เดินเข้าซอยเจริญกรุง 14 มานิดหนึ่งจะเจอร้านไอศครีมเล็กๆ ตั้งอยู่ติดกับร้านอาหารเจ ถึงจะเป็นร้านไอศครีมแต่ก็ยังไม่หลุดจากความจีนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นนัก สังเกตเห็นได้ง่ายจากหน้าร้านเท่ๆ อารมณ์คาเฟ่สักที่ในฮ่องกง สีดำขรึม มีหลอดไฟดัดเป็นตัวอักษรจีนเล็กๆ สองตัว อ่านว่า จิง จิง
จิง จิง เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า จริง ปู-ชุตินาถ ทัศนานุพันธ์ เจ้าของร้าน เป็นคนบอกความหมายของร้านให้ผมฟัง
ในร้านเปิดเพลงจีนคลอเข้ากันกับบรรยากาศ แต่ปูบอกว่า ปกติที่ร้านไม่ได้เปิดเพลงจีนหรอก วันนี้เป็นวันพระจีนเลยเปิดเพลงจีนเสียหน่อย บรรยากาศร้านน่ารักมากครับ ตกแต่งแนวโมเดิร์นไชนีส ชั้นล่างเป็นบาร์กาแฟ ครัวแบบเปิด และตู้ไอศครีม ส่วนชั้นสองตกแต่งด้วยโต๊ะไม้และหินอ่อน ติดกระจกทรงกลมบนผนังทั้งสองด้านทำให้ร้านดูมีมิติ ติดโคมไฟสร้างบรรยากาศให้ดูมีความจีนเข้ากับย่านเยาวราช
ปูเป็นคนที่อยู่แถวชุมชนชาวจีนนี้มาตั้งแต่เด็ก คุ้นเคยกับคนแถวๆ นี้ดี สังเกตได้จากคนที่แวะเวียนมากินไอศครีมของเธอไม่ใช่คนที่มาจากที่อื่นไกลๆ เป็นคนที่เหมือนเดินมาจากบ้านใกล้ๆ มายืนสั่งกาแฟ ยืนจิ้มเลือกรสไอศครีมกินกัน บางทีลูกค้าจากร้านอาหารเจข้างหน้ากินอิ่มแล้วก็ยังมานั่งกินไอศครีมต่อ ปูเลยทำไอศครีมเพื่อให้คนที่มาทานอาหารเจได้เลือกทานได้ด้วย
ผมเองจะกินไอศครีมรสเดิมๆ วนอยู่แค่ไม่กี่รส แต่ถ้าหากร้านไหนมีไอศครีมรสแปลกๆ ที่ต่างออกไปแบบที่หาทานที่อื่นไม่ได้ ผมก็จะลองรสนั้น ในตู้แช่ไอศครีมมีไอศครีมที่ผมคิดว่าน่าสนใจอยู่ ไม่บ่อยมากที่เราจะเห็นไอศครีมผสมแอลกอฮอล์
ผมยืนเลือกไอศครีมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เลือก Gin Tonic Sobet กับ Kahlua Peanut Butter มาลอง
ผมเคยลองทานไอศครีมที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์มาบ้าง แต่มักเป็นไอศครีมที่มีส่วนผสมของนม ทำให้รสของแอลกอฮอล์ถูกนมกลบไปจนไม่ค่อยชัด พอลองแบบซอเบต์ทำให้รู้สึกว่าคล้ายๆ ทานจินโทนิกแบบเป็นเกล็ดน้ำแข็ง สดชื่นนะครับ แต่เจ้าของร้านที่นี่มือหนักใช้ได้ ผมเป็นคนที่ไวกับแอลกอฮอล์มาก ตักทานไปยังไม่ทันหมดหน้าผมก็เริ่มรู้สึกร้อนๆ แล้ว
แต่ผิดกับ Kahlua Peanut Butter ที่รสของ Peanut Butter จะชัดเจนกว่าเหล้า Kahlua แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารสชาติอ่อนแล้วฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะอ่อนตามลงไป กินหมด 2 สกู๊ป ผมต้องนั่งพักสักแป๊บหนึ่งเหมือนกัน (ถ้าออกไปเจอด่านตรวจแล้วถูกจับเพราะกินไอศครีมมาก็คงประหลาดดี)
ปูบอกผมว่าไอศครีมของร้านจิง จิง มีชื่อรสไอศครีมเหมือนกับหลายที่ แต่รสชาติจะแตกต่างออกไปแน่นอน เพราะรสของไอศครีมคือรสที่เธออยากทานเอง ปูไม่กล้าเรียกไอศครีมของเธอเองว่าเป็นสูตรแบบเจลาโต เพราะปูเลือกที่จะตัดส่วนผสมบางชนิดอย่างพวกนมผงหรือหางนมออก เพราะปูรู้สึกว่าส่วนผสมหลายอย่างจะทำให้รู้สึกเหนียวคอเวลากิน
คอนเซปต์ของร้านนี้คือความจริง ตามความหมายเดียวกับชื่อร้าน ปูบอกว่า อยากให้ส่วนผสมทุกอย่างในร้านเป็นจริงให้หมด ผมก็เพิ่งสังเกตว่าร้านนี้ไม่มีขวดน้ำเชื่อมกลิ่นต่างๆ วางไว้เหมือนคาเฟ่หลายร้าน เพราะปูเลือกที่จะทำทุกอย่างขึ้นมาจากวัตถุดิบจริง ไม่ใส่สี ใส่กลิ่น เพื่อปรุงแต่ง
จิง จิง เป็นคาเฟ่ด้วยนะครับ ปูเป็นนักชิมกาแฟที่ชอบไปชิมกาแฟตามคาเฟ่ต่างๆ คนหนึ่งเลย ผมคุยเรื่องกาแฟกับปูจนเห็นว่าปูเลือกเมล็ดกาแฟ รวมถึงอุปกรณ์ที่เอามาใช้ในร้านอย่างมีเหตุผล เมนูกาแฟอย่าง ไทยจิงจิงลาเต้ หรือกาแฟที่ใส่น้ำตาลมะพร้าวผสมกับนมสด กับเอสเพรสโซ่น้ำมะพร้าว เป็นเมนูที่น่าสนใจ หรือ Piccolo x Pistachio กาแฟนมผสมเหล้าสกัดจากถั่วพิสตาชิโอก็ถือเป็นเมนูพิเศษที่หาทานที่ไหนไม่ได้นะครับ
เห็นเมนูแล้วผมคิดว่าปูเป็นคนที่ชอบทดลอง ไอศครีมที่คิดขึ้นในร้านก็คิดขึ้นจากว่าตัวเองอยากกินรสแบบไหนก็ทดลองและทำขึ้นเลย ที่ร้านเลยจะมีรสชาติไอศครีมที่หมุนเวียนอยู่ตลอด ผมเห็นความเป็นคนชอบทดลองของปูได้จากขวดโหลจำนวนหนึ่งที่ปูหมักวัตถุดิบเอาไว้กับเหล้า ฉลากบนโหลแต่ละโหลบอกส่วนประกอบที่มีทั้งขิง ข่า เปลือกส้ม บ๊วยแห้ง โป๊ยกั้ก หรือแม้แต่เก๊กฮวยกับหล่อฮั้งก้วย ที่ล้วนเป็นการนำของที่หาได้จากชุมชนที่เธออยู่ ปูบอกว่า ในอนาคตสิ่งเหล่านี้อาจกลายไปเป็นรสชาติของไอศครีมในร้านของเธอ
น่าสนใจนะครับ น่าจะเป็นร้านไอศครีมที่สะท้อนความเป็นชุมชนชาวจีนได้อย่างดีเชียว