออกมาดูคอนเสิร์ตประเทศอื่น แน่นอนว่าประเทศยอดนิยมอย่างไทยคือเป้าหมายอันดับ 1

แม้มีส่วนน้อย แต่ต้องยอมรับว่าแฟนเพลงชาวจีนไม่ค่อยได้รับการต้อนรับเท่าไหร่ บางส่วนพฤติกรรมไม่ดี เช่น พูดแทรกตอนที่ศิลปินกำลังพูดบนเวที เบียดที่นั่งระหว่างโซนเพื่อให้ได้ที่ดีกว่า 

อีกเหตุผลหนึ่งที่แฟนเพลงต่างชาติบินมาดูคอนเสิร์ตที่ไทย เพราะแฟนเพลงไทยต้อนรับศิลปินดีกว่า เคสนี้เห็นได้ชัดจากวงเกาหลีที่มีสมาชิกหลายคน แฟนเพลงบางประเทศจะชอบแค่คนเดียว คนอื่น ๆ ไม่สนใจ แต่แฟนเพลงไทยจะรู้สึกว่าควรชอบสมาชิกให้เท่าเทียมกัน 

เวลาร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกคนไหน เสียงกรี๊ดจึงกระหึ่มไร้เดดแอร์ แฟนเพลงต่างชาติเห็นพ้องต้องกันว่า ดูคอนเสิร์ตในไทยมีความสุขทั่วหน้า ได้ประสบการณ์ที่น่าจดจำ

Writer

ศิวะภาค เจียรวนาลี

ศิวะภาค เจียรวนาลี

บรรณาธิการที่ปั่นจักรยานเป็นงานหลัก เขียนหนังสือเป็นงานอดิเรก