พก-ประธานวงศ์ และ เอ็ม-ประธานพร พรประภา ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจเรเว่ (RÊVER Group) คือตัวอย่างคู่พี่น้องที่ทำงานอย่างเข้าขาและเติมเต็มช่องว่างของกันและกัน เนรมิตธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ‘BYD’ ให้เกิดขึ้นได้ภายใน 6 เดือน และเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการยานยนต์ไทยด้วยวิธีคิดสดใหม่และเร็วกว่าใครเพื่อน 

เป้าหมายอันสำคัญของโลกธุรกิจที่มีร่วมกัน คือการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่วิกฤตมากขึ้นทุกที ทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างมุ่งสู่วิถีของการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แต่ละประเทศประกาศออกไป จึงเกิดการปฏิรูปขนานใหญ่ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการบริโภคในขั้นท้ายสุด

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีคือหนึ่งในตัวเปลี่ยนเกมสำคัญของการสัญจรโลก เนื่องจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในเดิมที่ใช้กันอยู่ทุกครัวเรือนนั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างมลพิษและสูบกินพลังงานฟอสซิลมากเกินกว่าที่โลกจะรับได้อีกต่อไปแล้ว การขยายตัวของผู้ใช้งานอีวีจึงค่อย ๆ เข้าไปแทนที่รถยนต์รูปแบบเดิม และเป็นความหวังจะช่วยลดคาร์บอนที่ปล่อยสู่ท้องถนนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

หนึ่งในแบรนด์อีวีที่โดดเด่น ขยายตลาดได้เร็วจนน่าทึ่ง ชนิดที่ยักษ์ใหญ่ยานยนต์จากโลกตะวันตกและญี่ปุ่นต้องหันมาดูด้วยความหวาดหวั่นและจับจ้องไม่ให้คลาดสายตาคือ BYD จากประเทศจีน ที่เพิ่งทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า 2 ล้านคันในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) ให้ข้อมูลว่าตัวเลขนี้เติบโตกว่า 57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และโตเกือบ 14% จากเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 และ BYD ก็ยังรั้งตำแหน่งยอดขายอีวีอันดับ 1 ของโลกมาได้จนถึงปัจจุบัน

มาแรงไม่มีแผ่วและรวดเร็วจนคู่แข่งรับมือได้ยาก

เรื่องเล่าของ BYD ในประเทศไทยก็น่าสนใจไม่แพ้จุดอื่นของโลก โดยเริ่มต้นจากการบุกตลาดที่เข้มข้นตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว มีรถพร้อมส่งมอบให้แทบจะทันที รวมทั้งการขยายตัวแทนจำหน่ายแตะ 100 จุดทั่วประเทศในระยะเวลาอันสั้น จนทุกวันนี้มีรถของ BYD วิ่งอยู่ในทุกจังหวัดแล้ว ซึ่งการเจาะตลาดที่รวดเร็วเกินจินตนาการนี้ ต้องอาศัยทีมที่ดี ทำงานหนัก เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน และที่ขาดไม่ได้คือผู้นำที่สนุกกับการวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด

ซึ่งคอลัมน์กัปตันของทีมตอนนี้มาเป็นคู่พี่น้องที่เข้าขากันดี

พก-ประธานวงศ์ และ เอ็ม-ประธานพร พรประภา ของกลุ่มธุรกิจเรเว่ มี บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด เป็นอาวุธสำคัญในการสร้างธุรกิจของ BYD ในประเทศไทย นั่งคุยกับ The Cloud เล่าจุดเริ่มต้นของธุรกิจ เป้าหมายสำคัญของพวกเขาทั้ง 2 คน ไปจนถึงความสัมพันธ์ของพี่ชายน้องสาวได้อย่างน่าสนใจผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ 

เป็นกัปตันทีมทั้งคู่ แล้วแยกกันทำงานอย่างไร

พก : จริง ๆ แล้วเรามีจุดแข็งกันคนละด้าน ช่วงแรก ๆ ไปไหนเป็นแพ็กคู่ แต่หลัง ๆ ก็ต้องแยกกันไปทำงาน 

เอ็ม : ทางทีมแซวว่าเหมือนเป็นคนคนเดียว แต่ทำงานเป็น 2 คนค่ะ คือพื้นฐานเราต่างกัน อย่างของเอ็มมาจากฝั่งลงทุนและพลังงานสะอาด ช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมาสนใจเรื่องพลังงานสะอาดมาก จึงรู้จักแบรนด์ BYD มาตลอด และพี่พกก็คุยกับเขามาหลายปีแล้วด้วย

พก : ตอนนั้นพยายามเข้าไปคุยด้วย แต่บริษัทเขาใหญ่ คนสนใจไปคุยด้วยเยอะ จนเราเจอบริษัทหนึ่งที่ทำด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ของ BYD เลยได้เข้าไปคุยกัน เราก็ซื้อหุ้นธุรกิจของเขามา แล้วต่อยอดไปคุยกับ BYD ว่าเราอยากทำธุรกิจด้วย ใช้เวลาหลายปีเหมือนกันครับ พอเริ่มคุยเป็นเรื่องเป็นราวผมก็วิ่งไปหาเอ็ม (หัวเราะ) บอกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่นะ มาช่วยกันทำดีกว่า ทุกอย่างเร็วมาก พอมันชัดว่าจะมาทางเราและทำด้วยกัน เราก็ตั้งทีมขึ้นมาก่อนขายจริงครึ่งปีเองครับ คือความเร็วของธุรกิจจีนมีแค่ไหนเราก็ต้องวิ่งตามให้ได้ ทีมของเราเริ่มต้นแบบไฮสปีด จนตอนนี้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้วว่าเราทำอะไรเร็ว 

เอ็ม : ตอนแรกบริษัทมีพนักงานแค่ 2 คนคือพวกเรา แต่ตอนนี้ขยายไป 100 กว่าคนแล้วเฉพาะฝั่งยานยนต์ค่ะ

ทำไมถึงเลือกลุยธุรกิจใน พ.ศ. 2566

เอ็ม : ถ้ายังจำกันได้ ช่วงโควิด-19 ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องอุปทานของชิปที่ขาดตลาดและค่าน้ำเพิ่มสูงขึ้น ค่าก๊าซที่ยุโรปก็แพงขึ้นจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ เรา 2 คนก็มามองที่ตลาดรถอีวี เรามองไม่ค่อยเหมือนคนอื่นที่คิดว่าจะค่อย ๆ เติบโต แต่เรามองว่าปีที่แล้วเป็นเวลาที่ใช่ที่จะเติบโตแล้ว เราอยากทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่ช่วยให้ประเทศเราสะอาดขึ้้นจริง ๆ จึงเริ่มจากส่วนของยานยนต์ก่อน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครคิดเลยค่ะว่ารถไฟฟ้าจะไปได้เร็วขนาดนี้

มีเวลาแค่ 6 เดือน ทำอย่างไรถึงเตรียมตัวทัน

พก : ผมว่าเป็นเรื่องโชคด้วยนิดหนึ่งครับ เพราะพาร์ตเนอร์เราคือ BYD ทั้งกำลังการผลิตและชิ้นส่วนรถของเขาใหญ่มาก ก่อนหน้าทำอีวี เขาทำแบตเตอรี่มาก่อน แล้วก็มาทำยานยนต์ด้วย รวมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ และชิปด้วย ซึ่ง BYD เขาผลิตของได้เองทั้งหมด เราเห็นว่าเขามีศักยภาพมาก มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ตอนนั้นที่เราต้องเคลื่อนที่เร็วขนาดนั้นทั้งที่ผู้เล่นในตลาดยังมีไม่เยอะ แต่ต้องขายให้ได้ภายใน 6 เดือน จริง ๆ อยากให้เป็น 3 เดือนด้วยซ้ำ ถือว่าช่วงเริ่มต้นเราวิ่งไปได้เร็วมาก ๆ แล้ว ตอนปลายปีที่ผ่านมามีปัญหาชิปขาดแคลน ส่งมอบรถกันไม่ได้ มันก็พลาดโอกาส นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องเนรมิตมันขึ้นมาให้ได้ มีรถส่งมอบลูกค้าตามที่สัญญา เราเปิดเกือบ 30 โชว์รูมพร้อมกันหมดทีเดียว โดยตั้งใจว่าในเมื่อโชว์รูมเปิดแล้ว มีรถในนั้น ลูกค้าซื้อก็ขับออกไปได้เลย ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

เอ็ม : เราเริ่มขายโมเดล Atto ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งขายไปได้เร็วมากกว่า 5,000 คัน ภายในสิ้นปี เราเชื่อว่าความไว้วางใจเป็นเรื่องสำคัญมาก สินค้าที่มาจากจีนยังค่อนข้างใหม่ เราเลยใช้เวลาสื่อสารด้านแบรนด์ค่อนข้างเยอะ เราเองเชื่อมั่นในแบตเตอรี่ของ BYD ยังเคยพูดกันว่าถ้าไม่ใช่แบรนด์นี้เราคงไม่ทำ ซึ่งจุดแข็งพวกนี้เราใช้เวลากับมันค่อนข้างเยอะในการสื่อสารออกไป ซึ่งการที่มีรถพร้อมส่งมอบเลยก็กลายเป็นจุดขายของเราด้วยค่ะ

พก : สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากทาง BYD แน่นอนว่าคือเรื่องความเร็วครับ ตอนแรกคิดว่าเขาจะส่งรถมาให้เราได้จริงเหรอ แต่เขาก็ทำได้จริง ๆ เราคุยกันภายในว่าโยนความคิดเก่า ๆ ไปได้เลย ในเมื่อ BYD เขาทำได้เราก็ต้องทำได้ เขาเร็ว เราก็เร็ว จะมีฝั่งไหนช้าไม่ได้ ทีมของเราปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว อย่างปีที่ผ่านมาเราเปิดโชว์รูมใหม่ได้ถึง 100 สาขา และใน พ.ศ. 2567 นี้ก็อยากได้อีก 100 สาขา บอกก่อนเลยว่าตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ เราไม่ได้คิดเรื่องตัวเลขพวกนี้เลย มันเป็นแผน 3 ปีด้วยซ้ำ แต่พอเห็นธุรกิจไปได้ดีแบบนี้ เราก็พร้อมเร่งเครื่องไปด้วย นี่เปลี่ยนมา 2 – 3 รอบแล้วครับ 

สร้างทีมอย่างไรให้เขาเร็วตามเราได้

พก : ทีมของเราเป็นทีมใหม่ทั้งหมดเลยครับ เราสรรหาคนและสร้างวัฒนธรรมใหม่ ๆ ตั้งแต่วันแรก เลยทำให้ไปได้เร็ว ทีมของเราวิ่งเร็ว ผิดก็แก้ตรงนั้นเลย ผมเวลามีไอเดียอะไรก็จะถามทางทีมตลอดว่าคิดยังไง ถ้ามี 10 หัวมันดีกว่ามีหัวเดียวอยู่แล้ว ถึงจะเร็วแต่เราก็ดูศักยภาพของทุกคนด้วย เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะเราขายรถ ต้องให้บริการด้วย ถึงขายได้แต่บริการไม่ได้ ก็ไม่มีใครอยากมาใช้รถของเราหรอก 

เอ็ม : ที่นี่ไม่ตีกรอบเรื่องความคิดค่ะ อย่างปีที่แล้ว เราน่าจะเป็นบริษัทแรกในโลกด้วยซ้ำที่คืนคาร์บอนเครดิตให้กับลูกค้าทั้งหมด เราอยากทำให้สิ่งที่เราทำทุกวันมีความหมายยิ่งขึ้น ซึ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับทีมเรา เอ็มคิดว่าการที่ภาครัฐทำมาตรการสนับสนุนอีวีถือว่าช่วยได้มากเลย ทำให้รถอีวีจับต้องได้มากขึ้น ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จริง ๆ ต้องเรียกว่าภาวะโลกเดือดด้วยซ้ำ คิดว่าถ้าสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จะช่วยได้มาก เพราะบนท้องถนนรถพวกนี้ปล่อยของเสียเกือบ 50% ของมลพิษบนท้องถนนทั้งหมด แล้วแต่ประเทศแตกต่างกันไป

คิดว่าการขยายตัวของรถอีวีจะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้จริงหรือไม่

พก : ช่วยได้แน่นอนครับ ตัวฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่เราใช้เยอะมาก อีกอันคือรถบรรทุกทั้งหลาย ควันดำปี๋เลย อันนี้ก็เป็นส่วนที่ทำให้เราเข้ามาทำตลาดในรถกลุ่มนี้ด้วย นั่นคือ RÊVER Commercial สำหรับยานยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเราทำทั้งรถบัสและรถบรรทุก สิทธิพิเศษด้านภาษีก็จะทำให้ราคาจับต้องได้มากขึ้นสำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ถ้าเปลี่ยนรถที่ใช้ขนส่งเหล่านี้ รถเก็บขยะ หรือรถขนาดใหญ่ที่ใช้ประจำมาเป็นรถไฟฟ้าหมด ก็จะสร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากเลย แต่เรานำเข้าทั้งคันแล้วเอามาแข่งขันไม่ได้ เราเลยนำเข้าแชสซี (Chassis) เข้ามาแล้วประกอบในเมืองไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีของ BYD จะเกิดขึ้นที่นี่

เอ็ม : นอกจากนี้เราก็จะเพิ่มธุรกิจเช่าซื้อเข้าไปด้วยค่ะ เรารู้ว่ามีคนอยากเปลี่ยนรถขนส่งมาใช้อีวีเยอะ แต่ต้นทุนค่อนข้างเยอะ เราจึงลดต้นทุนด้วยการประกอบในประเทศและการทำเช่าซื้อทั้งส่วนของรถยนต์ส่วนบุคคลและรถขนส่ง เราตั้งใจจะลดการปล่อยคาร์บอนสำหรับการขนส่งทางรถลง ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มลภาวะเกิดจากส่วนนี้มีอยู่ไม่น้อย การเปลี่ยนแปลงไม่ง่าย ส่วนที่ทำได้เร็วกว่าคือยานพาหนะทั้งหลาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมบนท้องถนนได้มาก

รถไฟฟ้าจะไปได้ไกลขนาดไหนในวันข้างหน้า 

พก : ผมคิดเลยนะ เป็นฝันของผม อีกหน่อยสถานีชาร์จรถไฟฟ้าอาจจะหายไปก็ได้ เพราะรถขับไปพร้อมกับชาร์จไฟได้เลย หรือฝังที่ชาร์จในพื้นถนน รถยนต์ไร้คนขับอย่างไรก็คงเกิดขึ้นแน่ ตอนนี้ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยกันอยู่ แต่คิดว่าคงไม่ไกลเกินเอื้อม ต่อไปเราอาจชาร์จไฟแค่ 5 นาทีก็เต็มแล้ว นี่ก็เป็นตัวเปลี่ยนเกมได้ เพราะคนยังไม่ชินกับการรอชาร์จรถ 15 นาทีหรือนานกว่านั้น คนที่ไม่ได้ใช้เขาก็ติงตรงนั้น แต่ต้องบอกก่อนว่าการชาร์จนอกบ้านใช้เฉพาะเวลาที่เดินทางไปต่างจังหวัดจริง ๆ ส่วนใหญ่แล้วคนจะชาร์จที่บ้าน เราถึงแถม AC Charger ให้ลูกค้าทุกคัน กลับถึงบ้านก็เสียบปลั๊ก การชาร์จที่บ้านเป็นอะไรที่ถูกสุดแล้วครับ

เอ็ม : อย่างที่ออสเตรเลียเขากำลังทดลองกันแล้วสำหรับ Quantum Charging คือทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นหมด ณ ขณะเดียวกัน ทำให้การชาร์จเร็วขึ้นมาก เรื่องเทคโนโลยีการชาร์จรถอีวีจะเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะมาก ยังมีอะไรที่น่าสนใจและอะไรใหม่ ๆ อีกเยอะ อีกเรื่องคือการเข้ามาของพลังงานหมุนเวียน โลกในอนาคตจะมีพื้นที่จัดเก็บพลังงานได้เล็กลงแต่เก็บได้มากขึ้น ด้วยช่องทางที่แตกต่างกันออกไปจากรูปแบบเดิมค่ะ

ช่วยกันบริหารธุรกิจแบบนี้ เวลาเห็นไม่ตรงกันจะทำอย่างไร

พก : เราไม่ค่อยเถียงกันนะ เรามีจุดแข็งกันคนละด้าน ส่วนมากในที่ประชุม อันไหนผมถนัดผมก็จะนำ อันไหนไม่ถนัดก็จะหันไปถามเอ็มว่าคิดอย่างไร อันไหนที่เป็นความถนัดเขา ผมก็ให้เขานำไป มีอะไรเขาก็มาถามผมเหมือนกัน ถ้าเราคิดเหมือนกันเลย คงทำงานกันลำบาก แต่เราจะคนละแนวเป็นขาวดำ หยินหยางอะไรแบบนั้น

เอ็ม : เรารักกัน เป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ก็เคารพความคิดและการตัดสินใจกันด้วย คิดว่าช่วยกันคิด 2 หัวยังไงก็ดีกว่าหัวเดียว นี่น่าจะเป็นจุดแข็งของทีมเลยค่ะ

พวกคุณเป็นหัวหน้าที่ดุหรือเปล่า

พก : ไม่ ผมไม่ดุนะ เน้นผลงานมากกว่า ในห้องประชุมเราก็แลกเปลี่ยนความเห็นกัน 

เอ็ม : มันจะมีความเป็นเรา ถ้าเราคุยภายในจะเน้นถกเถียง แลกเปลี่ยนกันเยอะ ๆ ค่ะ 

พก : ออฟฟิศเราอยู่กันเหมือนครอบครัว เป็นพื้นที่ร่วมซะเยอะ เรามีเบียร์ให้พนักงานกินด้วย คือถ้าคุณทำงานได้ดีก็ไม่เห็นเป็นไร หลายคนใช้เวลาที่ออฟฟิศมากกว่าอยู่บ้านเสียอีก เราทำให้ออฟฟิศน่าอยู่ น่าทำงานได้ มีเตียงนอน มีเก้าอี้นวด มีโต๊ะพูลด้วยนะครับ คนต่างแผนกก็มานั่งพูดคุยกันได้ที่โต๊ะใหญ่ด้านหน้าออฟฟิศได้

วันข้างหน้า กลุ่มธุรกิจเรเว่จะเป็นใครในอุตสาหกรรมนี้ และพวกคุณตั้งเป้าไว้อย่างไร

พก : ขอให้เป็นเซอร์ไพรส์ดีกว่าครับ คือเราเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ถ้าเจอช่องหรือโอกาสที่ดีอันไหนเราก็ไปได้เลย ผมคิดว่าคงแปลก ๆ ถ้าวันนี้ผมให้สัมภาษณ์ว่าอยากจะเป็นแบบนี้ แล้ววันข้างหน้าเรากลายเป็นอย่างอื่น อยากให้มองจุดแข็งของเราที่วิ่งไปได้เร็วมากกว่า

เอ็ม : เราค่อนข้างยืดหยุ่นมากค่ะ แต่สิ่งที่ตั้งเป้าไว้แต่แรกคือการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ เราจึงมาเริ่มที่ยานยนต์ก่อน ไว้วันข้างหน้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจะบอกให้ทราบแน่นอนค่ะ (ยิ้ม)

Questions answered

by Captains of RÊVER Group

หนังไซไฟ (บันเทิงคดีวิทยาศาตร์) เรื่องโปรดคือ

พก : ผมชอบ Interstellar ผมว่ามิติของหนังดี จริง ๆ ตอนเด็กผมเรียนไปทางฟิสิกส์ เรียนไปจะจบอยู่แล้วก็เปลี่ยนสาย ตอนนั้นยังเด็ก ยังไม่รู้ว่าชอบอะไร เปลี่ยนเพราะคิดว่าถ้าเรียนฟิสิกส์ต่อ โตมาแล้วจะได้เอาไปใช้อะไร แต่ก็ยังชอบนะ เลยชอบหนังพวกนี้ด้วย หรืออย่าง Star Trek ก็ชอบครับ

เอ็ม : เอ็มเป็นแฟนของ Dune ค่ะ อ่านมาตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ไม่ยอมไปดูหนังนะคะ เห็นว่าจะมีหนังออกมาแล้วก็คงจะไปดูสักที

ดื่มหรือกาแฟ

เอ็ม : กาแฟ ชอบกาแฟดำค่ะ ดื่มทุกวัน แต่ตอนนี้พยายามไม่ให้เกิน 2 แก้วต่อวัน

พก : ทั้งคู่เลยครับ ชอบหมด ผมชอบกาแฟใส่นม ดื่มได้เรื่อย ๆ กินกาแฟเยอะมาก

ไวน์แดงหรือไวน์ขาว

เอ็ม : ถ้าอยู่ประเทศร้อนจะชอบไวน์ขาว ถ้าธรรมดาชอบไวน์แดง

พก : ของผมถ้าร้อน จะชอบกินโรเซ่ใส่น้ำแข็งนะ ผมก็เพิ่งรู้ อย่างตอนไปโพรวองซ์ ผมเห็นคนฝรั่งเศสดื่มได้ทั้งบ่ายเลย เขาเอาโรเซ่ใส่น้ำแข็งกินช่วงหน้าร้อนกันเลย ผมเลยมาลองแล้วอร่อยดี ตั้งแต่ทำธุรกิจเรเว่มานี่แทบไม่ได้ไปยุโรปเลย ทั้งที่ปกติจะไปตลอด

ใครตื่นเช้า

เอ็ม : (ยกมือ) ส่วนมากตี 5 ก็ตื่นแล้วค่ะ เป็นคนนอนเร็วแล้วตื่นเช้า

พก : ของผมถ้าเป็นสุดสัปดาห์ที่ไม่ต้องออกไปทำอะไรเลย ก็ประมาณ 11 โมง แต่กว่าผมจะนอนเนี่ย ต้องบอกว่าผมเป็นคนสมองแล่นตอนกลางคืนน่ะครับ วันธรรมดานี่แทบจะอดหลับอดนอน แล้วไปนอนชดเชยช่วงสุดสัปดาห์ครับ เอาให้เต็มที่

สถานที่ที่ทั้ง 2 คนไปด้วยกันบ่อยที่สุดยกเว้นที่บริษัทคือที่ไหน

พก : ผมว่าน่าจะสนามบินนะ

เอ็ม : ใช่ ๆ น่าจะเป็นสนามบิน เพราะเราเดินทางเยอะมากจริง ๆ

ขับรถเองหรือเปล่า

พก : ชอบขับครับ แต่วันธรรมดาจะไม่ค่อยได้ขับ มีคนขับรถ จะได้ใช้เวลาทำงาน ตอบอีเมล ดูโน่นนี่ได้ 

เอ็ม : เหมือนกันค่ะ เพราะบนรถคือห้องประชุม ช่วงวันทำงานเลยไม่ขับเอง

คิดว่าเสน่ห์ของถนนในกรุงเทพฯ ที่เมืองอื่นไม่มีคืออะไร

พก : BYD ครับ (หัวเราะ) จริง ๆ คือ รถ BYD ที่พวงมาลัยขับขวาครับ มีที่นี่

เอ็ม : (หัวเราะ) ตามนั้นเลยค่ะ

กีฬาที่ชอบ

เอ็ม : เข้ายิมเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ชอบคือดำน้ำและเดินป่า ปีนี้ก็หวังว่าจะได้ไปดำน้ำที่โคโมโดค่ะ

พก : ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตครับ ผมชอบกีฬาอยู่แล้ว สมัยเด็กผมเล่นรักบี้มาก่อน ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไปตีกอล์ฟ แต่หลัง ๆ มานี้กลายเป็นเข้ายิมออกกำลังกายมากกว่า

เชื่อเรี่องโชคดวงหรือไม่

พก : ผมคิดว่าถ้าทำดีเราก็จะได้ดี แต่ตอบเรื่องนี้ไม่ถนัด คือเชื่อนะ แต่ไม่ได้เคร่งขนาดนั้น แบบไม่ได้ห้ามโน้นห้ามนี่ 

เอ็ม : ถามว่าเชื่อมั้ย เชื่อค่ะ (พยักหน้า) พวกเราไม่ได้เป็นคนที่จะไปนั่งดูดวงว่าเป็นยังไงแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่

ถ้ามีกันแค่ 2 คน ต้องเดินทางไปด้วยกัน ใครเป็นคนขับรถ

พก : ผมเองครับ 

เอ็ม : เป็นตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เขาจะเดินตรงไปที่ที่นั่งคนขับ ขับเองตลอด

พก : นอกจากคนขับรถของผม ถ้าคนอื่นขับแล้วไม่ได้ดั่งใจ ผมจะหงุดหงิดน่ะครับ (หัวเราะ)

Writer

มนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัล

มนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัล

นักข่าวธุรกิจที่ชอบตั้งคำถามใหม่ๆ กับโลกใบเดิม เชื่อว่าตัวเองอายุ 20 ปีเสมอ และมีเพจชื่อ BizKlass

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล