29 กันยายน 2023
5 K

The Cloud x ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ผู้เขียน รศ.พรรณเพ็ญ ฉายปรีชา สอนการออกแบบที่คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากเกษียณอายุ ไปช่วยเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาโท คณะดิจิทัลอาร์ต มหาวิทยาลัยรังสิต จนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับการเป็นนักออกแบบอิสระ

ในช่วงเวลานี้เมื่อปีก่อน ผู้เขียนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ The Cloud Golden Week เขียนเล่าเรื่องเครื่องแต่งกายชนิดหนึ่งที่มีบทบาทและผูกพันกับผู้เขียนยาวนานกว่า 50 ปี นั่นคือ ‘Bolo Tie

ในปีนี้ได้มีโอกาสมาร่วมงานอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เขียนเล่าเรื่องของสะสม แต่มาเขียนเรื่องเดินทางท่องเที่ยวแทน แต่การเดินทางกว่า 50 ปีก็นับว่าเป็นการสะสมได้เหมือนกันนะ แต่เป็นการสะสมประสบการณ์ และเส้นทางที่จะเขียนเล่าในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนานและไกลที่สุดในชีวิต ในตอนนั้นผู้เขียนอยู่ในวัยเกษียณอายุได้ 5 – 6 ปีแล้ว

รศ.พรรณเพ็ญ ฉายปรีชา

สมาชิกที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ 9 คน เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ และไปเปลี่ยนเครื่องบิน 3 แห่งด้วยกัน คือลอนดอน ไมอามี และเซาเปาโล จากเซาเปาโลก็มาถึงเป้าหมายคือเมืองมาเนาส์ ใช้เวลานั่งเครื่องบิน 33 ชั่วโมง ถ้ารวมทั้งรอเครื่อง ต่อเครื่องด้วย ก็ 48 ชั่วโมง หรือ 2 วันพอดี 

นั่นคือสาเหตุที่การเดินทางเกือบร้อยครั้งของผู้เขียนไปไม่ถึงแอมะซอนสักที เพราะเราต้องตั้งหลักให้พร้อม ทั้งผู้ร่วมเดินทาง ทุนทรัพย์ และเวลาว่างถึง 3 อาทิตย์

ใช้เวลาเดินทางมาถึงขนาดนี้ มันมีอะไรที่เมืองมาเนาส์ เมืองหลวงแห่งลุ่มน้ำแอมะซอนกันนะ 

ในตอนนั้นผู้เขียนเดินทางท่องเที่ยวมาแล้ว 31 ประเทศ ไม่เคยมีชื่อเมืองมาเนาส์อยู่ในความคิดเลย แต่สำหรับการเดินทางในครั้งนั้น สิ่งที่จูงใจให้ไปคือผืนป่าลุ่มแม่น้ำแอมะซอนแห่งประเทศบราซิล ผู้เขียนเคยล่องเรือในแม่น้ำสำคัญ ๆ ของโลกมาแล้วหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำไรน์ แม่น้ำดานูบ แม่น้ำแยงซีเกียง หรือแม่น้ำไนล์ แต่ไม่เคยสัมผัสกับแม่น้ำแอมะซอนสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก และเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับป่าแอมะซอนมาช้านาน

เมื่อมีโอกาสในครั้งนี้เลยตั้งเป้าหมายมาที่เมืองมาเนาส์ เมืองหลวงแห่งรัฐอามาโซนัส รัฐใหญ่ที่สุดในประเทศบราซิล และก็นับได้ว่าเป็นประเทศที่ 32 ที่ได้ไปเยือน

เยือนเมืองมาเนาส์

ก่อนเครื่องจะร่อนลงจอดที่เมืองมาเนาส์ เรามองลงมาเห็นลำน้ำสีแดงที่ยาวและกว้างใหญ่ ไหลเลาะผ่านผืนป่าข้างล่าง เครื่องบินลงจอดเวลา 12.30 น. ตอนนั้นเวลาในบ้านเราเดินหน้าไป 11 ชั่วโมงแล้ว กว่าจะเสร็จธุระจากสนามบินก็เลยเวลาอาหารกลางวันไปเยอะ ตอนนั้นพวกเราสับสนเรื่องเวลากันพอสมควร แต่ก็ค่อย ๆ ปรับตัวกัน อย่างแรก เราต้องหาอะไรใส่ท้องซะก่อน เพราะเราทรหดกับการเดินทางมานาน

สิ่งแรกที่เราพบเมื่อเดินทางออกจากสนามบิน นั่นคือผืนป่าที่มีพรรณไม้ค่อนข้างคุ้นตา คล้ายป่าทางใต้ของบ้านเรา โดยเฉพาะปาล์ม แต่ที่นี่มีมากกว่า ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่มีพรรณไม้ในบ้านเรามากมาย เพราะนำมาจากทวีปอเมริกาใต้ พอเราเริ่มเข้าในเมืองก็ยิ่งคุ้นตามากขึ้น การจราจรในท้องถนนก็หนาแน่นไม่ต่างกับบ้านเราสักเท่าไหร่

ที่แรกที่เราไปเยี่ยมชมหลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว คือโรงละครแอมะซอน (Teatro Amazonas) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยใช้จัดแสดงโอเปราให้พวกคหบดีหรือเศรษฐีที่มาพักอาศัยและทำธุรกิจอยู่ในป่าสมัยนั้นชม โรงละครนี้สร้างเมื่อปี 1896 ใช้เวลาสร้างนานถึง 12 ปี

ด้านหน้าโรงละครมีอนุสาวรีย์ 4 ทวีป ได้แก่ ทวีปอเมริกา แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย

เราเดินชมเมืองไม่สนุกสักเท่าไหร่เพราะฝนตก

ที่นี่ฝนตกอย่างน้อยครึ่งปี ช่วงเดือนธันวาคม-พฤษภาคม และเราก็มาในช่วงเดือนมีนาคมซะด้วย

โรงแรมที่เราพักในค่ำคืนนี้คือ Tropical Manaus เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเนโกร (Rio Negro) อาคารแบ่งเป็น 2 ส่วน คืออาคารสูงและอาคารเตี้ย การจัดสวนภายในบริเวณโรงแรมก็เป็นแบบง่าย ๆ แต่ดูดี ส่วนใหญ่เป็นสวนน้ำ และใช้ต้นไม้ตระกูลปาล์มจำพวกหมากและหลาวชะโอนมาประกอบ

แม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกันเป็น 1 แม่น้ำ 2 สี

เช้าวันรุ่งขึ้นเราจะล่องเรือไปชมป่าในลุ่มน้ำแอมะซอน แล้วชมจุดที่แม่น้ำเนโกรและแม่น้ำแอมะซอนไหลมาบรรจบกัน เราออกเดินทางตอน 9 โมงเช้า นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำเนโกร ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญและเก่าแก่ เกิดมาก่อนแม่น้ำแอมะซอน ต้นแม่น้ำนี้ไหลมาจากประเทศโคลอมเบียและเวเนซุเอลา ผ่านแร่เหล็ก ตะกอนดิน ออกไซด์ และแร่ธาตุหลายอย่าง ทำให้น้ำมีสีดำตามธรรมชาติแต่ใสสะอาด ไม่ใช่ดำขุ่นเน่าเสียอย่างที่เราเห็นทั่วไป

ส่วนแม่น้ำแอมะซอนเป็นแม่น้ำเกิดใหม่ อายุน้อยกว่าเนโกร ต้นแม่น้ำไหลมาจากประเทศเปรู เจาะผ่านป่า ผ่านดินลงมาเรื่อย ๆ น้ำจะมีสีแดงขุ่นและไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเนโกรที่ชานเมืองมาเนาส์ แล้วไหลเคียงคู่กันไปแบบต่างคนต่างอยู่

เรานั่งเรือล่องแม่น้ำเนโกรมาเรื่อย ๆ ผ่านเมือง ผ่านโรงงานอุตสาหกรรม และที่น่าสนใจคือบ้านพักอาศัยริมสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งปลูกแบบง่าย ๆ ซ้อนกันหนาแน่นแบบสลัม แต่ภาพรวมดูสวยแปลก ชวนให้มอง เหมือนภาพวาดหรืองานศิลปะสวย ๆ แบบหนึ่งจริง ๆ

แม่น้ำเนโกรคงเป็นหัวใจของทุกคนที่นี่ และคนส่วนใหญ่คงใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลัก ตลอดเส้นทางเกือบ 2 ชั่วโมงที่เราผ่านมา เราเห็นปั๊มน้ำมันอยู่บนแพกลางแม่น้ำเป็นระยะ เพื่อให้บริการเรือทั้งหลายที่แล่นอยู่ในแม่น้ำ เราผ่านเรือลำหนึ่ง น่าจะเป็นเรือที่ต้องเดินทางไกลข้ามคืน เพราะมองเข้าไปในเรือ เห็นมีเปลญวนแขวนเพื่อให้เช่านอนพักด้วย

2 ชั่วโมงผ่านไป เรามาถึงจุดที่แม่น้ำ 2 สายและ 2 สี คือเนโกรและแอมะซอนมาบรรจบกัน ความจริงผู้เขียนเคยเห็นน้ำที่มีสีต่างกันมาแล้ว ทั้งในบ้านเราและต่างเมืองบางแห่ง แต่ไม่ตื่นตาและตื่นใจเท่าที่นี่ เพราะดูเวิ้งว้าง กว้างไกลสุดสายตา ให้ความรู้สึกลี้ลับ น่ากลัว และน่าอัศจรรย์ใจที่แม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำ 2 สี ในระยะทางยาวถึง 6 กิโลเมตร โดยน้ำในแม่น้ำเนโกรมีสีดำคล้ำแต่ใสแจ๋ว ส่วนน้ำในแม่น้ำแอมะซอนเป็นสีแดงขุ่น

หลังจากจอดเรือถ่ายภาพและชื่นชมวิวกันพอสมควร เราก็เดินทางกลับเพื่อไปทานอาหารกลางวันและเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวป่าแอมะซอน รอบ ๆ บริเวณเรือเรามีโลมาโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นระยะ ๆ 2 – 3 ครั้ง แต่คนที่ไม่ค่อยถ่ายภาพจะเห็นได้หลายครั้งกว่า

เราล่องเรือกลับมาทานอาหารกลางวันที่เรือนแพทางเข้าป่า บรรยากาศไม่เลวเลย จัดโต๊ะอาหารเข้ากับบรรยากาศดี อาหารเป็นบุฟเฟต์รสชาติใช้ได้ นักท่องเที่ยวหลายคนมายืนตกปลาที่ริมแพกันอย่างสนุกสนาน

พอท้องอิ่มเราก็พร้อมลุยป่าแล้ว ต้องเรียกล่องป่าถึงจะถูก เพราะป่าแอมะซอนเป็นป่าน้ำ น้ำจะขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนกันยายน ตอนเราไปเป็นช่วงน้ำลด เห็นรอยคราบน้ำที่ต้นไม้ในภาพที่นำมาให้ดู

ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนเป็นเรือลำเล็ก เพราะเรือที่เราใช้ล่องแม่น้ำเมื่อตอนเช้าเป็นเรือ 2 ชั้น ใหญ่ เข้าป่าไม่ได้ เลยต้องจอดไว้ด้านนอกก่อน

เรือเล็กเป็นเหมือนเรือแท็กซี่วิ่งตามคลองบ้านเรา นั่งได้ประมาณ 15 คน เสียดายที่มีหลังคาเลยถ่ายรูปได้ไม่เต็มที่ เราเพลิดเพลินมองซ้ายมองขวากับป่ารอบด้าน ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ บางช่วงเรือก็ลุยเข้าไปในกลุ่มต้นไม้ที่มีหนามเต็มลำต้นเลย เราต้องระวังตัวกันด้วย เผลอไม่ได้เลย

สิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่นที่อยู่ในลุ่มน้ำแอมะซอน

บางช่วงบางตอนเราก็พบกับไม้ดอกสวย ๆ เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยที่ห้อยย้อยมาจากไม้ต้น เราชมต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า แต่มีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ติดตามเรามาตั้งแต่เข้าป่า ไม่ยอมผ่านหรือจากไปสักที นั่นคือ ‘ยุง’ ซึ่งหนาแน่นพอ ๆ กับต้นไม้ในป่า ขนาดทายากันยุงกันแล้วนะ มันก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่เที่ยวกับเราตลอด โชคยังดีที่พวกเราทุกคนฉีดวัคซีนไข้เหลืองกันมาแล้ว

เราล่องเรือกันมาได้พักใหญ่ ไกด์ท้องถิ่นก็จอดเรือในเวิ้งน้ำโล่ง ๆ หน่อยหนึ่ง พวกเราถามว่ามีอะไรหรือเปล่า (นึกว่าเรือขัดข้อง) เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร แค่อยากให้พวกเราลองตกปลาเล่น

เขายื่นเบ็ดที่มีเหยื่อแล้วให้พวกเราลองฝีมือดู ปรากฏว่าแป๊บเดียวก็ตกกันได้ 3 – 4 ตัว

‘ปิรันยาทั้งนั้น’ 

เพื่อนคนหนึ่งกำลังตก แต่ปลายังไม่ติดเบ็ด พอติดแล้วยกขึ้นมากลายเป็น Catfish (ปลาดุก) พวกเราเลยแซวว่าสุดยอดเลย ได้ตัวที่แตกต่าง

จากนั้นไกด์ท้องถิ่นก็แกะปลาปิรันยาตัวหนึ่งออกจากเบ็ดแล้วเปิดปากให้เราดูฟันของมัน โอ้โห! เหมือนใบเลื่อยที่โรงน้ำแข็งเขาใช้เลื่อยน้ำแข็งเลย

เขาดึงต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ข้างเรือยื่นเข้าไปในปากมัน มันงับทีเดียวขาดเป็น 2 ท่อนชั่วพริบตา เราเลยถามเขาว่า ถ้าปิรันยามันชุกชุมขนาดนี้ คนที่นี่เขาอยู่กันอย่างไร เขาบอกเราว่าเวลาเขาลงน้ำ จะทายางไม้ชนิดหนึ่งที่ตัว มันมีกลิ่นที่ปลาพวกนี้จะไม่เข้ามาใกล้

ผู้เขียนถามเขาเรื่องงูอนาคอนดา เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่ามันเป็นงูน้ำชนิดหนึ่ง ไม่ได้ดุร้ายเหมือนอย่างที่เห็นในภาพยนตร์หรอก พอถามเขาต่อว่าเคยเห็นบ่อยไหม เขาบอกว่าไม่บ่อยนัก ผู้เขียนถามถึงขนาดตัวที่เห็น ก็ได้ความว่าลำตัวใหญ่ประมาณ 1.5 ฟุต หรือ 45 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12 – 13 เมตร

เราเลยบอกว่า ถ้างั้นไม่ต้องดุหรอก แค่เห็นตัวก็ไปไม่เป็นแล้ว

กลับสู่โลกภายนอก

พวกเราเพลิดเพลินอยู่ในป่าพอสมควรแล้ว ก็กลับออกมาที่เรือใหญ่เพื่อเดินทางกลับที่พัก ระหว่างทางกลับออกจากป่าเห็นเรือนแพของชาวบ้านที่เขาอยู่อาศัยกัน ดูน่ารัก สวยงามกลมกลืนไปกับบรรยากาศ ผ่านร้านขายของเล็ก ๆ นำสัตว์มารอให้พวกเราไปถ่ายรูปด้วย เห็นตัวสลอทและจระเข้ (ซึ่งเขาเย็บปากมันไว้แล้ว)

ตอนนี้ฟ้ามืด เมฆดำลอยต่ำมาก ฝนเทลงมาแน่ แต่โชคดีที่เราถึงเรือใหญ่พอดี พอขึ้นเรือฝนก็กระหน่ำลงมา คราวนี้ต้องนั่งหลบฝนกันอยู่ชั้นล่าง เพราะมาทั้งลมและฝน

เราถึงที่พัก 6 โมงเย็น มีที่ให้ช้อปของที่ระลึกเล็กน้อยหน้าโรงแรม พวกเราเดินดูตามอัธยาศัย โดยนัดทานอาหารค่ำก่อน 1 ทุ่มตรง หลังจากนั้นก็แยกกันไปพักผ่อน

การเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวในเมืองมาเนาส์สิ้นสุดลง สำหรับผู้ที่ต้องการมาท่องเที่ยวป่าแอมะซอน เมืองแห่งนี้แหละคือจุดเริ่มต้นที่คุณจะได้พบความมหัศจรรย์ของผืนป่าและลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่สำหรับผู้เขียน คงต้องเตรียมตัวเดินทางต่อ เพราะเป้าหมายข้างหน้าที่เราจะไปคือเมือง ‘ริโอเดจาเนโร’ ที่ซึ่งรวมความสวยงาม สีสัน และความมีชีวิตชีวาไว้รอต้องรับนักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่

ความเถลไถลของกระเป๋าเดินทาง

การเดินทางครั้งนี้นอกจากได้สาระประโยชน์ ได้รับความสุข-สนุกสนาน กับสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจหลาย ๆ อย่าง แต่เรายังมีความวิตกกังวล 1 เรื่องที่จะบอกกับท่านว่า เมื่อพวกเรา 9 คนเดินทางมาถึงเมืองมาเนาส์ กระเป๋าเดินทางของเราไม่มาด้วย 4 ใบ และ 1 ใน 4 ใบคือของผู้เขียน คาดว่าน่าจะเกิดการผิดพลาดตอนเปลี่ยนเครื่องที่ลอนดอน 

แต่อีก 2 วันผ่านไป เพื่อนทั้ง 3 คนก็ได้รับกระเป๋า ยกเว้นผู้เขียน เลยต้องยืมของเพื่อนใส่ไปก่อน พอมาถึงเมืองริโอเดจาเนโรก็มีโอกาสหาซื้อเสื้อผ้าใส่ได้บ้าง เพราะเป็นเมืองใหญ่ที่มีห้างสรรพสินค้า

เพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ผู้เขียนเลยต้องไปยืนรออยู่ในห้องลองเสื้อ พวกเพื่อน ๆ ก็แยกย้ายไปเลือกเสื้อผ้า แล้วนำมาหย่อนให้ ผู้เขียนก็มีหน้าที่คอยลองสวมใส่ ตัวไหนใส่ได้ก็เก็บไว้ ตัวไหนใส่ไม่ได้ก็ส่งคืนไป พอได้ใช้สัก 2 – 3 วัน

ผ่านมา 5 – 6 วันแล้ว ผู้เขียนเริ่มจะถอดใจ เพราะไม่ได้ใช้ของจำเป็นหลายอย่าง แต่ก็ได้รับกำลังใจจากเพื่อนร่วมทาง โดยเฉพาะ คุณติ๊ง-ภภพพล จันทร์วัฒนกุล รุ่นน้องจากมหาวิทยาลัยศิลปากร อาจารย์พิเศษสอนวิชามัคคุเทศก์ และผู้จัดทริปเดินทางมืออาชีพ ซึ่งช่วยติดตามเรื่องกระเป๋าใบที่เหลือมาตลอดทาง

ครั้งสุดท้ายก็มารู้ว่ากระเป๋าใบนั้นมาถึงเมืองมาเนาส์แล้ว คุณติ๊งเลยขอให้ส่งไปเมืองข้างหน้าเพื่อรอเรา ไม่ต้องตามมา และวันที่เราจะเดินทางไปอิกัวซู อยู่ ๆ เครื่องบินก็ดีเลย์ 7 ชั่วโมง เราบินไปถึงเมืองอิกัวซูกลางดึก และพบกระเป๋าใบสุดท้าย เฮ้อ! โล่งอกไปที ไม่งั้นคงต้องไปตามถึงประเทศอาร์เจนตินา 

ต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ผู้ร่วมเดินทางทุกคนที่มีน้ำใจและเอื้ออาทรต่อกัน ทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางแห่งความทรงจำที่มีความสุข

ของฝากท้ายเรื่อง

ภาพเขียนสีน้ำมันภาพนี้ ผู้เขียนเขียนขึ้นจากความประทับใจที่ได้ไปเยี่ยมเยือนเมืองมาเนาส์ในครั้งนั้น

แม่น้ำ 3 สายที่ยาวที่สุดในโลก

แม่น้ำแอมะซอน ประเทศบราซิล ยาว 6,570 กิโลเมตร ยาวเป็นอันดับที่ 2 และอันดับที่ 1 คือแม่น้ำไนล์ จากประเทศอียิปต์ 6,995 กิโลเมตร และอันดับที่ 3 คือแม่น้ำแยงซีเกียง 6,300 กิโลเมตร

5 ประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก

หนึ่ง ประเทศรัสเซีย สอง ประเทศแคนาดา สาม ประเทศสหรัฐอเมริกา สี่ ประเทศจีน และห้า ประเทศบราซิล

ถ้าเดินทางไกลหรือไปต่างประเทศ วัยอิสระควรเตรียมตัวอย่างไร

  1. ใจที่สนใจและต้องการไปจริง ๆ
  2. ควรประเมินสุขภาพและความพร้อมของตัวเองก่อน
  3. ควรศึกษาและเรียนรู้สถานที่ที่จะไปไว้บ้าง การเดินทางท่องเที่ยวจะมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
  4. ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่กระชับและให้ความสะดวกสบายในทุกอิริยาบถ (ไม่รุ่มร่ามและรัดตึงเกินไป)
  5. รองเท้าที่ใส่ควรเดินสะดวกสบายและมั่นคง ไม่ใช่รองเท้าแตะ รองเท้าสาน และรองเท้าบอบบาง เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ สะดุด หรือเสียการทรงตัวได้ง่าย
  6. การเดินทางขึ้นเครื่องนั้น ควรเตรียมกระเป๋า 2 ชนิด ใบใหญ่โหลดขึ้นเครื่องและใบเล็กถือขึ้นเครื่อง ควรจัดสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ระหว่างการเดินทางในใบเล็ก ถ้าเดินทางต่อเครื่องหลายแห่ง อาจเอาเสื้อผ้าสักชุดใส่ไว้ด้วยก็ได้ เพราะบางครั้งอาจมีอุบัติเหตุที่กระเป๋าใหญ่เราโหลดขึ้นเครื่องมาไม่ทัน เราอาจจะไม่มีใช้ 1 – 2 วันหรือมากกว่านั้น (ตัวอย่างก็มีอยู่แล้วนะ)
  7. ถ้าสถานที่ที่เราไปหนาว-หนาวมาก ควรใส่เสื้อหนาวให้อุ่นก่อนออกไปเผชิญกับความหนาว เพราะถ้าตัวเราหนาวแล้วค่อยใส่เสื้อผ้ากันหนาว คงทำให้เราหายหนาวได้ยาก
  8. ในวัยอิสระ นอกจากต้องการเดินทางอย่างสะดวกสบายแล้ว คงไม่ไปลุยและเดินทางแบบแบ็กแพ็ก ดังนั้นต้องพึ่งบริษัทนำเที่ยวที่เรารู้จักและไว้วางใจ เพราะเขาให้รายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ ในการเดินทางกับเราได้ หรือไปกับกลุ่มหรือบุคคลที่ชำนาญการในการเดินทางมืออาชีพ

The Cloud Golden Week : Happy Young Old คือแคมเปญสนุก ๆ ที่ The Cloud จับมือกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดรับวัยอิสระ อายุ 45 ปีขึ้นไป ทั้งนักเขียน ช่างภาพ และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ มารวมพลัง ‘เล่าเรื่อง’ ผ่านสื่อดิจิทัลบนก้อนเมฆเป็นเวลา 1 สัปดาห์ 

ภายใต้ธีม ‘การเตรียมตัวเข้าสู่วัยอิสระ’ และ ‘การดำเนินชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข’ เปรียบเสมือนคู่มือเล่มน้อย ๆ ที่อัดแน่นด้วยคำแนะนำ การรับมือ การใช้ชีวิตก่อน-หลังเกษียณในหลากหลายมิติ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘การท่องเที่ยว’ เราจึงชวนวัยอิสระเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวในวัยเกษียณ ซึ่งวัยอิสระ (ผู้เขียน) เลือกถ่ายทอดบันทึกการเดินทางเมื่อครั้งไปเยือนป่าแอมะซอนในวัยหลังเกษียณ นอกจากสนุก น่าติดตาม และลุ้นระทึก ยังสอดแทรกแนวทางการเตรียมตัวท่องเที่ยวฉบับคนวัยเกษียณเอาไว้ด้วย

ชวนเตรียมพร้อมรับมือเกษียณ ปรับความคิดและเข้าใจวิธีการบริหารเงินให้เพียงพอ เพื่อชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในแคมเปญ ‘Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้’ ทาง setga.page.link/DxmNXH1jhxFsNtuj9

Writer & Photographer

พรรณเพ็ญ ฉายปรีชา

พรรณเพ็ญ ฉายปรีชา

นักออกแบบตกแต่งภายในและจัดสวน ผู้มี Bolo Tie เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต