***บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหดหู่ ความตาย และความหวัง และมีภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตในสงคราม

เจมส์ นาคท์เวย์ (James Nachtwey) คือหนึ่งในช่างภาพสงครามคนสำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก มีผลงานปรากฏในสิ่งพิมพ์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น National Geographic, LIFE หรือ TIME เป็นเจ้าของรางวัล The Robert Capa Gold Medal สำหรับช่างภาพผู้มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่น 5 สมัย รวมถึงรางวัล Magazine Photographer of the Year 8 สมัย World Press Photo of the Year 2 สมัย และอีกกว่า 40 รางวัลจากเวทีทั่วโลกตลอดการทำงาน 42 ปี

ขณะนี้จนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เจมส์นำผลงานหาชมยากกว่า 126 ภาพส่งตรงจากสตอกโฮล์มมาแสดงในนิทรรศการภาพถ่าย ‘James Nachtwey: Memoria’ จัดโดยสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกที่ได้จัดแสดงผลงานของเขา รวมถึงเป็นครั้งแรกของโลกที่จะได้เห็นภาพถ่ายในสงครามยูเครน

เจมส์ นาคท์เวย์ (James Nachtwey)

เจมส์ นาคท์เวย์ เป็นทั้งช่างภาพ นักข่าว และพยานที่นำตัวเองไปอยู่แทบทุกเหตุการณ์สำคัญ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่ไม่ควรเกิดขึ้นให้ชาวโลกเห็น แต่การสะท้อนความจริงอันโหดร้ายไม่ใช่จุดหมายของชายผู้อยู่ในวงการมานานกว่า 4 ทศวรรษ

เขาชวนเรามองลึกเข้าไปในแววตาและท่วงท่าของบุคคลในภาพ 

อำนาจของการหยุดเวลาทำให้เราเห็นเรื่องราวที่แฝงอยู่

ท่ามกลางมือที่พร้อมสะบัดออกจากกัน มือของแม่ยังพร้อมไขว่คว้าลูกเอาไว้ ท่ามกลางพรมแดนที่ปิดกั้นความหวัง พ่ออุ้มลูกฝ่าธารน้ำที่ละลายจากหิมะอันหนาวเย็นเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ ท่ามกลางฝุ่นควันสีอิฐและเสียงเฮลิคอปเตอร์ เด็กน้อยในชุดกระโปรงฉลองวันนักบุญพากันออกมาดูการอพยพของทหาร ท่ามกลางการฆ่าฟัน ความเห็นอกเห็นใจยังส่องประกาย และท่ามกลางความโหดร้าย สันติภาพยังมีความหวังจะงอกงาม

ต่อจากนี้คืออุดมการณ์ที่ไม่เคยสั่นคลอนของช่างภาพผู้ถ่ายทอดโลกสีเทาในสงคราม และคุณค่าที่เขาค้นพบในวัย 75 ปี

“แต่จริง ๆ เราไม่ต้องคุยกันเรื่องอายุหรอก I’m timeless.” เขาว่า

ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับความสูญเสียที่ยังคงเกิดขึ้นแม้จะไม่ได้ปรากฏเป็นกระแสข่าวอย่างช่วงแรก กระนั้น สงครามไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกเพิกเฉย เจมส์สะท้อนความคิดนี้ผ่านรูปที่ถ่ายไว้ในปี 2022 ณ เมืองคาร์คิฟ ประเทศยูเครน ขณะที่กองกำลังรัสเซียยิงจรวดโจมตีเขตพลเรือน ชายคนหนึ่งรีบขนสัมภาระเท่าที่ขนได้ใส่จักรยานเพื่อหนีตาย

เจมส์ลงพื้นที่ในเมืองคาร์คิฟและบูชาเพื่อบันทึกภาพให้ The New Yorker

“มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก ความอยุติธรรม ความทุกข์ทรมาน การรุกราน ความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ไปจนถึงการละเลยเมินเฉย ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ควรหยิบยกมาพูดถึงและทำให้สังคมสนใจ

“มหาชนและผู้มีอำนาจควรได้รับข้อมูลเหล่านี้ เพื่อตระหนักถึงปัญหาและกระตุ้นให้ใครสักคนลงมือทำสิ่งที่ถูกต้อง หยุดการรุกราน ทำให้คนที่ถูกละเลยมีตัวตน ผมคิดว่านี่คืองานที่พวกเราทำ นี่คือความสำคัญขั้นพื้นฐานของสื่อมวลชน” เจมส์บอก

“ที่นี่เหมือนโรงเชือด” เขาเล่าต่อ

ทหารรัสเซียคร่าชีวิตชาวยูเครนมากมาย เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือการถอยทัพกลับ เหลือไว้เพียงร่างของผู้เสียชีวิตที่ถูกนำมารวมไว้ที่สุสานประจำเมืองบูชาเพื่อหาทางระบุตัวตน ถุงใส่ร่างถูกเปิดและปิดอยู่อย่างนั้น โดยหวังเพียงว่าการเปิดแต่ละครั้งจะได้พบหน้าคนที่สงครามพรากไป

หลากหลายความรู้สึกแผ่ซ่านและจมลึกเข้าไปในจิตใจของผู้พบเห็น น้ำตาอาจซึมออกมาทั้งที่บุคคลดังกล่าวไม่ใช่เครือญาติหรือคนรู้จัก ไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกใด ๆ เอาไว้ หากเกิดอะไรบางอย่างขึ้นภายในจิตใจของคุณ นั่นแปลว่าภาพของเจมส์เริ่มทำงานแล้ว

“รูปเหล่านี้ช่วยเชื่อมโยงผู้คน คุณไม่ได้อ่าน แต่คุณเห็น เห็นทั้งแววตา ท่าทางของพวกเขา ผมคิดว่าสิ่งที่มนุษย์ตอบสนองได้เร็วที่สุดไม่ใช่ตัวหนังสือแต่เป็นภาพ หากแม่ทั้งหลายเห็นเด็กน้อยกำลังทุกข์ทรมาน พวกเขาจะสื่อถึงกันทันที แม่จะเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กเหล่านั้นและพยายามหาคำตอบ” เขาบอกว่าความพิเศษและจุดแข็งของรูปถ่าย คือการสื่อสารที่รวดเร็วและเป็นธรรมชาติ

เจมส์ยังคงแน่วแน่ในสายอาชีพ เขาไม่มีวี่แววจะเกษียณหรือออกจากวงการ นับตั้งแต่ตัดสินใจเรียนรู้การถ่ายภาพด้วยตัวเองเมื่อครั้งเรียนด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและรัฐศาสตร์ที่ Dartmouth College โดยภาพของ แลร์รี เบอร์โรวส์ (Larry Burrows) ช่างภาพในสงครามเวียดนาม คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เจมส์เห็นถึงพลังของการบอกเล่าเรื่องราว แลร์รีนำเสนอความจริงของสงครามในหลากหลายมุม เจมส์ในวัยหนุ่มจึงค้นพบว่า วิธีการนี้ทั้งสื่อสารได้เร็วและแฝงไปด้วยความหมาย

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับยูเครนคืออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ เราจึงควรสนับสนุนยูเครนเท่าที่ทำได้” เขาทิ้งท้ายสำหรับสงครามที่ทั่วโลกไม่อาจเมินเฉยได้อีกต่อไป

ภาพถ่ายในปี 1996 จากย่านการค้ากลางเมืองคาบูล สู่ซากความทรงจำที่ปัจจุบันมีสภาพไม่ต่างจากพื้นผิวดวงจันทร์

“แต่ไหนแต่ไรมา เรามีนักคิดผู้เก่งกาจ มีนักปราชญ์ ผู้นำศาสนา และผู้นำทางการเมือง แต่ไม่มีใครที่สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นจริงบนโลกได้ ยังมีคนที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ผมเลยไม่คิดว่ารูปถ่ายหรืองานสื่อสารมวลชนจะสร้างสันติภาพได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่พวกเราทำคือการสะท้อนให้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า”

เจมส์ไม่คิดว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นทันทีบนโลกที่แทบไม่รู้จักสันติภาพที่แท้จริงด้วยซ้ำ แต่เขาเชื่อว่าข้อมูลและความจริงที่ส่งออกมาจะเปลี่ยนความคิดของมหาชนเกี่ยวกับสงครามนั้นได้ กระแสโลกอาจเปลี่ยนไป เพราะเสียงของทุกคนส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง

เขาเล่าต่อว่าสงครามคือประสบการณ์อันทรงพลังและสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ ชนิดที่หลายคนจินตนาการไม่ถึง สงครามเปลี่ยนคน แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่ใช่ว่าสงครามเปลี่ยนตัวเขาไปอย่างไร เพราะการได้เห็นความงดงามเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้ง คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เห็นว่าโลกใบนี้ยังมีความหวัง

“บางคนอาจมองว่าสงครามทำร้ายพวกเขา แต่มันให้ผลตรงข้ามสำหรับตัวผม ผมคิดว่ามันขยายความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สิ่งที่ทำให้สภาพจิตใจของผมมั่นคงและยังตั้งใจทำหน้าที่นี้อยู่ เพราะผมและเพื่อน ๆ รู้ดีว่างานนี้สำคัญขนาดไหน”

นี่คือรูปที่ถ่ายในปี 2004 ท่ามกลางความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บในซูดาน ผู้คนถูกบังคับให้ออกจากบ้านและกระจายตัวไปยังแคมป์ต่าง ๆ แม่คนหนึ่งปลอบลูกชายที่เข้ารับการรักษาในศูนย์การแพทย์ ซึ่งจัดตั้งโดยองค์การแพทย์ไร้พรมแดน Médecins Sans Frontières 

จากความใกล้ชิดที่เจมส์เข้าไปอยู่แทบทุกช่วงเวลา เราถามเขาว่าได้คุยกับคนในพื้นที่บ้างไหม

“ผมพูดภาษาของพวกเขาไม่ได้ แต่เมื่อไปอยู่ในสงคราม บางครั้งผมก็คุย บางครั้งก็ไม่ บางทีพวกเขาไม่ได้อยากสนทนากับคุณเท่าไหร่ เพราะกำลังยุ่งกับงานของเขาเอง”

แล้วถ้าได้คุย คุณจะคุยเรื่องอะไร – เราถามต่อ

“พวกเขาคือคนชายขอบ ไม่มีอำนาจ ถูกทำให้ไร้ตัวตน เสียงของพวกเขาส่งไปไม่ถึงไหน ผมเลยเป็นเหมือนคนส่งสารแทน ที่นี่เต็มไปด้วยเหยื่อของความอยุติธรรม พวกเขาอยากให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนถึงขั้นเสี่ยงตายเพื่อเล่า

“เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้เป็นผู้ฟัง ผมจะฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่หน้าที่ของผมคือการถ่ายทอดผ่านภาพ ดังนั้น ผมเลยตั้งสมาธิกับการกดชัตเตอร์ที่สุด”

สำหรับคนตัวเล็กที่เสียงไม่ดังหรือบางครั้งไม่มีอะไรเล็ดลอดจากปาก แม้แต่แผลเป็นบนใบหน้าก็เล่าเรื่องราวได้มากมาย ความหวาดกลัวและความหวังซ่อนอยู่ในดวงตาที่จับจ้องมายังอุปกรณ์ในมือของผู้มาเยือน

ระหว่างการประท้วงในปี 2000 ผู้ชุมนุมชาวปาเลสไตน์เริ่มขว้างปาก้อนหินและระเบิดขวดใส่ทหารอิสราเอลที่ติดอาวุธครบมือ อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยการยิงปืนกระสุนจริงและกระสุนเหล็กกล้าเคลือบยาง ซึ่งทำให้บาดเจ็บร้ายแรงและอาจถึงขั้นเสียชีวิต

“รู้ไหมว่าพวกเขาปายังไงก็ไม่ถึง” เจมส์พาเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์

“ทหารอิสราเอลอยู่ห่างไปอีกไกลมาก ไม่มีทางที่ระเบิดขวดอัดแน่นด้วยแก๊สโซลีนพวกนี้จะโยนไปถึง แต่นั่นคือวิธีเดียวที่พวกเขาจะแสดงออกถึงการต่อต้าน เป็นสัญลักษณ์ของความโกรธและการประท้วงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น”

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน
James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

ท่ามกลางเหตุความรุนแรงที่อาจถึงตาย เราถามผู้มากประสบการณ์ว่าเขาเตรียมตัวอย่างไร

“ไม่รู้สิ ผมคิดว่าตัวเองทำงานนี้มานานมาก ได้รับการฝึกฝนให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ รู้ว่าต้องเคลื่อนไหวยังไง ต้องทำอะไรให้ถูกที่ ถูกเวลา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถูกนะ” เขาเว้นช่วง “หวังว่าอย่างนั้น (ยิ้ม)”

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

ปี 1993 เจมส์อยู่ในการรบชิงเมืองมอสตาร์ นี่คือการต่อสู้ระหว่างบ้านใกล้เรือนเคียงเมื่อกองกำลังติดอาวุธชาวโครเอเชียเข้ายึดอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง พร้อมขับไล่ผู้อยู่อาศัยชาวมุสลิมออกไป

บ้านหลังหนึ่งหันกระบอกปืนหาบ้านอีกหลัง แม้จะอยู่ด้วยกันมาหลายชั่วอายุคนก็ยังหันกระบอกปืนหากันได้ ในรูปนี้ ห้องนอนอันเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนกลับกลายเป็นสนามรบขนาดไม่กี่ตารางเมตร

แค่พูดว่าสงคราม ก็คงไม่ต้องถามต่อแล้วว่าชีวิตของชายคนนี้เจอมาหนักขนาดไหน

กระสุนแหวกอากาศพุ่งผ่านศีรษะไประหว่างสงครามแอฟริกาใต้ในปี 1994 เขายังจำความรู้สึกของเส้นผมที่ปะทะแรงกระสุนได้ดี เพื่อนของเขาคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต และอีก 2 คนบาดเจ็บ

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน
James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

เจมส์ยังเคยถูกยิงเข้าที่ขา ขณะปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม กปปส. ในประเทศไทยเมื่อปี 2014 เฉียดตายมาหลายหนจนไม่ต้องนับ อยู่ทั้งในสงครามและเหตุการณ์ภัยพิบัติ เคยบาดเจ็บจากระเบิดที่เอลซัลวาดอร์และอิรัก มีกระสุนฝังอยู่ตามร่างกาย และโสตประสาทได้รับความเสียหาย

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่มีใครเดาออก ผมไม่ได้ไปยืนตรงนั้นเพราะอยากได้ภาพ มันคือหน้าที่ของสื่อมวลชน ผมเสี่ยงตาย ตั้งใจอุทิศชีวิต แต่เพราะตัดสินใจแล้วว่าต้องทำงานนี้ต่อไปไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น”

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

เจมส์เริ่มงานกับ Albuquerque Journal เป็นแห่งแรกในฐานะช่างภาพหนังสือพิมพ์เมื่อปี 1976 ใช้เวลาฝึกฝนฝีมือหลายปีจนได้ลงสนามเพื่อบันทึกเหตุการณ์ความขัดแย้งในต่างประเทศครั้งแรกเมื่อปี 1981 เขาตีตั๋วไปยังเมืองเบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือ พาตัวเองไปยืนท่ามกลางการต่อสู้ที่ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีก็ถือเป็นประวัติศาสตร์ 

แน่นอน เจมส์ในวัยหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า

และในปี 1984 เขาก็ถ่ายรูปเด็ก 3 คนนี้เอาไว้ ทหารลาดตระเวนเอลซัลวาดอร์ถูกซุ่มโจมตีโดยพลรบกองโจร เมื่อนำส่งทหารบาดเจ็บมาถึงสนามฟุตบอลหมู่บ้าน เด็กหญิง 3 คนในชุดฉลองประจำวันนักบุญออกมาจากโบสถ์ เพื่อดูกองทหารอพยพออกจากพื้นที่ทางเฮลิคอปเตอร์

“ดูไปรูปนี้กลับค่อนข้างน่าขัน เพราะมีความละเอียดอ่อนและความงดงามอยู่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้” เขาว่า

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน
James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน
James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

ปี 2016 ทางการประกาศปิดพรมแดนระหว่างกรีซกับมาซิโดเนีย ผู้อพยพจึงต้องรอนานหลายสัปดาห์ภายในค่ายอพยพที่เต็มไปด้วยโคลน ท่ามกลางฝนตกและอากาศหนาว ผู้อพยพบางคนพยายามมองหาเส้นทางอื่น เช่น ช่องโหว่ตามแนวป่า จนมาถึงจุดที่ต้องเดินข้ามแม่น้ำเย็นยะเยือกที่ละลายจากหิมะบนยอดเขา พ่อคนนี้อุ้มลูกเอาไว้และเดินหน้าต่อไปอย่างมีความหวัง

อย่างที่เจมส์เล่าไปตอนต้น ภายใต้ความโหดร้าย ความรักและความเมตตายังปรากฏ

ทุกภาพเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจของเจมส์ หลายครั้งเขาโมโหสิ่งที่เห็นตรงหน้า ฉากผู้คนหนีตาย คนบริสุทธิ์โดนทำร้ายฉายซ้ำในทุกสนามรบ หลายเหตุการณ์ทำให้เขารู้สึกหดหู่ แต่ด้วยประสบการณ์และความเจนสนาม เขาและเพื่อน ๆ จึงค้นพบเป้าหมายของการทำงานในแนวหน้า

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน
James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

“ผมดึงสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ออกมา” เขาเว้นจังหวะ

“ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความรู้สึกอันแรงกล้าของคนที่อยู่หลังกล้อง ผมและเพื่อนอุทิศตัวเพื่อให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อความเปลี่ยนแปลง เราเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะเชื่อในสิ่งนั้นจริง ๆ ไม่มีรูปไหนถ่ายมาโดยไร้ความรู้สึก เราไม่ได้กดชัตเตอร์อย่างบ้าคลั่ง มันจึงเต็มไปด้วยความปรารถนาและแรงผลักดันอันเต็มเปี่ยม” 

เจมส์มองเราด้วยแววตามุ่งมั่น นี่คือชายวัย 75 ปีที่อุดมการณ์ไม่เคยสั่นคลอน

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

ปี 2001 ขณะที่เจมส์กำลังเริ่มเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 อาคารฝั่งใต้ของตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ก็ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา เขายังคงลั่นชัตเตอร์บันทึกประวัติศาสตร์ต่อไปโดยไม่ละสายตาจากช่องมองภาพ

“การมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเลนส์เป็นความท้าทายอย่างมาก ความบังเอิญอาจเกิดขึ้นได้ แต่พวกเราไม่ทำงานบนความบังเอิญ

“เรารู้ว่ากำลังดูอะไร ทำอะไร เราใช้ฝีมือเพื่อให้ภาพเป็นไปตามความตั้งใจในการสื่อสาร การจัดองค์ประกอบทุกอย่างต้องมีความหมาย”

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน

เจมส์ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เขาบันทึกเอาไว้ไม่ควรถูกลืม แต่สิ่งสำคัญกว่า คือการไม่ทำให้เกิดขึ้นซ้ำ

ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งจาก 126 ภาพที่นำมาโชว์ในงานนิทรรศการ James Nachtwey: Memoria หากใครอยากร่วมเป็นพยานผ่านภาพถ่าย รับรู้ความเป็นมาและสิ่งที่กำลังเป็นไปของโลก เราขอชวนคุณเดินหน้าไปพร้อมกับเจมส์ เพื่อสร้างการรับรู้สู่สันติภาพที่รอคอยการแบ่งบานในอนาคต

James Nachtwey ช่างภาพสงครามวัย 75 ผู้เสี่ยงชีวิตเก็บภาพเหตุการณ์ 9/11 และสงครามยูเครน
“เราเสี่ยงอันตรายในแนวหน้าของสงคราม ไม่ใช่เพื่อภาพ แต่เพื่อการรับรู้ของมวลชน”

Writer

วโรดม เตชศรีสุธี

วโรดม เตชศรีสุธี

นักจิบชามะนาวจากเมืองสรอง งานประจำเป็นนักฟัง งานพาร์ทไทม์เป็นนักเขียน งานอดิเรกเป็นนักเล่า

Photographers

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล

Avatar

ณัฐวุฒิ เตจา

เกิดและโตที่ภาคอีสาน เรียนจบจากสาขาศิลปะการถ่ายภาพ สนใจเรื่องราวธรรมดาแต่ยั่งยืน ตอนนี้ถ่ายภาพเพื่อเข้าใจตนเอง ในอนาคตอยากทำเพื่อเข้าใจคนอื่นบ้าง