ลึกเข้าไปในพื้นที่ป่าใกล้อุทยานแห่งชาติออบขาน จังหวัดเชียงใหม่ มีบ้านไม้หลังเล็ก ๆ วางตัวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ บ้านหลังนี้เกิดจากความฝันของครอบครัวหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ฝันอยากมีบ้านพักตากอากาศอันเงียบสงบสักแห่ง และต้องเป็นสถานที่ที่ให้สมาชิกครอบครัวได้มาพักและใช้เวลาร่วมกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติของป่าภาคเหนือ ตื่นเช้ามาใกล้ชิดกับไอหมอกที่ลอยคล้อยจากยอดดอยลงมา และอาศัยอยู่ร่วมกับวิถีชุมชนใกล้เคียงอย่างเป็นมิตร
พวกเขาตั้งชื่อบ้านในฝันที่เป็นจริงนี้ว่า ‘ม่อนอิงสุข (Mon Ing Suk Eco Stay)’
ที่นี่เป็นบ้านที่ตั้งใจให้ผู้พักได้ใช้เวลาอ้อยอิ่ง ไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม อยู่ร่วมกันกับธรรมชาติและวิถีชุมชน โดยทุกฝ่ายมีความสุข และเมื่อได้รับความสุขแล้ว พวกเขาก็ตั้งใจแบ่งปันความสุขที่บ้านหลังนี้มอบให้ ด้วยการเปิดเป็นโฮมสเตย์ให้ผู้คนมาพักผ่อนแนบอิงกับธรรมชาติและชุมชน
บ้านที่ทำให้ได้ใช้เวลาช้า ๆ
“ตั้งแต่นุ่นเรียนจบ ก็เริ่มทำงานในบริษัทเอกชนชั้นนำหลายแห่งเป็นเวลาเกือบ 5 ปี ที่ทำงานส่วนใหญ่อยู่ย่านสาทร ซึ่งแทบเป็นจุดศูนย์กลางของความเป็นเมือง ทุกอย่างดูเร็วไปหมด และดูจะยิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องวิ่งไล่ตามให้ทัน เมืองจึงมีบรรยากาศของการดิ้นรน แข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เราเหนื่อย”
นุ่น-มุกดา วรรละออ หนึ่งในสมาชิกครอบครัวผู้เป็นเจ้าของม่อนอิงสุขเล่าที่มาของบ้าน
“ในมุมหนึ่ง การแข่งขันก็เป็นสิ่งที่ดี ทำให้มีโอกาส มีการเติบโตในหน้าที่การงาน แต่พอถึงจุดหนึ่งก็เริ่มคิดว่าอยากออกมาทำอะไรเอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกับตอนที่พี่ชายมาเจอพื้นที่นี้ที่เชียงใหม่ และเป็นพื้นที่ที่ทุกคนในครอบครัวตกหลุมรัก จึงตัดสินใจจะสร้างบ้านให้ทุกคนมาพักผ่อนและใช้เวลาร่วมกัน
“นุ่นอยู่กับความเป็นเมืองมาตลอด พอมาอยู่ม่อนอิงสุข ก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้ไหม แต่พออยู่จริง ๆ เราได้พบจังหวะชีวิตอีกแบบ ไม่ต้องเร่งรีบ มีเวลาให้อยู่เฉย ๆ กับตัวเอง การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติเป็นเหมือนการชาร์จพลัง กลายเป็นว่าทุกครั้งที่กลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ เราจะรอคอยให้ถึงวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อขับรถมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ หลังจากนั้นเราตัดสินใจลาออกจากงานและย้ายมาดูแลบ้านหลังนี้
“คนอื่น ๆ ในครอบครัวยังคงมีงานที่พวกเขาต้องกลับไปทำ และกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันที่บ้านหลังนี้ในช่วงที่ทุกคนหยุดตรงกัน ทีนี้เราก็คิดกันว่าช่วงที่ครอบครัวไม่ได้มาอยู่ นุ่นก็อยากให้คนที่รู้สึกเหมือนเรา คืออยากพัก อยากมาใกล้ชิดกับธรรมชาติ หรือมีพื้นที่ที่ทำให้เขาได้พัก ได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่เขารัก ครอบครัวเราเลยตัดสินใจเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์” เจ้าบ้านเล่าที่มาที่ไปของที่นี่
บ้านที่เชื่อมโยง
นุ่นและครอบครัวเลือกให้ ยางนา สตูดิโอ (Yangnar Studio) กลุ่มสถาปนิกจากเชียงใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านงานไม้และนำภูมิปัญญาช่างชาวเหนือมาประยุกต์ เป็นผู้ออกแบบและก่อสร้างบ้านในป่าของพวกเขา โดยมีโจทย์ให้พื้นที่ตรงนี้ต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงสมาชิกครอบครัวให้ใช้เวลาร่วมกันได้
จากพื้นฐานครอบครัวของเจ้าบ้านที่เป็นคนใต้ ยางนา สตูดิโอ เลือกหยิบคอนเซปต์ของ ‘ขนำ’ หรือ เพิงที่พักชั่วคราวในไร่สวนของคนใต้ที่ใช้เป็นทั้งที่พักและทำกิจกรรมอื่น ๆ มาเป็นแกนในการออกแบบ จนกลายเป็นเรือนไม้ยกพื้น แบ่งเป็น 2 ห้องนอน แต่ละห้องมี ‘เติ๋น’ หรือ พื้นที่อเนกประสงค์ด้านหน้า มี 1 ห้องน้ำแยก และมีชานทางเดินวางตัวตามแนวยาวของบ้านเชื่อมโยงกับแต่ละพื้นที่ มีเตาไฟที่เปรียบเสมือน ‘ใจบ้าน’ ตามความเชื่อของคนเหนือ เป็นสถานที่ให้สมาชิกได้มารวมตัวกันทำกิจกรรมต่าง ๆ
บ้านม่อนอิงสุขยังเชื่อมโยงไปสู่ธรรมชาติโดยรอบด้วยการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการก่อสร้าง ทำให้บ้านหลังนี้เลือกนำวัสดุเก่ามาดัดแปลงและดูแลให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง ตั้งแต่แผ่นไม้ เสา บานประตู หน้าต่าง รวมถึงเหล็กต่าง ๆ ส่วนตัวเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง ก็เป็นการใช้ของเก่าที่ทางครอบครัวนุ่นสะสมไว้และของจากทาง ยางนา สตูดิโอ มาจัดวาง การนำของเก่ามาใช้ใหม่นอกจากให้อารมณ์ย้อนยุคแก่บ้านหลังนี้ สิ่งของเหล่านี้ยังเป็นของที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน และทำให้บ้านม่อนอิงสุขให้ความรู้สึกของความคุ้นเคย และความเป็นบ้านแก่แขกผู้เข้าพัก
ที่นี่ยังให้แขกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ด้วยการวางทิศทางของบ้านให้เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติและดอยโดยรอบอย่างใกล้ชิด มีการคำนวณช่องลมให้บ้านมีสายลมพัดผ่านเข้ามาเพื่อทำให้แขกอยู่สบาย
บ้านที่น้อยแต่มาก
หากดูเผิน ๆ บ้านม่อนอิงสุขมีความเรียบง่ายและวางตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติเมื่อขยับเข้ามามองลึกถึงส่วนต่าง ๆ ของบ้าน คุณจะค่อย ๆ พบเสน่ห์ของภูมิปัญญางานไม้ที่ ยางนา สตูดิโอ ใส่ไว้ในรายละเอียด แค่เดินสังเกตรอบตัวบ้านก็สร้างความเพลิดเพลินแก่แขกผู้เข้าพักได้
หากสังเกต หน้าต่างแต่ละบานของบ้านหลังนี้ไม่เหมือนกันเลย ตั้งแต่หน้าต่างบานเลื่อน บานพับ บานกระทุ้ง รวมถึงฝาไหลของทางภาคเหนือ ทำให้บ้านดูน่าสนใจ ไม่จำเจ รวมถึงการเข้าไม้ต่าง ๆ ที่หยิบภูมิปัญญาของช่างในอดีตมาใช้ วัสดุไม้ทั้งหมดก็ตั้งใจให้ไม่มีการทาสารเคลือบผิวไม้ เพื่อให้ผู้อาศัยได้สัมผัสกับตัวผิวไม้โดยตรง และให้ไม้ค่อย ๆ เผยเสน่ห์ของมันตามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
บ้านม่อนอิงสุขมีบันไดขึ้นลง 2 ฝั่ง เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแบ่งห้องนอน 2 ห้องออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัว และยังทำให้เกิดช่องลมเพื่อให้สายลมพัดผ่าน ตัวบันไดแต่ละฝั่งก็ไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะฝั่งลงสู่ลานดิน สถาปนิกนำเสาไม้เก่ามาบากด้วยขวานจนเป็นลักษณะขั้นบันได ซึ่งตรงกับลักษณะบันไดของเรือนพื้นถิ่นทางภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึงลาวและเวียดนามด้วย
รายละเอียดที่สถาปนิกใส่ไว้ในบ้านม่อนอิงสุขทำให้บ้านหลังนี้ยังทำหน้าที่คล้ายกับเป็นพิพิธภัณฑ์นอนได้ ที่แขกผู้เข้าพักจะได้เห็นภูมิปัญญาและเทคนิคงานไม้ของช่างไทยที่สั่งสมกันมาแต่อดีต
กลับมาสุข กลับมาอิงกับธรรมชาติ กลับมาอิงสุข
บ้านม่อนอิงสุข ยินดีเป็นสถานที่ที่ให้คนมาพักผ่อน หลบหนีจากความวุ่นวาย และกลับมาใช้เวลาเนิบ ๆ อยู่กับตัวเอง อยู่กับคนที่รัก อยู่กับธรรมชาติและวิถีดั้งเดิมของผู้คนที่ถ้อยอิงถ้อยอาศัยต่อกัน
และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณอยากจะพัก นุ่นและบ้านม่อนอิงสุขยินดีต้อนรับเสมอ
“นุ่นอยากให้บ้านหลังนี้เป็นสถานที่ที่แขกได้พักผ่อน ได้ใช้เวลากับธรรมชาติ ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชุมชน หัวใจสำคัญคือเราอยากทำให้แขกมีความสุขที่สุด สุขจนเขาอยากกลับมาอีกครั้ง เมื่อไหร่ที่แขกรู้สึกแบบนั้น นุ่นถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วในฐานะคนทำที่พักค่ะ” เจ้าบ้านจบบทสนทนา