“I can never decide whether Paris is more beautiful by day or by night”
จำได้อย่างแม่นยำว่าในช่วงก่อนไปปารีส ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดูวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ชวนฝันหวานถือว่าความปารีสนั่นก็คือ Midnight in Paris ภาพยนตร์ลำดับที่สี่สิบกว่า (!!) จากฝีมือผู้กำกับและเขียนบทเฒ่าแสนซิ่ง Woody Allen ปารีส อันอบอวนไปด้วยกลิ่นแห่งศิลปะ ปรัชญา และความฟุ้งหอมหวานชวนพร่ำเพ้อของปารีสในยุค 20
Midnight in Paris เป็นหนังตลกกึ่งแฟนตาซี เล่าถึงหนุ่มนักเขียนอเมริกัน ‘Gil’ (Owen Wilson) ที่กำลังว้าวุ่นใจทั้งในเรื่องชีวิตคู่และชีวิตงาน นั่งมึนๆ อยู่ดีๆ ตอนเที่ยงคืน ดันจับพลัดจับผลูวาร์ปข้ามยุคสมัยไปเจอปารีสในช่วงยุค 20 เดินชนบ่ากับนักคิดนักเขียนและศิลปินชื่อดัง
นอกเหนือจากความตลกขบขันแบบแฟนตาซีแล้ว ความน่าหลงใหลชวนติดตามคือความสวยงามของเมืองปารีสในมุมต่างๆ จนถึงขั้นว่า ณ ช่วงเวลานึงเป็นเมืองที่บุคคลมีชื่อเสียงในวงการวรรณกรรม ปรัชญา และศิลปะ ต่างต้องมารวมตัวกันที่นี่ เพราะอะไรหนอที่ทำให้เขาเหล่านั้น (และลุงวูดี้) หลงใหลในปารีส โดยไม่หวั่นกลิ่นฉี่และขี้หมา (เพราะเยอะจริงๆ นะเมืองนี้) ปัดชุดสูท เตรียมชุดเดรสแบบยุค 20 ของคุณให้พร้อม แล้วออกไปเดินเล่นเมืองปารีสกับลุงวูดี้ อัลเลน กัน!
Marché aux Puces de Saint-Ouen
ถ้าคุณติดใจบรรยากาศตลาดนัดดูหรูหราและต้องการตามหาแผ่นเสียงเก่าของ Cole Porter พบปะแม่ค้าสวยชิคแบบ ‘Gabrielle’ (Léa Seydoux) ท่ามกลางบรรยากาศของเก่าสินค้าวินเทจแบบในหนัง ขอให้คุณจงพุ่งตัวให้สุดแล้วหยุดที่ Marché aux Puces de Saint-Ouen
ตลาดของเก่าแห่งนี้อยู่ในละแวก Porte de Clignancourt สุดสายปลายทางรถไฟหมายเลข 4 ซึ่งถือว่าออกมาจากแหล่งท่องเที่ยวหลักพอสมควรเลยทีเดียว สำหรับมือใหม่นักท่องเที่ยวเมืองปารีส เมื่อขึ้นมาจากสถานีรถไฟ Porte de Clignancourt ก็อย่าเพิ่งตกใจกับจำนวนพี่ๆ ชาวต่างชาติร่างยักษ์ที่ยืนด้อมๆ มองๆ แลดูมีพิรุธ ซึ่งคอยเร้าแต่จะขาย iPhone ปลอมจนคุณอาจเข้าใจผิดนึกว่าขึ้นผิดสถานีก็เป็นได้ แต่อย่ากังวลไป เพราะคุณมาถูกแล้ว จงมุ่งมั่นตั้งใจเดินฝ่าดงตลาดนัดของปลอมมาอย่างมั่นคง แล้วคุณจะได้พบกับตลาดที่ได้ชื่อว่าเป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมกว่า 14 โซนที่มีตั้งแต่ผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังก้องโลก เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ และของสะสมยิบย่อยอีกมากมาย เรียกว่าเป็นขุมทรัพย์ของนักสะสมเงินหนาก็ว่าได้
ท่ามกลาง 14 โซนที่ซ่อนตัวอยู่นี้ ถ้าเป้าหมายของคุณคือการอยากมาเห็นโลเคชัน Midnight in Paris จงเดินหา Marché Paul Bert ในถนน Rue des Rosiers ซึ่งไม่ไกลจากถนนใหญ่นัก ตลาดนัด Paul Bert จะเน้นไปที่เฟอร์นิเจอร์เก่าราคาสูงปรี๊ด หลากหลายชิ้นที่อายุอานามเข้าขั้นคุณปู่คุณย่า สำหรับโลเคชันเป๊ะๆ ก็อาจจะต้องเดินวนกันสักนิด เพราะมีตรอกซอกซอยนิดหน่อย แต่แนะให้สังเกตสามแยกที่มีห้องน้ำและนาฬิกายักษ์ใหญ่ นั่นแหละ…คุณมาถึงเป้าหมายแล้วค่ะ!
(ข้อแนะนำเพิ่มความฟินส่วนตัว ปกติของเก่าอายุมากขนาดนี้มักจะถูกตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของชีวิตในอดีต แต่มาตั้งขายแบบนี้ ความสนุกคือเราได้ ‘สัมผัส’ ความเก่าด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่า คุณสามารถทดลองนั่งเก้าอี้มูลค่าหลักแสนได้ จับนาฬิกายุคหลุยส์ ชวนมโนเหมือนได้สวมบทเป็นเศรษฐีเก่าได้สนุกเลยเชียวคุณเอ๋ย
หรือถ้าเบื่อที่จะซื้อของฝากเป็นหอไอเฟลจิ๋วกับพวงกุญแจแล้ว ที่ Marché aux Puces ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่คุณจะได้ของฝากที่ไม่เหมือนใครกลับบ้าน คนชอบค้นจะชอบมากเพราะมีแผ่นเสียงเพลงเก่าๆ ราคาถูกให้เลือกสรร หรือชอบดูภาพประวัติศาสตร์อย่างแผนที่โลกเวอร์ชันเก่าประกอบภาษาฝรั่งเศสและภาพถ่ายย้อนยุค ที่นี่ก็มีให้เลือกสรรและสะสมในราคาไม่แพง)
Crémerie-Restaurant Polidor
จริงอยู่ว่าปารีสนั้นรายล้อมไปด้วยร้านอาหารเก่าแก่มากมายที่โดดเด่นทั้งในเรื่องราวและรสชาติ (และราคาด้วยแหละนะ เอาจริงๆ แล้ว..) แต่สำหรับแฟนๆ หนังเรื่อง Midnight in Paris นั้นไม่ต้องเสียเวลาหาร้านอื่นกินให้ยาก พักก่อนร้านมิชลินสตาร์ทั้งหลาย เพราะถ้าคุณอยากนั่งในร้านที่ Ernest Hemingway นั่งในหนัง ก็ต้องเป็นที่ร้าน Crémerie-Restaurant Polidor เท่านั้น
สำหรับเราแล้ว เสน่ห์ที่สวยงามที่สุดของปารีสคือความเก่าที่ถูกเชิดชูในทุกมุมเมือง ร้าน Polidor นี่ก็เช่นกัน กว่าร้อยปีที่ร้านนี้เปิดมา (เริ่มตั้งแต่ 1845) Polidor คงความ ‘เก๋า’ แก่ไว้อย่างสวยงาม จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมลุงวูดี้ อัลเลน ถึงเลือกร้านนี้เป็นหนึ่งในโลเคชันหนังย้อนยุค แต่นอกเหนือจากความเก่าแบบในหนังแล้ว แขกเหรื่อที่แวะเวียนมาร้านนี้ในช่วงยุครุ่งเรืองก็เก๋ไก๋ไม่ต่างกับในหนังเลย ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน Ernest Hemingway (ตัวจริงๆ นะ ไม่ใช่นักแสดง) James Joyce และ Henry Miller เรียกได้ว่าต่ิงสายงานวรรณกรรมชั้นครูก็ไม่ควรพลาดร้านนี้ด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากความคลาสสิกในบรรยากาศร้านแล้ว Polidor ก็เสิร์ฟอาหารพื้นบ้านฝรั่งเศสรสชาติดั้งเดิมฝีมือมาตรฐานมาตั้งแต่เปิดร้าน โดยเมนูยอดฮิตติดท็อปห้ามีตั้งแต่ Bouef Bourguignon (สตูว์เนื้อ) Blanquette de Veau à L’ancienne (เนื้อลูกวัวซอสขาว) และ Tartare Steak (สเต๊กเนื้อดิบ) ในราคากันเองไม่สูงกว่ามาตรฐานความปารีเซียง
Pont Alexandre III
สะพานข้ามแม่น้ำ Seine นั้นมีอยู่ทั่วเมืองปารีส แต่จะให้สวยท่ามกลางฝนพรำปิดท้ายวันฟินาเล่อย่างสวยงามเหมือนใน Midnight in Paris หาได้ที่ Pont Alexandre III ซึ่งอยู่ติดกับ Grand Palais ในกลางเมือง
สำหรับสะพาน Pont Alexandre III นี้โผล่มาในช่วงตอนจบที่… เอิ่ม… เราจะไม่สปอยล์สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู (แต่อยากสปอยล์แล้ว ช่วยๆไปดูกันหน่อยได้มั้ย!) สะพานสุดอลังนี้เชื่อมเมืองระหว่างฝั่งเหนือ (Rive Droit) และใต้ (Rive Gauche) โดยข้ามแม่น้ำ Seine เชื่อมระหว่างฝั่ง Champs-Élysées และ Eiffel Tower และชื่อสะพานนี้ก็มาจากสมเด็จพระจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย เพื่อเป็นการฉลองมิตรไมตรีที่ดีระหว่างสองประเทศในปี ค.ศ. 1892
ด้วยความที่พาดกลางเมืองในระยะที่ไม่ไกลจากหอไอเฟลมากนัก สะพานนี้จึงเป็นหนึ่งในจุดชมหอไอเฟลที่สวยที่สุด ทั้งในประวัติศาสตร์ของตัวสะพาน การเดินทางอันสะดวกสบาย (มาจากสถานีรถไฟ Invalides เพียงจึ๋งเดียว) และการตกแต่งอันหรูหราเกินหน้าเกินตาสะพานอื่นๆ Pont Alexandre III จึงคู่ควรแก่การเป็นแลนด์มาร์กหยุดชมหอไอเฟลยามไฟกะพริบที่สุด
ไม่ว่าคุณจะชอบ Midnight in Paris หรือไม่ การเดินทางตามรอยหนังเรื่องนี้มีความหมายมากกว่าการกรี๊ดหนังทั่วๆ ไป แต่ยังเป็นการได้ชื่นชมสัมผัสอดีตของฝรั่งเศสอีกด้วย ความสนุกของเมืองปารีสต้องยกให้การอนุรักษ์สถานที่ต่างๆ และคงไว้ซึ่งรูปโฉมเดิม ไม่ว่าคุณจะเดินไปมุมไหนของเมือง ก็จะหลงเหลือร่องรอยของประวัติศาสตร์กาลเวลาที่ถูกบูรณะไว้อย่างดี เพราะ ‘ศิลปะ’ และ ‘วัฒนธรรม’ คือสิ่งที่ฝรั่งเศสเชิดชูให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เดชะบุญสายติ่งยิ่งนักที่เรายังได้สัมผัสความมหัศจรรย์ข้ามเวลาเหล่านี้จนชวนเพ้อฝันตามภาพยนตร์และเรื่องราวตามประวัติศาสตร์ กระทั่งเป็นความทรงจำสุดประทับใจไม่รู้ลืม