โอ–ธีรวัฒน์ เฑียรฆประสิทธิ์ เป็นคนชอบทำงาน (ค่อนจะไปทางบ้างานซะด้วย) มากพอๆ กับเป็นคนชอบอยู่บ้าน เขาจึงใช้เวลาอยู่บ้านทำงานเท่าๆ กับทำงานอยู่บ้าน จนวันหนึ่งที่บ้านของเขามีความจำเป็นต้องรีโนเวตครั้งใหญ่ โอและทุกคนในครอบครัวต้องย้ายออกจากบ้านชั่วคราว โดยที่เมื่อกลับมาอยู่อีกครั้งในวันหน้า ห้องทำงานที่คุ้นเคยมา 10 ปี นับจากวันที่เขาตัดสินใจออกจากงานประจำมานั่งทำงานที่บ้าน ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
โอกาสนี้ จึงเป็นครั้งสุดท้ายที่โอจะได้บอกเล่าและบอกลาพื้นที่ซึ่งทำให้อาชีพ นักวาดภาพประกอบ ของเขานั้นโอชา
โอภาปราศรัยกันเถอะ
โอโซน
“ผมว่าบ้านคือธรรมชาติของตัวเรา คือที่ที่เราอยู่ได้อย่างเป็นตัวเองที่สุด ธรรมชาติของผมคือความไม่วุ่นวาย ไม่วุ่นวายแต่รกนะ ถึงผมจะชอบศิลปะ ชอบสิ่งสวยงาม แต่ผมก็ไม่อยากต้องตกแต่งอะไรมาก ผมจะทำแบบที่ผมอยู่สบาย ถ้าจะต้องมีประติมากรรมอะไรในห้อง แล้วสุดท้ายมีฝุ่นมากมายก็ไม่เอา คือขอสวยและอยู่สบาย เพื่อที่จะอยู่กับมันอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะว่าโตแล้วด้วย กระดูกกระเดี้ยวมันก็ไม่เหมือนเดิม อย่างโต๊ะทำงานแต่ก่อนจะอะไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ต่อไปก็ต้องให้เอื้อกับร่างกายละ จะก้มมากไปก็ไม่เอาแล้ว”
โอชะ
“ของที่จะอยู่ในพื้นที่ของผมต้องเป็นของที่ตกไม่แตก ไม่ต้องรักษามาก ถ้าอะไรที่ตกแตกหรือพังหรือฝุ่นจับ ผมจะพยายามเลี่ยงหรือเก็บใส่กล่องใส่ตู้ให้หมด และถ้าจะเป็นรูปวาด มันต้องสวย สวยผ่านผม ผมถึงจะยอมให้มาอยู่ในนี้ได้ ถ้าเป็นรูปถ่ายผมค่อนข้างปล่อย แต่ถ้าเป็นรูปวาดนี่ไม่ได้เลย เพราะว่าผมเป็นคนวาดรูป เราก็อยากเลือก อย่างชั้นหนังสือ หนังสือที่จะหันโชว์ออกมาก็ต้องเป็นเล่มที่มีรูปวาดที่ผมชอบที่สุด สันบ้างปกบ้าง อย่างหนังสือรวมงานวาดของคนที่ผมชอบมากๆ ผมก็หันหน้าโชว์ออกมาเลย เพื่อให้รู้สึกว่ามันคือที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เราชอบ”
โอพลาด
“ทีแรกก็ไม่คิดว่าของจะเยอะ แต่พอรู้ตัวว่าชอบหนังสือเก่าก็ฉิบหายเลยคราวนี้ เพราะว่าหนังสือเก่าซื้อได้แบบไม่ค่อยคิดเท่าไหร่ เพราะหนังสือเก่ามันถูก แล้วมันก็สวยด้วย 3 ชั้นล่างในชั้นหนังสือเป็นหนังสือเก่าทั้งหมด ส่วนช่องบนๆ จะเป็นหนังสือการ์ตูน เอกสารต่างๆ และก็พวกงานของผม เอ่อ…ผมถือโอกาสนี้ขอโทษตู้หนังสือที่รับบทหนักที่สุด ตู้คงเหนื่อยมาก เพราะตอนผมเอาหนังสือออกมาจากตู้ ชั้นตู้ที่แอ่นๆ ก็เด้งขึ้นมาอย่างมีความสุขเลยน่ะ”
โอรส
“ผมไม่เคยคิดจะย้ายออกไปอยู่ไหนคนเดียวนะ เคยมีแค่รู้สึกว่าไม่เคยใช้ชีวิตเองเท่าไหร่ อยู่กับพ่อแม่พี่น้องมาโดยตลอด แต่คิดอีกด้านหนึ่ง ก็มาจนขนาดนี้แล้ว พ่อแม่ก็แก่เฒ่า ต้องการคนดูแล ผมเลยคิดว่าผมอยู่กับพ่อแม่ไปเรื่อยๆ ดีกว่า นี่เป็นข้ออ้างหรือเหตุผลเหรอ ผมว่าเป็นเหตุผลนะ แต่ก่อนที่ไม่อยากออกไปอยู่คนเดียวอาจจะเป็นเพราะกลัวบ้าง แต่ตอนนี้ผมกลัวตัวเองลำบากน้อยกว่ากลัวพ่อแม่ลำบาก เขาก็แก่ลงกันทุกวัน ก็อยากอยู่กับเขาน่ะ”
โอวาท
“พื้นที่แบบนี้มีความสำคัญยังไงกับผมอีกเหรอ อืม…เดี๋ยวนะ ขอพูดให้มันเท่หน่อย เพราะว่าผมเป็นคนชอบทำงานมั้ง ชีวิตมันบ้างาน แล้วก็ชอบอยู่บ้าน ก็เลยคิดว่าบ้านมันคงเป็นที่ที่เราทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าเปรียบเทียบกับนักมวยนะ ถ้าสนามมวยหรือเวทีมวยเป็นที่ต่อสู้ของเขา บ้านก็น่าจะเป็นเหมือนเวทีมวยสำหรับผม แค่นึกถึงว่าบางทีเรานั่งทำงานทั้งวัน บางทีเราคุยเรื่องงานกับลูกค้า ส่งเมลงาน แชทกับลูกค้า คุยฉิบหายเหนื่อยฉิบหาย แต่พอทุกอย่างจบ ก็เอ้าหยุด เราก็ยังอยู่ในที่ที่ทำงานเหมือนเดิมนะ แต่ตอนนั้นน่ะเรากลับไปอยู่ที่มุมแล้ว เหมือนนักมวยหมดยก เดินเข้ามุมมาพัก มันเป็นสังเวียนของเรา ใช้ทั้งต่อสู้และพักยก”
โอฬาร
“บ้านใหม่ก็จะรีโนเวตให้ใหญ่ขึ้นเกือบเท่าหนึ่ง ที่ใหญ่ขึ้นไม่ใช่เพราะอะไรเลย เพราะว่าเคลียร์นู่นเคลียร์นี่ออกไป ที่ที่มันไม่จำเป็นก็ทำให้จำเป็นซะ พ่อแม่แก่แล้วก็ให้ย้ายลงมาอยู่ข้างล่าง แม่ได้มาอยู่ใกล้สวน จะได้ชมสวนได้สะดวก มีครัวไทยให้แม่ได้ทำกับข้าวยากๆ มีครัวฝรั่งให้ลูกๆ ได้ทำอาหารง่ายๆ แล้วก็จะมีระเบียงไว้ชมสวน ไว้กินปิ้งย่างนอกบ้านได้ ชั้นบนก็เป็นของลูก 3 คน”
โอเค
“สังเวียนในบ้านใหม่ก็ต้องมีอยู่แล้ว เพราะผมทำงานอยู่บ้าน อยู่ตำแหน่งเดิมเลย แต่จะโตขึ้นตามอายุผม เข้าที่เข้าทางเป็นสัดเป็นส่วนขึ้น ชีวิตก็ด้วยแหละ”