เธอชอบฉันตรงไหนให้เอาปากกามาวง…

หากย้อนกลับไปปีก่อน ผู้คนคงพากันเอาปากกามาวงความสดใสน่ารักของนักร้องสาว เบล-วริศรา จิตปรีดาสกุล เจ้าของเพลงฮิตที่สร้างไวรัลไปทั่ว TikTok 

1 ปีถัดมา เบลบอกว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของเธอแม้แต่น้อย หากแต่เป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาให้สอดคล้องกับสายตาที่ทุกคนมองเธอ

เบลเติบโตมาในโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่ต้องเก็บซ่อนความขบถเอาไว้ในใจ เริ่มต้นเส้นทางดนตรีด้วยการเป็นนักร้องนำวงไก่ไข่ที่สร้างความประทับใจไว้บนเวที Hotwave Music Awards 2019 เรื่อยมาจนได้เป็นศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัด Home Run Music 

แม้เธอจะหวาดกลัวการเข้าสังคมใหม่ เลยเถิดไปถึงการซ้อมพูดกับคนในกระจกวันละหลายร้อยครั้งเพื่อบอกตัวเองว่าเธอดีมากพอ แต่เบลก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่เพลงแรก และกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในวันที่ 16 กันยายนนี้ที่ Search Studio

เธอบอกกับเราว่าอยากให้ถึงวันนั้นไว ๆ เพราะการขึ้นเวทีครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าจะไม่มีเบลแบ๊วอีกต่อไป 

เบลคนนี้เข้มแข็ง หัวไว รู้จักตัวเองดีเยี่ยม และพร้อมเหลือเกินสำหรับความท้าทายใหม่ ๆ ในชีวิต

โคตรไม่แฟร์

ไม่ค่อยเห็นเบลให้สัมภาษณ์เลย

ใช่ ไม่รู้เหมือนกัน สื่ออาจคิดว่าเบลพูดอะไรแบบนี้ไม่ได้มั้ง ด้วยความที่ตัวตนเราดูเด็กจังเลย ก็เลยตื่นเต้นที่จะได้พูด เพราะเราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วยถ้าได้ตกตะกอนแล้วตอบออกมา

กำลังจะมีคอนเสิร์ตแรกเป็นของตัวเอง ซ้อมหนักไหม

ไม่ได้หนักมาก แต่ตื่นเต้นมากกว่า คอนเสิร์ตครั้งแรกเพิ่งจะมารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หลายคนคิดว่าจุดเริ่มต้นในชีวิตการเป็นศิลปินคือตอน เอาปากกามาวง แต่สำหรับเบลคือคอนเสิร์ตนี้

อะไรคือจุดที่ชอบและไม่ชอบที่หาเจอ

ตอนทำ เอาปากกามาวง เราไม่รู้ว่าชอบอะไร แต่รู้ว่าคนมองเข้ามาหาด้วยภาพแบบไหน เราเลยทำเพลงด้วยภาพนั้น 

ถามว่าชอบไหมก็ชอบ แต่ไม่ได้ชอบสุด เพราะเป็นคนฟังเพลงอินดี้มาก ขัดกับบุคลิกที่ทุกคนมองเราไม่ได้อยากจะวงไปทั้งชีวิต เลยเริ่มคิดว่าจะหาตรงกลางของอาชีพนี้ยังไง ที่ผ่านมาเหมือนเด็กที่ไม่ได้หลุดออกจาก Comfort Zone ทำอะไรได้ดีก็ทำไป เพิ่งมารู้ว่าอยากเป็นศิลปินจริง ๆ ก็ปีนี้ ชอบเป็นศิลปิน ชอบร้องเพลง ชอบการเจอคน ชอบเห็นคนร้องเพลงเรา 

จะบอกว่า เพลง เอาปากกามาวง ถ่ายทอดออกมาจากภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองคุณเหรอ

ใช่ แต่ถามว่าเรามีความสดใสตรงนั้นไหมก็มี แต่ไม่ได้จัดขนาดในเพลง

ความคิดที่อยากเป็นศิลปินเกิดขึ้นได้ยังไง

อาจดูไร้สาระ แต่ทะเลาะกับเพื่อน 

หลาย ๆ นิสัยที่เราไม่รู้มาก่อนว่ามี อีโก้ของตัวเอง ความไม่เป็นตัวเองเวลาอยู่กับเพื่อน หรือต้องพยายามคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามองเรายังไงมากเกินกว่าที่จะมองว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ ทำให้เราไม่เป็นธรรมชาติเวลาเจอบางคน เราไม่กล้าพูดว่าเราชอบเพลงอินดี้เพราะกลัวคนไม่เชื่อ 

แต่พอทะเลาะกันครั้งนั้นทำให้เรารู้ว่า เออว่ะ ทำไมถึงไม่แคร์ความรู้สึกตัวเองเลย ทำไมถึงไม่ทำเพลงแคร์ความรู้สึกตัวเองบ้าง แล้วก็คิดทุกอย่างว่าสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ไม่ชอบคืออะไร ทำให้ตอนนี้กลายเป็นเรามีเรื่องที่ชอบมากขึ้นเยอะมาก ๆ มีนิสัยที่อยากเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะเรากลัวว่าคนอื่นจะมองยังไง เราเลยไม่ทำสิ่งนั้น

เบลกลัวอะไร

สายตาทุกคน เขามองเข้ามายังไง การที่เราพูดคำว่า สวัสดีค่า เบล วริศรา จากค่าย Home Run Music ค่ะ เบลซ้อมเป็นล้านครั้งหน้ากระจกว่า ต้องใช้เส้นเสียงไหน ตะโกนแค่ไหน ให้คนฟังแล้วจะไม่แปลก เบลอัดเสียงแล้วก็ตั้งกล้องพูดกับตัวเอง

จริงเหรอ

จริง 

เพราะแต่ก่อนแค่พูดออกมายังไม่ใช่เสียงเบลด้วยซ้ำ เราแคร์ความรู้สึกคนอื่นมาก ๆ จนโชว์ไม่ธรรมชาติ แล้วก็เข้าใจว่าทำไมแฟนคลับหลายคนเห็นแล้วจะรู้สึกอึดอัด เคยมีคนทักมาหานะว่าไม่ชอบเลยที่เล่นแบบนี้ ซึ่งเบลก็รู้สึกว่าเราทำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเราเป็นคนที่มีอีโก้ระดับหนึ่งว่าตัวเองทำได้ เลยกลับไปอัดคลิปเหมือนเดิมว่าต้องพูดยังไง 

จะรู้ได้ยังไงว่านี่คือเส้นเสียงที่ถูกต้อง เกณฑ์ของการอัดคลิปคืออะไร

เราให้น้องดู สุดท้ายก็ไม่แคร์สายตาตัวเองเหมือนเดิม

พฤติกรรมที่กลัวสายตาคนอื่นเป็นมานานรึยัง

3 ปี ตั้งแต่เข้ามหาลัย เพราะอยู่โรงเรียนประจำหญิงล้วนมาโดยตลอด นั่นคือ Comfort Zone ที่สุดในชีวิต ตื่นมาแล้วจะเจอเพื่อนที่เราคุ้นเคย กินข้าว อาบน้ำ พูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แล้วก็ไม่ได้เจอความโหดร้ายจากสังคมมากมาย เพราะโทรศัพท์ก็เล่นไม่ได้

เรื่องที่ดีคือเรามีความเห็นอกเห็นใจ รู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีเรื่องแย่มากนะ หรือเรียกว่าสั้น ๆ ว่าโลกสวย ทำให้เราใช้ชีวิตกับคนอื่นได้ เพราะว่าในนั้นเหมือนโรงเรียนดัดสันดาน ไม่ว่าใครจะเข้าไปก็ต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ อยู่ไม่ได้ก็ออก เลยไม่ค่อยมีใครต่อต้านอะไรเยอะ ทุกคนมีความคิดเดียวกันเลย คือ เราใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องมีปัญหา กลายเป็นคนอยู่เป็นในสังคม 

แต่ข้อเสียคือเบลไม่กล้าเดินออกไปข้างนอกแล้วเป็นตัวเองได้เลย พอเจอโลกกว้าง เราเริ่มแคร์สายตาคน ถ้าสมมติว่ามีเพื่อนเป็นผู้ชาย เป็นเพศที่ 3 จะต้องทำตัวยังไง อยากเป็นเพื่อนกับเขา แต่เราก็กลัวไปหมด

ในกรอบของโรงเรียนประจำหญิงล้วน คุณเป็นเด็กที่มีความขบถในตัวบ้างไหม

มี เบลว่าเด็กโรงเรียนนี้ทุกคนดื้อเงียบ ไม่ได้เห็นด้วยหรอก แต่ทำเป็นเห็นด้วยไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเรื่อง ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดี พอมาเจอเพื่อนมหาลัยที่ดื้อแบบสุดทาง เราก็เพิ่งเข้าใจว่าบางอย่างที่เราไม่ชอบ เราพูดได้นะ

ปรับตัวยากไหมตอนเข้ามหาลัย

ระดับหนึ่ง ถือว่าเป็นก้าวใหญ่ ๆ ที่สำคัญในชีวิต ซึ่งเป็นก้าวที่ผิดเหมือนกัน

ทำไม

พอติดโควิดเลยไม่ได้ไปเจอเพื่อน เราก็ยังอยู่ใน Comfort Zone คบเพื่อนแค่ 3 – 4 คนที่เราแฮปปี้ ไม่ได้สนิทกับใครเลย แต่จริง ๆ แล้วเบลอยากรู้จักทุกคน อยากมีความเห็นหลาย ๆ อย่าง อยากฟัง แต่ก็ไม่กล้าถามเขาด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้ได้ไหม 

จนปีนี้แหละ การได้ทะเลาะกับเพื่อนคนนี้เหมือนปลดล็อกอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ ด้วยความที่เขาโตกว่ามาก ทำให้เบลเข้าใจหลาย ๆ อย่างของโลกมากขึ้น เบลมั่นใจในตัวเองว่าสิ่งที่ทำมันดี เราไม่ใช่คนนิสัยแย่ ถึงจะมีข้อเสียหรือเห็นแก่ตัว เรารู้สึกเหมือนการเป็นตัวเราก็ไม่ได้ผิดอะไร ที่ผ่านมาแค่ไม่มีคนบอกว่าทำอย่างนี้ถูกแล้ว

เอาปากกามาวง

ย้อนกลับไปตอนมัธยมปลายที่ประกวด Hotwave ตอนนั้นคือตัวตนจริง ๆ ของคุณรึเปล่า

ไม่ใช่ จะเห็นว่าเบลร้องเพลงแบบไม่เป็นธรรมชาติมาก ๆ สุด ๆ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าวงดนตรีร็อกงเท่ วงดนตรีร็อกจะผ่านเข้ารอบได้ เลยต้องร้องเสียงใหญ่เข้าไว้ เพราะจะได้สู้คน แต่พอย้อนกลับไปดูแล้วโคตรอาย โหย ทำไมถึงร้องแบบนี้ น่าเกลียดจังเลย แต่ภูมิใจไหม ก็รู้สึกว่า ณ วัยนั้นคิดได้เท่านี้ และอยากเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งให้ได้ก็เก่งมากแล้ว

ไม่ได้ชอบเพลงร็อก แต่ตั้งใจร้องเพลงร็อกเพื่อให้เข้ารอบเหรอ 

ใช่ เราว่าการประกวดวงดนตรีจะให้ร้องอินดี้หรือจะให้ร้องป๊อปก็สู้ร็อกไม่ได้หรอก เพื่อน ๆ ทุกคนก็เห็นด้วย คือเราต้องสู้วงอื่นให้ได้ ต้องสู้คนดูข้างหน้าให้ได้ ต้องสู้กรรมการให้ได้

ช่วงที่ประกวด Hotwave ได้รับความสนใจเยอะมากเลยนะ

ได้รับความสนใจ ทั้งดีและแย่ 

จากเด็กที่อยู่ในโรงเรียนประจำมาตลอด รับมือกับวันที่กระแสด้านลบเข้ามาปะทะยังไง

รับไม่ได้ เป็นความรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำมันแย่เหรอวะ ต้องด่ากันขนาดนี้เลยเหรอ มีคนทักมาบอกว่า ร้องเพลงอะ ให้ใช้เสียง ใช้ความสามารถ ไม่ได้ใช้หน้าตา เฮ้ย เราก็ไม่ได้สวย ทำไมเขาถึงด่าขนาดนั้น หรือมีคนบอกว่าเป็นเด็กเส้น เราไม่ใช่เด็กเส้น เราไม่รู้จักใครในนั้นเลย

นี่น่าจะเป็นความรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตช่วงนั้น

ไปต่อจากช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนั้นได้ยังไง

เอาชนะตัวเอง ถ้าเลือกทางนี้แล้ว ก้าวต่อไปที่เราทำได้คืออะไร มันคือการเปิดช่องมั้ง

ตอนร้องเพลงคัฟเวอร์ลงยูทูบ คิดว่าเวิร์กไหม

เวิร์กกว่าที่คิด เราไม่ค่อยคาดหวังอะไรในอนาคต ไม่ได้มีความฝัน ความฝันเบลอย่างเดียวตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เลยคือในวัยเกษียณจะต้องอยู่เปื่อย ๆ อ่านหนังสือ อยู่กับหมา อยู่กับลูก อยู่กับหลาน แต่ความฝันตรงกลางแบบตื่นขึ้นมาแล้วอะไรคือสิ่งที่อยากทำ ไม่มี 

ซึ่งร้องคัฟเวอร์ก็เวิร์ก แล้วในปัจจุบันใครก็ทำเพลงเองได้ ทำไมถึงต้องไปออดิชันเข้าค่าย Home Run Music

ด้วยความที่เราโลกแคบมาก อยากเรียนรู้อะไรมากกว่านี้ เราไม่มีคอนเนกชันเยอะ เราเดินไปบอกโปรดิวเซอร์คนนี้ว่าทำเพลงให้หน่อยได้ไหม หรือช่วยหนูหน่อยได้ไหมไม่ได้ ไม่มีความกล้าพอ เลยเลือกมาเข้าค่ายแล้วกัน ออดิชันด้วยการร้องเพลง ก็คงหายดี ลงยูทูบแล้วก็ส่งไป แล้วก็ติดเข้ามา แล้วก็ช็อกและงงหนักกว่าเดิม เพราะเพลง เอาปากกามาวง ดังมาก 

จากร้องคัฟเวอร์เอง พอได้มาทำเพลงจริง ๆ ในฐานะศิลปินยากง่ายต่างกันยังไง 

ตอนทำเพลง เอาปากกามาวง ไม่ยาก เพราะแทบจะไม่ทำอะไรเองเลย เข้าไปเป็นศิลปินแล้วทำอะไรต่อเหรอ ไม่รู้เลย ให้ทุกคนป้อนเข้ามา พี่ติ๊ก Playground แต่งเพลงให้ หาแคปชันให้แล้วก็ถามว่าโอเคไหม MV ก็เขียนสตอรีบอร์ดเลยค่ะ หนูไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง เขาก็โยนมาให้ เบลเป็นคนตอบว่า โอเค ๆๆ พอเพลงดังก็ โอ้ ดีใจจังเลย แต่ก็มีความรู้สึกแบบ เหรอ เรายังไม่ทันพยายามทำอะไรเลย เบลเพิ่งมาเข้าใจว่าวงการนี้ทำงานยังไงก็ช่วงเพลง คนหรือไมโครเวฟ จนเพลงล่าสุดก็อยากเขียนสตอรีบอร์ดเองแล้ว

เพื่อนบอกว่าเบลเป็นคนที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลย มีโอกาสเข้ามาหาอยู่เสมอ กลายเป็นเบลได้อะไรมาง่ายเกินไปในบางที แต่ก็ไม่ใช่กับทุกเรื่องนะ 

เห็นด้วยไหม

เราพยายาม แต่ไม่ได้พยายามเท่าคนอื่นดีกว่า แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไรที่เบลพยายามเท่านี้ แค่การได้หลาย ๆ อย่างมาง่ายทำให้เราไม่ได้มีอะไรเป็นแบบแผนในชีวิต ไม่ได้มีแพสชันที่ตัวเองอยากทำมากขนาดนั้น 

ขอบคุณมาก ๆ ที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา เพราะวันนี้ในวัยนี้เข้าใจแล้วว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เราพยายาม เราจะเห็นคุณค่า ที่เบลไม่ได้ชอบเพลง เอาปากกามาวง มาก อาจเป็นเพราะไม่ได้พยายามกับมันมากก็ได้ 

นอกจากกระแสตอบรับที่ดีมาก ถามจริง ๆ เอาปากกามาวง เป็นเพลงที่เบลชอบไหม

ถ้าเราเป็นคนฟังที่ไม่รู้ว่าศิลปินเป็นใคร เราว่าก็น่ารักดี คงอยากเต้น แต่คงไม่ได้เป็นเพลงที่ฟังบ่อย ๆ แต่ด้วยความที่เป็นเพลงของเรา เรารักอยู่แล้ว เราผูกพันกับเพลงนี้ เรารู้จุดเริ่มต้นของมัน 

พอเพลงที่เขียนมาจากตัวตนที่คนอื่นมองเราประสบความสำเร็จมาก ๆ หนักใจไหมว่าจะต้องคงคาแรกเตอร์นี้ไปอีกนาน 

3 เพลงแรกเป็นแบบนั้นหมดเลย ต้องเป็นสาวน้อย TikToker ต้องเป็นแบบ ‘น้องเบล’ 

อึดอัดไหม

ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เป็นความงง ๆ 

เบลรักหมดทุกเพลงที่ปล่อยไป แต่ก็จะคิดว่า เหรอ แบ๊วขนาดนี้เลยเหรอ แล้วจะแฮปปี้ในระยะยาวเหรอ เพลงถัดไปคือ โคตรไม่แฟร์ เลยทำให้เท่ขึ้น เอนเตอร์เทนคนได้โดยยังมีกลิ่นอายความน่ารักอยู่บ้าง เพลงนี้เลยเป็นเพลงที่เรามีความสุขมากกับการทำ เป็นอีกก้าวสำคัญในการเป็นศิลปินของเบล

คุยกับค่ายยังไงในวันที่ไม่อยากเป็นเบลแบ๊วอีกแล้ว

คุยกับพี่ติ๊กหนักเหมือนกัน เขาอยากให้เราเป็นน้องเบล แล้วเขาก็ถามว่าถ้าจะทำอัลบัม กลิ่นอายของอัลบั้มนี้คืออะไร ในความรู้สึกเราตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงนี้นะ มันคือความไบโพลาร์เว้ย 

คือการที่เด็กคนหนึ่งแม่งอยากจะเป็นแบบนี้ในบางที อยากจะเป็นแบบนั้นในบางที เราก็จับอันนั้นแหละมาเป็น Direction เราเลยตีความว่าเบลคือเด็กกำลังโต แล้วพยายามตามหาว่าตัวเองพอใจกับความรู้สึกไหน หรือคาแรกเตอร์ไหนมากที่สุด 

ถ้ายังหาตัวเองไม่เจอ ทำไมถึงต้องจัดคอนเสิร์ตตอนนี้

เราว่าเราพร้อมมั้ง หมายถึงเราพร้อมที่จะเปลี่ยนอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว ผ่านต้นปีมาเพื่อตกตะกอนว่าจริง ๆ แล้วเราชอบอะไร อาจจะไม่ 100% เราไม่ได้เก่งเรื่องดนตรีมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะช้าไปทำไม แพสชันก็กำลังมาด้วย 

กลิ่นอายในคอนเสิร์ตนี้จะไม่ใช่ เบลเอาปากกามาวง ไม่ใช่ เบลไบโพลาร์ แต่เป็นเบลในภาพเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนก็แล้วแต่ เราอยากให้ถึงคอนเสิร์ตเร็ว ๆ เพราะจะได้ใส่ความเป็นตัวเองสุด ๆ แล้วเราก็ได้ศิลปินที่ชอบมากมาเป็นแขกรับเชิญ คือ LANDOKMAI เข้ากับธีมคอนเสิร์ต Flower on the Floor เป็นวงอินดี้วงแรกในชีวิตที่เราชอบ เราตามดูเขาแล้วก็ฝันว่าอยากเป็นตัวเองให้ได้เท่าพวกเขา

คอนเสิร์ตนี้สำคัญกับเราตรงที่เรากำลังจะได้เป็นคนนั้น ในอีกแง่หนึ่งก็เหมือนการประกาศว่า เบลมาแล้วนะ เบลจริง ๆ นะเว้ย 

ตกหลุมรักรอบที่ล้าน

เบลมีอายุในวงการกี่ปีแล้ว

1 ปี

คิดว่าประสบความสำเร็จเร็วไปไหม

เร็ว เร็วมาก พี่ ๆ หลายคนเขาใช้เวลานานมากกว่าตัวเองจะดัง ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะเป็นตัวเองแล้วในวันที่เขาดังมาก แต่ของเบลคือเพลงแรกก็ดังแล้ว เราทำยังไงต่อ คือแกว่ง 

ภาพแรกมักจะสำคัญเสมอ ซึ่งภาพแรกของเบลคือ เอาปากกามาวง ทีนี้ก็ยากแล้วล่ะว่าอยากจะเป็นตัวเองแบบไหน ซึ่งต้องทำให้ดีกว่าเดิม ถ้าพยายามมากขึ้นแล้วเจอตัวเองก็คงเปลี่ยนภาพจำนั้นได้

จากเด็กที่จับพลัดจับผลูร้องเพลงในโรงเรียนประจำ ตอนนี้กำลังจะมีคอนเสิร์ตของตัวเอง สิ่งนี้อยู่ในแพลนไหม

ไม่อยู่ 

เอาจริง ๆ ตอนเข้าค่ายมาพี่ติ๊กถามว่ามีความฝันอะไรกับวงการนี้เหรอ เราบอกว่าไม่มีค่ะ พี่ติ๊กให้เราไปคิด ๆ มาหน่อย ลองฝัน ๆ ดู เราก็คิดถึงคอนเสิร์ตเล็ก ๆ อย่าง Fan Meeting 

ในความคิดเบลคือ พวกเขามาชอบอะไรเรา แบบ… เป็นอย่างนี้ตลอดเลย เราขอบคุณนะ ดีใจที่มีคนรักเรามาก ๆ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าเราน่าชื่นชมขนาดนั้นเลยเหรอ เราอาจจะด้อยค่าตัวเองด้วย 

เราถามตัวเองบ่อยมากว่าเรามีอะไรดี จนเราได้คำน่ารัก ๆ จากแฟนคลับที่เขียนมาหรืออะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นเราเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงรักเรา เพราะเราก็รัก LANDOKMAI มากเหมือนกัน

รู้สึกไม่ดีพอที่จะได้รับความรักเหรอ

ไม่เชิง รู้สึกว่าชอบถูกรักนะ แต่ไม่เชื่อ

เราอาจจะมองโลกในแง่ร้าย ไม่ใช่สิ ไม่ได้มองโลกเผื่อคนอื่นมั้ง เราไม่เชื่อว่าจะมีใครมารักมาชอบอะไรมากขนาดนี้จริง ๆ หรอก จนกระทั่งได้เริ่มรักคนอื่นมากขึ้น เราเข้าใจโลกมากขึ้น เริ่มมองในมุมคนอื่นมากขึ้น

ถัดจากคอนเสิร์ต สเตปต่อไปของชีวิตอยากทำอะไร

อยากเล่นละครมาก

เราอาจไม่เข้าใจการเป็นนักแสดงมากขนาดนั้น แต่ตื่นเต้นกับการทำสิ่งนี้ เราเคยแสดงหนังเรื่อง DEEP โปรเจกต์ลับ หลับ เป็น ตาย แล้วชอบการเข้าไปเข้าใจตัวละครใหม่ ๆ ชอบการนั่งพูดคุยกับคน ชอบการแบ่งปันความคิด ได้สร้างตัวละครขึ้นมาเอง 

เราคงไม่ปล่อยให้โอกาสหล่นมาหาเราแล้ว เราจะเป็นคนเดินไปหาโอกาสบ้าง

ทุกวันนี้ความคิดเห็นของคนอื่นยังส่งผลกระทบกับชีวิตอยู่ไหม

ส่งผล แต่ไม่มากเท่าเดิม เราเข้าใจว่านี่คือความรู้สึกของคนอื่น นี่คือความรู้สึกของเบล แล้วเราลดอีโก้ลงเพื่อเข้าใจหลาย ๆ อย่างและยอมรับกับสิ่งนั้นมากขึ้น

ตอนนี้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ถ้าเรื่องไหนยังทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ก็จำเอาไว้ว่าในอนาคตอยากเป็นให้ได้ นิสัยของเราตอนนี้ก็คือนิสัยที่ในอดีตเราอยากทำ 

เราเป็นคนที่ไม่ชอบเก็บห้องเลย ไม่ชอบล้างจาน แต่เราโคตรอยากเป็นเลย เราก็บังคับตัวเองให้ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นธรรมชาติได้แล้ว โดยที่เราไม่ต้องฝืน คือการดัดสันดานตัวเองมั้ง

ถ้าไม่ได้คุยกันก็คงไม่รู้ว่าคุณรู้จักตัวเองดีมาก

ใช่ เราไม่ค่อยมีสเปซที่จะได้คุยแบบนี้กับใคร 

เราแคร์สายตาคนอื่นจริง แต่เราบอกคนล้านคนว่าอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ หรือเราบอกคนล้านคนไม่ได้ว่าเรารู้สึกแบบนี้อยู่ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่คุณจะตัดสิน แต่เบลก็จะพิสูจน์ให้เห็นเหมือนกันว่าเบลไม่ได้เป็นแบบนั้นในวันหนึ่ง 

ในฐานะเบลคนใหม่ อยากบอกอะไรกับเบลแบ๊ว

(หัวเราะ) ใช้ชีวิตให้สนุกแล้วก็รีบหาตัวเองให้เจอค่ะ 

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์