M.V. Nautilus Explorer พาเรามาจอดลอยลำในบริเวณข้างเกาะ Islas San Benito ซึ่งเป็นเกาะแห่งหนึ่งบริเวณนอกชายฝั่ง Baja California ในเขตประเทศเม็กซิโก เมื่อมองลงไปที่ผิวน้ำ เรามองเห็นส่วนยอดของผืนป่าสาหร่ายที่จับกลุ่มรวมกันคล้ายแพขนาดใหญ่ เหมือนสนามฟุตบอลหรือสนามหญ้าสีน้ำตาลผืนยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
หลังจากวนเวียนสำรวจพื้นที่ไม่นานนัก กัปตันก็สั่งให้ทิ้งสมอบริเวณขอบทางด้านนอกสุดของแพสาหร่ายที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าตรงกลาง แล้วปล่อยให้สายสมอนำเรือมาลอยลำอยู่บริเวณขอบด้านนอกสุดของแพสาหร่าย ซึ่งมีพื้นที่พอให้เราโดดลงไปในน้ำจากทางด้านท้ายเรือได้
ผมแต่งตัวเต็มยศในชุด Wetsuit แบบ Farmer John ที่มีความหนา 5 มิลลิเมตร แล้วสวมทับอีกชั้นหนึ่งด้วยเสื้อแจ็กเกตที่หนาอีก 5 มิลลิเมตร เพื่อนร่วมทริปชาวอเมริกันที่เดินทางมาด้วยบอกกับเราว่า นี่คุณโชคดีนะที่มาดำน้ำกันในหน้าร้อน อุณหภูมิของน้ำอยู่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส เพราะถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว ชุดนี้คงไม่อยู่ ผมหันไปดูในขณะที่เขาหยิบ Wetsuit 7 มิลลิเมตรขึ้นมาใส่ และเพื่อนร่วมทริปอีกหลาย ๆ คนหยิบ Drysuit ที่ไม่ให้น้ำที่หนาวเย็นแทรกซึมเข้าไปสู่ร่างกายได้ขึ้นมาใส่แทนที่ Wetsuit
เมื่อโดดลงไปใต้ผืนน้ำ ภาพแรกที่เราเห็นคือแพสาหร่ายที่จับตัวกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ในบริเวณผิวน้ำ ทอดตัวยาวลงไปในความลึกที่มองแทบไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง เราไต่ดิ่งลงไปตามเส้นสายสู่ความลึกเบื้องล่าง
เมื่อลงไปอยู่ด้านใต้ของผืนป่าแห่งนั้นและมองย้อนกลับขึ้นไปที่ผิวน้ำ เราถึงจะมองเห็นภาพอันน่าอัศจรรย์ของลำต้น Giant Kelp ที่ตั้งตระหง่านจากพื้นเบื้องล่างสูงชันขึ้นไปสู่ผิวน้ำเบื้องบน เรากำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางป่าดึกดำบรรพ์ที่รกทึบและหนาแน่นของสาหร่ายยักษ์ แต่ละต้นสูงราวกับต้นไม้ยืนต้นในป่าใหญ่ กิ่งก้านสาขาของมันแผ่ไปคลุมจนแสงอาทิตย์จากเบื้องบนแทบจะส่องลงมาไม่ถึงพื้นเบื้องล่าง
ใต้ร่มเงาอันมืดทึบของป่า Giant Kelp เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลานานาพันธุ์ที่เราผู้มาจากน่านน้ำเขตร้อนในแนวปะการังไม่คุ้นตา ทั้งปลาตัวโตอย่าง Calico Bass หรือบางทีก็เรียกว่า Kelp Bass ว่ายวนกันเป็นฝูงใหญ่ ๆ ใต้ร่มเงาของ Kelp หรือปลาที่พรางตัวนอนหลบอยู่ใต้ใบ Kelp อย่าง Kelp Rockfish ปลาที่มีสีส้มสดสวยงามโดดเด่นอย่าง Garibaldi หรือบางครั้งเรียกว่า Catalina Goldfish พบมากในแถบนี้ รวมถึงในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งยกให้เป็นสัญลักษณ์ของมลรัฐ
อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจนักว่าจะใช้คำว่าป่ากับ Giant Kelp (Macrocystis pyrifera) ได้หรือไม่ เพราะว่าแท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่ระบบนิเวศของพืชพรรณที่หลากหลาย อันเป็นส่วนประกอบของป่าบนผืนโลกอย่างที่เราคุ้นเคย ในการจัดลำดับทางวิทยาศาสตร์นั้น ไม่จัดว่า Giant Kelp เป็นพืช และแน่นอนที่สุดว่ามันไม่ใช่สัตว์ แต่จัดอยู่ในอาณาจักรโพรทิสตา ซึ่งเป็น 1 ใน 5 อาณาจักรของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ประกอบไปด้วยพืช สัตว์ เห็ดรา มอเนอรา (พวกแบคทีเรีย) และโพรทิสตา (โปโตรซัว สาหร่ายสีน้ำตาล)
Giant Kelp (Macrocystis pyrifera) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรนี้ เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงมากถึง 50 เมตร และยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก มีอัตราการเจริญเติบโตโดยเฉลี่ยถึง 11 นิ้วต่อวัน และอาจเติบโตได้ถึง 2 ฟุตต่อวันได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
Giant Kelp ไม่มีราก แต่มีส่วนที่เรียกว่า Holdfast ทำหน้าที่คล้ายกับสมอยึดโครงสร้างของมันไว้กับกองหินใต้น้ำ และชูยอดขึ้นหาแสงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานในการสังเคราะห์ด้วยแสงเช่นเดียวกันกับพืช ในบริเวณส่วนปลายยอดมีอวัยวะที่เป็นเสมือนทุ่นลอยหรือ Bladder อันเล็ก ๆ มากมาย ช่วยพยุงลำต้นให้ตั้งชันขึ้นไปเป็นลำต้นตรงขึ้นไปจนถึงผิวน้ำ และเมื่อถึงผิวน้ำ มันจะเติบโตต่อไปในแนวนอน เมื่อส่วนยอดของ Giant Kelp ที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากความลึกมาเจอกันในบริเวณผิวน้ำ มันจะมาเกาะรวมกันคล้าย ๆ แพของสาหร่ายที่ลอยอยู่ในบริเวณเหนือผิวน้ำ
Kelp Forest เป็นระบบนิเวศที่พบได้ในน่านน้ำเขตอบอุ่น เช่นเดียวกับแนวปะการังที่เปรียบเสมือนเมืองขนาดใหญ่หรือมหานครสำหรับสิ่งมีชีวิตในน่านน้ำเขตร้อน สัตว์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ในป่าเคลป์แห่งนี้ทั้งภายใต้ร่มเงาที่ช่วยปกปักคุ้มภัยให้ปลานานาชนิด
นอกจากนี้ แมวน้ำอย่าง Harbour Seal หรือ สิงโตทะเล (Sea Lion) ก็จะวนเวียนหากินอยู่ในบริเวณแนวนอกของป่าเคลป์ในบริเวณใกล้ชายฝั่งหรือเกาะแก่งกลางทะเล และว่ายเวียนเข้ามาจับปลาที่เข้ามาหลบอยู่ใต้ร่มเงาของป่าเคลป์เพื่อเป็นอาหาร ก่อนจะขึ้นกลับไปนอนตากแดดริมหาด
ในขณะที่นากทะเล (Sea Otter) มักจะนอนหลับอยู่บนผิวน้ำในบริเวณที่เป็นแพของเคลป์ในบริเวณผิวน้ำ โดยใช้ขาพันเกี่ยวกับใบของ Kelp ไว้ เพื่อไม่ให้คลื่นลมซัดพวกมันลอยออกไปกลางทะเล และพวกมันจะคอยดำน้ำลงไปจับกินเม่นทะเลที่มีอยู่มากมายเป็นอาหาร เพื่อควบคุมปริมาณของเม่นทะเลที่คอยมากัดกิน Kelp ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของมัน เพื่อให้อยู่ในสภาวะสมดุลกันเช่นเดียวกันกับระบบนิเวศอื่น ๆ บนโลกใบนี้