แรกเริ่มเดิมที โจ๊ก-จักษ์ ลัดพลี ตั้งใจสร้างบ้านหลังนี้ให้เป็นบ้านพักอาศัยสำหรับตัวเองและคู่ชีวิต หนึ่ง-ศุภรดา พิมพา ที่ชวนกันมาตั้งรกรากที่เชียงใหม่ และ (เคย) เปิดบริการที่พักและร้านอาหารก่อนขายกิจการนั้นไปแล้ว ทั้ง 2 คนเป็นนักเดินทางตัวยง เป็นนักวิ่งเทรลและชอบชีวิตเอาต์ดอร์เป็นที่สุด โจ๊กเป็นสถาปนิกและนักจัดสวน ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเชฟที่มีดีกรีเป็น Top 3 ของ French Cuisine จาก Le Cordon Bleu (หลักสูตร Grand Diplôme®)
อิมโพรไวส์จากแบบบ้านของสถาปนิกอีกคน
“ทีแรกบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านชั้นเดียว ยกพื้นสูง 150 เมตร และใต้ถุนมีสระว่ายน้ำยาว 25 เมตรเพราะทั้งผมและหนึ่งชอบออกกำลังกายกันมาก ทีนี้พอโจทย์เปลี่ยนจากบ้านเป็นร้าน ก็คิดว่างั้นก็เอาบ้านที่ออกแบบไว้มาปรับใหม่หมด ยกพื้นสูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อใช้งานปรับเป็นร้านได้” โจ๊กเริ่มต้นเล่าถึงแบบบ้านที่ให้สถาปนิกรุ่นน้องออกแบบให้ เขาเล่าว่าช่วงเวลาที่ต้องทำบ้านเร่งรัดกระชั้นชิดมาก หลังจากขายกิจการที่พักอันเก่าไปแล้วก็ไม่มีที่อยู่จริงจัง อีกทั้งตัวเองต้องเร่งจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้ลงตัว จึงให้ อรรถ-อรรถสิทธิ์ กองมงคล แห่ง Full Scale Studio เป็นคนช่วยออกแบบบ้านให้ ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาอยากร่วมงานกับสถาปนิกรุ่นใหม่ ๆ ด้วย
“ผมตั้งใจสร้างบ้านเอง คุมการก่อสร้างเองอยู่แล้ว ทีนี้พอโจทย์เปลี่ยน ผมก็ปรับยกพื้นให้สูงขึ้น เพราะตอนคุยกับช่าง เขาบอกราคาของบ้านชั้น 2 มา งั้นก็สร้างให้สูงเป็นแบบบ้าน 2 ชั้นไปเลยดีกว่า”
อรรถเสริมโจ๊กว่า “ความสูงใต้ถุนที่ออกแบบตอนนั้นใช้งานไม่ได้ พี่โจ๊กก็ปรับให้สูงให้ใช้งานได้ บ้านหลังนี้คือพี่โจ๊กเอากรอบที่ผมเคยวางไว้ไปพัฒนาต่อ และออกมาแบบเป็นตัวแกเองในทุกรายละเอียด”
“เลยกลายเป็นว่าผมอิมโพรไวส์ ด้นสดหน้างานนั่นละครับ” โจ๊กพูดพร้อมหัวเราะ
“น่าสนใจตรงนี้ครับ ด้วยตัวพี่โจ๊กสร้างเอง คุมงานเอง บางทีได้ประตูมาก็หามุมใส่ตามที่ชอบ”
“สแปนเสา โครงสร้าง คาน ยังคงเป็นตามที่อรรถออกแบบเลยครับ แต่อย่างประตูบางบานไม่ได้มีในแบบ หรือแม้แต่ผนังแฮงกิ้งวอลล์ที่เป็นบันไดเชื่อมชั้น 1 ชั้น 2 ต้องมีผนังรับแรงขึ้นมา อันนี้ผมก็เสริมขึ้นมา เพราะพอเราทำบ้านเป็น 2 ชั้น ต้องมีบันได เอาล่ะ บันไดยังไงดี อย่างน้อยในช่วงเรียน เด็กสถาปัตย์ทุกคนต้องเคยได้เรียนและอยากทำบันไดแบบนี้กัน ผมเลยนำมาใช้และคิดว่ามันก็เหมาะดีนะ”
โจ๊กเล่าถึงบันไดขึ้นชั้น 2 ที่มีลักษณะเป็นบันไดเปลือย อรรถเสริมว่า “ผมว่ามันเซ็กซี่ดีนะ” เราถามคำถามที่ไม่น่าถามออกไปว่า ถ้าฝนตก ขึ้น-ลงบ้านก็เปียกสิ โจ๊กตอบทันทีว่า “ไม่มีปัญหาครับ กางร่มเอา หนึ่งเขาเดินได้ครับ” ส่วนอรรถเสริมความเห็นในมุมมองของสถาปนิกผู้ออกแบบว่า
“มุมผมนะ มันมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น การเปียกนิดหน่อยไม่มีปัญหา อย่างตรงนี้ (ทางเข้าด้านหน้า มุมนั่งเล่น และบ่อน้ำ) เดิมต้องมีหลังคาคลุม มีสระว่ายน้ำ แต่ทีนี้ความเป็นสีเขียวมันไหลเข้าไงครับ เพราะฉะนั้นเรื่องฝนเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าคนใช้งานใกล้ชิดกับธรรมชาติ คนกับธรรมชาติและการใช้งานมันเบลอเข้าหากัน อันนี้น่าสนใจ และพี่โจ๊กก็เป็นคนเอาต์ดอร์อยู่แล้ว”
“ตอนก่อสร้าง ผมเคยเข้ามาดู แต่ก็มาดูห่าง ๆ นะ เห็นแล้วก็คิดว่าสนุกดีนะ เลยบอกแกไปว่า พี่ มันไม่เหมือนแบบเลยนะ ประตูนี่งอกมาเรื่อย ๆ นี่คือการคิดจากพื้นที่จริง ๆ สเปซจริง ๆ ซึ่งผมว่าน่าสนใจมากกว่าการออกแบบบนโต๊ะ”
“มันมาเรื่อย ๆ จริง ๆ ครับ อย่างได้ประตูมา ได้บันไดมา ก็ต้องเอามาทำ และที่ตั้งใจคือการใช้อิฐแดงเป็นหลักในหลาย ๆ ส่วน เพราะแนวของบ้านคือผมต้องการเคารพพื้นที่ อิฐแดง ความเป็นล้านนาสไตล์ บวกกับชอบของโบราณที่ผมเก็บมาเยอะแล้วก็เอามาใส่รวมกันที่นี่ พวกบันไดวน ประตูอินเดีย และชอบสวนทรอปิคอล ห้อย ๆ รก ๆ เลยออกมาหน้าตาประมาณนี้
“ช่วงทำบ้านเป็นช่วงโควิด เราก็ทำให้ร้านเป็นลักษณะ Social Distancing Concept ไม่ใช่ One Space Restaurant หรือคาเฟ่ จะสังเกตเห็นว่าจะโล่ง โปร่ง ไม่มีแอร์ แล้วทีนี้ทำไงให้ไม่มีแอร์แต่เย็นได้ล่ะ ก็นี่ไงครับ น้ำ ต้นไม้ พอแดดมาน้ำก็ระเหยเกิดขึ้น มีพัดลมเปิดก็สบายแล้ว” โจ๊กขยายความ
บ้านหลังนี้ใช้เวลาสร้างราว 10 เดือน โจ๊กบอกว่าเหตุผลที่งานออกมาช้าเพราะความประณีตในการเรียงอิฐ ขนอิฐขึ้นชั้นบน “นานตรงที่เราต้องค่อย ๆ ก่อ ค่อย ๆ เรียงอิฐ ผมจะเป็นคนวางให้ช่างดูก่อน ทำให้เขาดูทีละก้อน จับมือช่างเรียงเลย เพราะแต่ละบรรทัดต้องเรียงให้เสมอ สมมติเราปล่อยให้บรรทัดหนึ่งกระเดิด มันจะโดมิโน่ ดังนั้น การเติมแต่ละบรรทัดต้องตั้งเอ็นใหม่ ถ้าอันไหนเกินออกมาต้องเจียรออก มันคืองานคราฟต์ดี ๆ นี่เอง
“อิฐแดง ไม้ ปูนเปลือย เหล็กที่เป็นสนิม ผมว่ามันคือสัจจะของวัสดุ กาลเวลาผ่านไปยังไงก็เป็นอย่างนั้น พอมารวมกับต้นไม้ที่นับวันก็จะโต มันก็จะห้อย จะเกาะ เลยเกิดอารมณ์ของงานที่ดิบ พอมีต้นไม้มันเบรกกัน อย่างดีเทลของบ้านจะเห็นว่าคานปูนมีความดิบ ไม่ได้เก็บงานให้เนี้ยบ ร่องของไม้ไผ่แกะแบบมาก็ปล่อยเลย ความดิบจะคอนทราสต์กับต้นไม้ที่จะเกิดขึ้น ผมตั้งใจให้เป็นอย่างนี้”
ห้องบนชั้น 2 ปรับให้เป็น 2 ฟาก คือห้องอเนกประสงค์ที่นั่งทำงานหรือทำเวิร์กช็อปในด้านหนึ่งของอาคารได้ แล้วทำสะพานเป็นตัวเชื่อมไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัว อันประกอบด้วยมุมพักผ่อน ห้องนอน และห้องน้ำ
ตรงส่วนห้องนอนและห้องน้ำที่ต่อเนื่องถึงกันนั้น เขาออกแบบให้เป็น Walk-in Closet แบบดิบ ๆ โจ๊กเล่าแบบสนุกว่า “อารมณ์เหมือนได้ไปเดินจตุจักร ดูเสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้ากันครับ ผมกับหนึ่งคิดว่าเราไม่เอาตู้อะไรหรูหราดีกว่า ให้เหมือนเดินผ่านเลือกเสื้อผ้า อารมณ์วินเทจหน่อย ๆ น่าสนใจดี เหมือนไปช้อปปิ้ง (หัวเราะ)”
แซวโจ๊กว่าบันไดเวียนขึ้นไปสู่ชั้น 3 ที่เห็น (ซึ่งก็งอกออกมาเกินแบบที่มี) เพราะอยากใช้บันไดเวียนเก่าที่สะสมใช่ไหม! เขาตอบพร้อม ๆ หัวเราะว่า “ประมาณนั้นเลยครับ”
1’S Kitchen Journey
การเดินทางจากครัวของคนอื่นสู่ครัวของตัวเอง
การเดินทางจากครัวสู่ครัวของหนึ่ง คือสารตั้งต้นความสุขที่เปลี่ยนโจทย์มาเป็นร้าน โจ๊กบอกว่า เขาสร้างบ้านมาเยอะแล้ว หลังนี้ตั้งใจสานฝันให้ภรรยาโดยเฉพาะ เพราะเมื่อทั้งคู่ขายกิจการที่พักไปก็คุยกันว่าหนึ่งอยากทำอะไร คำตอบที่เธอบอกกับตัวเองและเขา คืออยากไปให้ถึงจุดสูงสุดของการเป็นเชฟขนมที่เธอเป็นอยู่แล้ว ด้วยการไปเรียนที่ Le Cordon Bleu
“จริง ๆ เป็นความฝันของหนึ่งนะคะ แต่หนึ่งไม่ได้ฝันจะเรียน Cuisine ด้วย จริง ๆ ก็เป็นฝันของคนทำขนม คือเราไปเรียนกับเชฟดัง ๆ มาหลายคน เรียนมาเยอะก็จริง แต่เรายังคิดว่า Le Cordon Bleu คือที่ที่ดีที่สุดแล้ว ก็เลยคุยกับพี่โจ๊กและให้พี่โจ๊กเขียนใบสมัครเรียนให้ ปรากฏว่าพี่โจ๊กสมัครเป็น Grand Diplôme® เราก็อือ เรียนหลักสูตรนี้ก็ได้”
ช่วงเรียน หนึ่งอยู่กรุงเทพฯ ส่วนโจ๊กทำงานคุมช่างสร้างบ้านอยู่เชียงใหม่ “หนึ่งบอกพี่โจ๊กว่า เราทำที่บ้านให้เป็นร้านได้ด้วยเถอะ เพราะลงมาจากข้างบน หนึ่งก็เข้าครัวทำงานได้เลย ไม่ต้องใช้เวลาเดินทาง ทำบ้านให้คนมากินขนมที่บ้านเรา เหมือนมากินขนมบ้านเพื่อน ทุกคนคือเพื่อนมาเที่ยวบ้านเพื่อน”
ถามถึงชื่อร้าน โจ๊กตอบว่า “ผมเป็นคนตั้งชื่อครับ ผมเห็นการเดินทางของเขาในเรื่องการเติบโตทางการทำอาหาร เขาลุยกับครัวทุกครัวตั้งแต่เริ่ม จนถึงครัวของเขาเอง มันก็คือการเดินทางในครัว แล้วที่เลือกใส่เลข 1 ผมว่าตัวเลขมันจดจำง่ายดี”
เชฟหนึ่งจบการตลาด แต่ชอบการทำขนม เธอเล่าว่าสมัยอยู่เพชรบูรณ์ เธอมักจะหาหลักสูตรเรียนทำขนมที่สนใจในกรุงเทพฯ แล้วนั่งรถทัวร์เข้ามา ต่อรถเมล์ เดินทางไปเรียนทำขนมก่อนจะนั่งรถทัวร์กลับบ้าน พอมีสิ่งที่อยากเรียนอีกก็เดินทางมาอีก เธอเริ่มต้นจากร้านขนมเล็ก ๆ ในตลาดนัด จนร้านขยายใหญ่ขึ้น จนมาถึงวันที่ได้เจอกับโจ๊กซึ่งกลับไปเที่ยวบ้านของครอบครัวที่เพชรบูรณ์ ก่อนจะชวนกันมาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ เพราะหลงใหลในเสน่ห์ของธรรมชาติ วัฒนธรรม และผู้คน
Garden Room
ครัว สวน ความสุข
บ้านที่สร้างจากแพสชันของเจ้าของบ้านจะเป็นบ้านที่งอกงามไปด้วยความสุขและรายละเอียดที่เติมเต็มชีวิต พาร์ตหนึ่งในชีวิตของโจ๊กคือนักจัดสวนที่ทำงานออกแบบสวนมานับไม่ถ้วนไม่แพ้การออกแบบบ้าน เขาจึงตั้งใจจัดสวน ต้นไม้ และดีไซน์พื้นที่ของบ้านให้เป็นห้องในสวนที่แบ่งแยกด้วยต้นไม้และวัสดุของพื้นห้องที่แตกต่าง
“ผมทำแบบ Garden Room Concept ทุกอย่างอยู่ในสวน แต่แบ่งให้คล้ายเป็นห้องแต่ละห้อง นี่ห้องหนึ่ง นี่ก็อีกห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ แม้กระทั่งเสาเหลี่ยมอันหนึ่งซึ่งเป็นเสากลางลาน ในแง่สถาปัตยกรรมดูไม่ค่อยสวย ผมก็ให้เพื่อนศิลปินมาทำเหล็กเป็นรูปทรงต้นไม้โอบล้อมเอาไว้ แผ่กิ่งก้านใบไม้เหล็กที่ไหลงอกงามไปตามโครงสร้างของเสาและคาน ผมชอบต้นไม้ในหนัง Avatar ทีแรกตรงบริเวณนั้นเป็นลานใต้ถุน ทีนี้พอเราต้องปรับห้องครัว เบเกอรี ห้องทำงานใหม่ ก็ต้องมีการตัด แต่เรายังเก็บกิ่งนี้อยู่ เริ่มจากลำต้นและแผ่ออกมานอกบ้าน เป็นฟอร์มของต้นไม้”
“ผมว่าพี่โจ๊กปรับออกมาได้น่าอยู่มากครับ ต้นไม้ สวน บ้าน ขอบเขตความเป็น Indoor-Outdoor ไม่ชัดเจน ทำให้บ้านดูใหญ่ สวนที่รุกเข้ามาในบ้านทำให้ดูร่มรื่น สูง ต่ำ มีเลเยอร์ สวยมาก” อรรถเสริม
อย่างที่บอก ทั้งคู่ชอบชีวิตเอาต์ดอร์ ลุยทุกที่ ไปไหนไปกัน แต่พอมีบ้าน มีร้าน หนึ่งชอบอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่
“ไลฟ์สไตล์พี่โจ๊กกับหนึ่งเหมือน ๆ กัน ลุย ๆ ปั่นจักรยาน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ พี่โจ๊กทำ หนึ่งก็ทำ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ไปค่ะ”
โจ๊กแซวขึ้นมาว่า “ติดบ้าน”
หนึ่งหัวเราะและพูดว่า “ไม่รู้ค่ะ อยากอยู่แต่บ้าน หนึ่งไม่เคยเครียดเลย ทำงานสนุก เรามีแต่ยิ้ม มีพลังบวก ไม่เหนื่อย เหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”
“ลุ่มหลง (หัวเราะ)” โจ๊กส่งเสียงแซวต่อ
“พี่โจ๊กบอกว่าหนึ่งไม่แต่งหน้าเลยนะ แต่หนึ่งจะเยอะมากเวลาแต่งจาน”
“ความสุขของหนึ่งอยู่ทุกส่วนในบ้านเลยค่ะ ปลูกต้นไม้ก็เป็นความสุข ทำขนมก็เป็นความสุข แม้กระทั่งการทำความสะอาดบ้านก็เป็นความสุข และหนึ่งคิดว่าอาจจะสุขมากกว่าคนอื่นหน่อย เพราะเราไม่ต้องเดินทางไปทำงานที่อื่น
“ทุกวันนี้หนึ่งตื่นแต่เช้ามืดลงมาดูความเรียบร้อย จะทำอะไรตอนช่วงเช้า ๆ อย่างทำขนมปังรอพนักงาน แล้วก็ออกไปวิ่ง เราอยู่กันแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ทุกเช้าไปวิ่งด้วยกัน กลางวันคนเยอะ อาจไม่ได้คุยกัน พี่โจ๊กก็อยู่ด้านบน ทำงานออกแบบของพี่โจ๊กไป หรือออกไปปั่นจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ งานของหนึ่งก็อยู่ข้างล่าง เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เรามี ดอกไม้ที่เราปลูก เราก็เอามาใช้ทำขนม แต่งขนมได้ หนึ่งว่ามันง่ายต่อชีวิตเรา เราได้อยู่กับสามี ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ต้องรอเลิกงานถึงได้เจอกัน
“เราทำเหมือนเดิมทุกวัน ไม่มีความเบื่อเกิดขึ้นเลย”