ชาร์ลี แชปลิน คือนักแสดงตลกชื่อก้องโลกผู้โด่งดังจากคาแรกเตอร์บนจอเงินอันเป็นเอกลักษณ์
หลายคนอาจพอรู้ประวัติว่า เขาคือชาวอังกฤษผู้ไปมีชื่อเสียงที่สหรัฐอเมริกา
แต่บางคนอาจยังไม่รู้ว่า ในช่วงเกือบ 25 ปีสุดท้ายของชีวิต ศิลปินผู้เป็นที่จดจำจากภาพยนตร์อย่าง Modern Times และ The Great Dictator ไม่ได้อยู่ในบ้านเกิดหรือแม้แต่อเมริกา เขาพำนักอยู่ที่ Manoir de Ban คฤหาสน์ในเมือง Vevey ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเสียชีวิตที่นั่นในเช้าวันคริสต์มาสเมื่อ 40 ปีก่อน
ในเวลาเกือบ 25 ปี แชปลินสร้างสรรค์ผลงานไปพร้อมกับสร้างชีวิตครอบครัวในบ้านหลังนั้น
หากมองหาสถานที่เหมาะแก่การบอกเล่าเรื่องของเขา แน่นอน-Manoir de Ban คือตัวเลือกแสนพิเศษ
หลังใช้เวลาเตรียมการนานนับ 10 ปี คฤหาสน์หลังงามที่โอบล้อมด้วยสวนกว้างได้แปลงโฉมเป็น Chaplin’s World พิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ที่บอกเล่าชีวิตและการทำงานของแชปลิน โดยมุ่งมั่นเก็บร่องรอยความรู้สึกและอารมณ์ขันของเขาไว้ พิพิธภัณฑ์นี้เปิดประตูต้อนรับคนรักชาร์ลี แชปลิน จากทั่วโลกถึงราว 300,000 คนต่อปี
ต้นเดือนธันวาคม ปี 2017 ฉันได้ไปเยือนบ้านหลังนั้น การได้ไปเยี่ยมบ้านศิลปินผู้เป็นตำนานนับว่าน่าตื่นเต้นแล้ว แต่ทริปซึ่งมีผู้สนับสนุนหลักคือการรถไฟยุงเฟราและ Chaplin’s World เตรียมไฮไลต์เด็ดกว่านั้นไว้
คนที่มาต้อนรับและพาฉันเยี่ยมชมบ้านคือ Eugene Anthony Chaplin
ใช่แล้ว-เขาคือลูกชายของแชปลิน เป็นลูกคนแรกที่เกิดในบ้านหลังนี้และเป็นผู้อาศัยคนสุดท้ายของที่นี่
การชมบ้านหลังนี้กับยูจีนจึงไม่ใช่แค่การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรือบ้านของศิลปินดัง แต่คือการก้าวไปสัมผัส ‘บ้าน’ เต็มความหมายที่อบอวลด้วยความทรงจำของครอบครัว
ช่วงที่ฉันไปใกล้คริสต์มาสเต็มแก่ เมื่อยูจีนเปิดประตูบ้านพาเข้าไป เราจึงพบต้นสนเขียวสดที่โถงด้านหน้า
ผมเคยแขวนดาวบนยอดต้นคริสต์มาสจากตรงนี้-ยูจีนหมายถึงบันไดวนที่โค้งขึ้นสู่ชั้น 2
หลังจากนั้น เขาก็พาเราไปรู้จักแชปลินจากเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในห้องต่างๆ คนดูอย่างเราคงจดจำแชปลินได้จากผลงานบนจอเงิน แต่สิ่งที่จัดแสดงในบ้านหลังนี้ และความทรงจำถึง ‘พ่อ’ ของยูจีนช่วยฉายภาพอีกด้านที่ไม่เคยรู้
ว่ากันว่าชีวิตของตลกมักไม่ตลก ที่นอกจอ แชปลินคือชายผู้มีชีวิตวัยเด็กอันยากลำบาก ยูจีนพาเราไปที่ห้องสมุด ชวนให้ดูคอลเลกชันหนังสือสุดคลาสสิกอย่างงานของเชกสเปียร์และ Guy de Maupassant แชปลินโปรดปรานหนังสือมาก เพราะเขาเติบโตมาพร้อมความยากจนและขวนขวายหาความรู้เองด้วยการอ่านหนังสือ
นอกจากนั้น เขายังเป็นคนทำงานหนัก จริงจัง และเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ ยูจีนเล่าว่าเมื่อลูกๆ ไปโรงเรียน บ้านกลับมาเงียบสงบ แชปลินจะเริ่มสร้างสรรค์งานทั้งการเขียนและการแต่งเพลง (แชปลินเขียนโน้ตเองไม่ได้ แต่ได้ความช่วยเหลือจากภรรยาและผู้ช่วยจนประพันธ์เพลงสำเร็จ) สิ่งที่เขาสอนลูกเสมอคือ ไม่ว่าจะทำอะไร จงทำให้ดีที่สุด เพราะเชื่อว่าความทุ่มเทจะทำให้เราได้สิ่งที่ต้องการ
ไม่น่าแปลกที่แชปลินจะโด่งดังและฝากผลงานน่าจดจำไว้ให้โลก ยูจีนบอกว่า แชปลินบันทึกความทรงจำของยุคสมัยเอาไว้ในภาพยนตร์ เช่น Modern Times คือบันทึกจากช่วงเวลาของ The Great Depression ขณะเดียวกัน สิ่งที่สร้างก็พาแชปลินเดินทางไปพบพานคนมากมาย ที่ห้องหนึ่งของบ้านมีการจัดแสดงบุคคลผู้เคยมีทางชีวิตพาดผ่านกับแชปลิน ตั้งแต่ไอน์สไตน์จนถึงผู้นำอย่างมหาตมะ คานธี
อย่างไรก็ตาม ชีวิตพลิกผันได้เสมอ ในบ้านหลังนี้มีห้องที่เล่าเรื่องเหตุผลที่แชปลินผู้รุ่งเรืองต้องมาใช้ชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์
ไม่ใช่การหาที่สวยสงบเพื่อหย่อนใจ แต่เพราะเขาต้องลี้ภัยจากอเมริกา
หลังสร้างหนังล้อเลียนการเมืองอเมริกันอย่าง The Great Dictator ยูจีนบอกว่า พ่อของเขาถูก ‘ล่าแม่มด’ กล่าวหาว่าเป็นพวกสนับสนุนคอมมิวนิสต์ เรื่องเลยเถิดไปถึงขั้นที่มีเด็กสาวแปลกหน้าโผล่มา และประกาศว่า เธอท้องกับเขา
ท้ายที่สุด แชปลินต้องลี้ภัยมาที่นี่พร้อมภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรก เธอผลักดันให้เขาหาบ้านเป็นหลักแหล่ง จนในที่สุดก็ได้พบกับ Manoir de Ban
ที่นี่เอง ชีวิตของแชปลินใน 25 ปีสุดท้ายจึงสงบสุข ยูจีนเล่าว่า พ่อของเขาชอบเดินเล่นริมทะเลสาบแสนสวยใกล้บ้าน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชนชาวสวิส (แม้เขาพูดฝรั่งเศสไม่ค่อยได้ก็เถอะ)
ในเวลาเดียวกัน แชปลินก็กลายเป็น ‘พ่อ’ ของลูกๆ ขณะที่แม่ของยูจีนช่วยดูแลภาพรวมทั้งหมดของบ้านให้ราบรื่น แชปลินก็ดูแลลูกในแบบของเขา หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการอบรมระเบียบวินัย
ยูจีนพาเรามาที่ห้องอาหารอันสวยงาม แล้วเล่าว่าทุกคนต้องมากินอาหารเย็นร่วมกันที่นี่ และต้องทำตัวดี จะลุกจากโต๊ะก็ต้องขออนุญาต เพราะแชปลินเชื่อว่าถ้าลูกมีความประพฤติดี ย่อมได้รับความเคารพชื่นชมจากคนอื่น
หลังสัมผัสมุมชีวิตส่วนตัวของแชปลินจนเต็มอิ่ม ลูกชายของเขาก็พาเราออกจากตัวบ้าน มายังอีกส่วนที่เรียกว่า The Studio ที่นี่พาเราดำดิ่งเข้าไปในโลกหนังเงียบของแชปลิน ผู้เข้าชมจะได้ดูผลงานของนักแสดงดังคนนี้บนจอยักษ์ ทบทวนความจำถึงฉากคุ้นตา และเห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างไว้ แล้วเมื่อหนังจบ ก็จะพบเซอร์ไพรส์ที่พาเราก้าวไปเล่นสนุกและเรียนรู้สิ่งที่แชปลินสร้างสรรค์ไว้แก่โลก
(เล่ามากกว่านี้ไม่ได้เดี๋ยวหมดสนุก ต้องลองไปเองนะ)
ส่วนสุดท้ายของ Chaplin’s World คือ The Park หรือสวนสวยที่โอบกอดคฤหาสน์ไว้ ในวันที่ฉันไปเยือน มีการจัดแสดงแสงสีสวยงามมาก ที่เด็ดกว่านั้นคือมีอีเวนต์ ‘Reach for The Sky with Chaplin’ ซึ่งมีบอลลูนแชปลินยักษ์ผูกไว้กลางสวน เปิดโอกาสให้เราขึ้นไปชมทิวทัศน์เหนือตัวบ้าน
เป็นการปิดท้ายที่งดงามสำหรับผู้ชม
หากพูดในแง่พิพิธภัณฑ์ บอกได้เลยว่า Chaplin’s World เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์โดดเด่นที่เล่าเรื่องสนุก สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับแชปลินหรือไม่ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ฉันได้มากกว่านั้นคือการค่อยๆ สัมผัสที่นี่ไปพร้อมยูจีน เดินตามเขาเข้าห้องต่างๆ นั่งดูหนังด้วยกัน ลูกชายของแชปลินคือสะพานแสนพิเศษที่เชื่อมโยงฉันไปหานักแสดงตลกคนดัง ทำให้ฉันได้รู้จักแชปลินที่ด้านนอกจอ
นักแสดงในภาพขาวดำคนนั้นกลายเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ เป็นชายผู้ทุ่มเทในโลกภาพยนตร์ เป็นสามีของภรรยาและพ่อของลูกๆ ในบ้าน
แม้ฉันจะลาจากยูจีนและ Chaplin’s World มาแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือแรงบันดาลใจ และมุมมองที่เปลี่ยนไปเมื่อสบตากับชาร์ลี แชปลิน ในจออีกครั้ง
www.chaplinsworld.com
ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’
ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ