ทรงอย่างแบด แซดอย่างบ่อย เธอไม่อินกับผู้ชายแบดบอย โธ่ พ่อหนุ่ม…

แม้พยายามหลีกหนีจากเพลงนี้สักแค่ไหน เชื่อว่าทุกคนคงร้องว้ากในใจโดยอัตโนมัติ

101 ล้านวิว คือยอดล่าสุดของเพลงเสแสร้งที่เราเห็นบนยูทูบ ส่วน 43 ล้านคือผลลัพธ์ของเพลงที่โด่งดังข้ามปี เพราะแก๊งวัยรุ่นฟันน้ำนมหน้าเวทีที่ตะโกนร้องเสียงดังแข่งกับหนุ่มพังก์วัยใกล้ 30 

เป็นปรากฏการณ์ที่ไวรัลอยู่บนโซเชียลเกือบทุกวัน ลามไปถึงการบอกให้เด็ก ๆ กลับไปแปรงฟันก่อนนอนได้ยิ่งกว่าทันตแพทย์ กระทั่งการถูกติดต่อให้ไปแสดงสดตอนเช้าในโรงเรียนอนุบาล หรือการให้กำเนิดคำขวัญวันเด็กประจำ พ.ศ. 2566 อย่าง ‘สร้างสรรค์ความคิด ผูกมิตรซื่อตรง ก้าวอย่างมั่นคง ฟังทรงอย่างแบด’ 

วันนี้ เราเดินทางมาค่ายดังย่านอโศก เพื่อต่อคิวพูดคุยกับ ‘Paper Planes’ หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนมผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้ลุคแบด ๆ และรอยสักบนเนื้อหนังมากมาย พวกเขาตอบทุกคำถามอย่างคนรู้จักชีวิต หัวเราะเสียงดัง แม้จะเชื่ออย่างสุดกำลังว่านั่นเป็นโชคชะตาที่พระเจ้ากลั่นแกล้ง แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังยืนกรานจะขบถต่อทุกอย่าง เดิมพันชีวิตกับความชอบ ดื้อด้านไม่สนใจใคร ถ้าได้มาซึ่งชีวิตเท่ ๆ เหมือนในฝัน

นี่คือเรื่องราวของวงร็อกเครื่องบินกระดาษ ในวันที่พวกเขาติดลมบน 

เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก
เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก

Bring Me The Horizon

คำถามแรกไม่ถามไม่ได้ ลุควันนี้ทรงอย่างแบดรึเปล่า

ฮาย : ดูแบดไหม อุตส่าห์ใส่สีสันมาแล้วยังแบดอีกเหรอ

เซน : อุตส่าห์จะเนียนกับเด็ก ๆ แล้วนะ

งั้นจริง ๆ แล้วเป็นทรงแบบไหน

ฮาย : ก็ทรงแบดแหละ (หัวเราะ) แต่แค่ทรงเฉย ๆ จริง ๆ แล้วเป็นพวกปัญญาอ่อน

เซน : ส่วนผมทรงง่วงครับ (หัวเราะ)

ถ้าทรงก็ดูแบด แล้วคุณแซดบ่อยไหม

ฮาย : ช่วงนี้ผมมีแฟน ถ้าแซดก็แปลกอยู่ (หัวเราะ) 

เซน : ไม่งั้นชื่อเพลงมันจะเปลี่ยน เป็นอกหักแต่บอกแฟนไม่ได้ (หัวเราะ)

ส่วนมากพวกคุณจะแซดเรื่องอะไร 

ฮาย : ช่วงนี้มันจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ เล่นบอลแพ้เพื่อน เล่นเกมแพ้เพื่อน ถ้าวันนั้นไม่ชนะใครเลยก็จะแซดทั้งวัน

เซน : เออ แซด เวลาไปทัวร์ ผมเคยแพ้ทั้งทริป 3 วันไม่ชนะเลย (หัวเราะ) 

พวกคุณสนิทกันตั้งแต่แรกเลยไหม

เซน : ตอนแรกไม่ค่อยครับ

ฮาย : จริง ๆ ผมอยู่กับวงมาก่อนแล้วเซนค่อยเข้ามาเป็นสมาชิกทีหลัง ช่วงแรก ๆ ก็เหมือนเรียนรู้กันมาเรื่อย ๆ แล้วช่วงหลังมาสนิทกัน 

อะไรทำให้มนุษย์สองคนนี้ต้องทำงานร่วมกัน

ฮาย : ผมว่าเซนเป็นคนที่เคมีเข้ากับผมนะ วิธีคิดได้ การวางตัวได้ ผมก็เลยเทรนเซนให้มาเป็นผู้ช่วยในการทำงานเบื้องหลัง จากนั้นก็ได้เรียนรู้บุคลิก ทัศนคติของเขา แล้วรู้สึกว่ามันคือเพื่อนที่ทำงานด้วยได้

เซน : การทำงานด้วยกันมันจะมีผู้นำกับผู้ตาม ผมรู้สึกว่าฮายมีความเป็นผู้นำ แล้วผมมีความเป็นผู้ตามที่มีความเชื่อมโยงกันและไปด้วยกันได้ ด้วยประสบการณ์ชีวิตหรือรสนิยมต่าง ๆ 

เรื่องไหนที่ฮายจะยอมให้เซนเป็นผู้นำ

ฮาย : เรื่องเงิน เพราะผมใช้ความเซอร์นำ เซนจะเรียบร้อยในเรื่องตัวเลขมากกว่า เวลาทำงานผมจะไม่คุยเรื่องเงินเลย บางครั้งเงินยังไม่ได้ก็ไม่รู้ เช็คยังไม่ได้ไปขึ้นก็ไม่รู้ ถ้าเซนไม่ทำเบิกให้แต่ละเดือน ผมก็ไม่รู้นะว่ามีเงินหายไป จะหลักกี่บาทก็ตาม ทำงานอย่างเดียว

เซน : แต่ว่าไม่ได้ชอบนะครับ ต้องทำเพราะไม่มีใครทำ (หัวเราะ) เพราะมันมีกันอยู่สองคน 

ที่มาของคำว่า Paper Planes มาจากเนื้อเพลง little boy with dreams of paper planes ของ วง Hands Like Houses ซึ่งเครื่องบินกระดาษเปรียบได้กับความฝัน แล้วความฝันของวง Paper Planes คืออะไร

เซน : ถ้าถามสมัยก่อนมันจะเล็กกว่านี้ เป็น Check Point ไปเรื่อย ๆ 

ฮาย : สมัยนี้ก็แค่ทำในสิ่งใกล้ ๆ ตัวให้มันเสร็จ เช่น ทำเพลงให้เสร็จ ไม่ได้ไม่เชิงไม่ฝันไกล แต่เรารู้สึกว่าการทำสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาก ๆ ให้สำเร็จก่อน สุดท้ายจะค่อย ๆ ไปของมันเอง เหมือนพอเราฝันไกลมาก ๆ แล้วเราจะมองข้ามช็อตไปเยอะ

เซน : เหมือนเราตีเทนนิส ตีให้โดนทุกลูกแค่นั้นน่ะพอ ยังไงก็ชนะ 

รู้สึกว่า สมัยเด็กคุณมีความฝันที่ใหญ่กว่านี้ไหม  

เซน : ผมแค่อยากเป็นศิลปินแค่นั้นเลย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นแล้วจะยังไงต่อ ตอนนี้เหมือนมันสานต่อจากก้าวนั้นขึ้นมา 

ฮาย : ของผมคล้ายเซนคืออยากดัง อยากมีคนรู้จักเยอะ ๆ อยากมีชื่อเสียง เพราะเราชอบการที่คนมีคนจำนวนมากมา Appreciate ผลงานของเรา รู้สึกว่าตัวเองมีค่าในแบบของเรานะ เพราะตอนเด็ก ๆ เราตามล่าสิ่งนี้ตลอด ด้วยการแข่งวิชาการ ออกไปร้องเพลงหน้าเสาธง มันปลูกฝังเรามาแบบนั้น

เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก
เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก

เส้นทางไปสู่ความฝันของพวกคุณโรยด้วยกลีบกุหลาบรึเปล่า

เซน : โรยด้วยก้านกุหลาบ 

ฮาย : มึงเอากลีบกุหลาบออกไปหมดเลย ไอ้เวร ถ้าเกิดพระเจ้ามีจริง ผมไม่ใช่ลูกรักพระเจ้า 

เพราะชีวิตผมไม่เคยราบรื่นเลย หนึ่ง ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย สอง พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา มีช่วงที่ผมต้องไปอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด และพ่อแม่ก็เสียทั้งคู่ 

แล้วยายก็มีชีวิตแบบไม่ต้องไปตามล่าอะไรมากมาย มันค่อนข้างอึดอัด กลายเป็นว่าเราไม่พร้อมเรื่องอะไรเลย ไม่ว่าอยากได้อะไรเราก็ไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา ชีวิตเรามีแค่การเรียนที่ต้องเรียนเพื่อให้ได้ทุนไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งเราต้องตามความฝัน เท่ากับว่าเราสตาร์ทแบบติดลบ มันไม่สามารถใช้เวลากับความฝันได้เลย เหมือนต้องหาเงินไปด้วยเพื่อที่จะมีพลังชีวิตไปใช้กับความฝัน 

เราเริ่มออกจากบ้านมาอยู่คนเดียวตั้งแต่ช่วง 16 – 17 เช่าห้องราคาหลักร้อย แล้วก็เริ่มฝึกทำเพลง เริ่มเล่นดนตรีกลางคืน เริ่มไปไปยกของให้ศิลปิน จนมาถึงทุกวันนี้ ก็เลยยิ่งตอกย้ำในตัวเองว่าเราชอบให้คนภูมิใจ เพราะที่ผ่านมามันยากมาก ๆ การเป็นศิลปินของเราคือการอยู่ในที่ที่มีแสงจริง ๆ เราไม่ปฏิเสธเลยว่าเราทำเพลงเพราะอยากมีชื่อเสียง 

แล้วเซนเป็นลูกรักพระเจ้าไหม

เซน : ไม่ครับ เอาจริง ๆ ข้อหนึ่งที่ทำให้อยู่ด้วยกันได้ทุกวันนี้ เพราะตอนเด็กเรามีชีวิตคล้าย ๆ กัน อยู่ในสังคมที่ไม่ได้ซัพพอร์ตให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ สิ่งเดียวที่ทำให้ผ่านตรงนั้นได้คือวิธีคิดที่ดี ลำบากมาจนถึงช่วงมหาลัยจนตั้งวงถึงค่อยดีขึ้นเรื่อย ๆ

เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก

ถ้าชีวิตมันเดินมาด้วยก้านกุหลาบ เคยมีความรู้สึกว่า ไม่น่าเดินออกมาเลยไหม 

ฮาย : ผมเป็นคนดื้อแบบดื้อมาก ๆ เลยนะ ผมเป็นคนเรียนดีมาก ๆ แต่ช่วง ม.3 คือเลือกจะไม่เรียนต่อ อยากไปเรียนภาคสมทบวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะอยากไว้ผมยาวแค่นั้นเลย ไปเรียนเทียบเพื่อให้ได้วุฒิเอามาสมัครมหาลัย แต่สุดท้ายไปจ่ายค่าเทอมเราก็ไม่ไปเรียนอีก 

แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ก็คงเลือกทางเดิม เหมือนเดิม เพราะเราเป็นคนดื้อมาก ๆ แล้วก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะว่าเราเป็นคนแบบนี้เสมอ เรารู้ตัวเองว่าเปลี่ยนไม่ได้ 

เซน : ผมก็ไม่เคยคิด แค่จะมีความลังเลนิดหนึ่งว่า เฮ้ย มันจะสำเร็จจริงไหมวะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะเลิกทำ ครอบครัวผมเขาก็ไม่ได้ห้ามเล่นดนตรี ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า เขาเชื่อใจเรานะ ยิ่งต้องพิสูจน์ให้เขาเห็น พอมาถึงวันที่ทำสำเร็จ มันก็ตอบเราเต็ม ๆ ว่า ถ้าพยายามในสิ่งที่เราทำจริง ๆ ให้ดีสุด ๆ ยังไงสักวันมันก็ต้องสำเร็จสักทาง

ไปเอาความขบถและความดื้อมาจากไหนมากมายขนาดนี้ 

ฮาย : มันมีที่มาที่ไปคล้าย ๆ กับเซน คือเราเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ แต่อยู่ในสังคมที่ไม่ได้ให้ออกสิทธิ์ออกเสียงได้ มันประกอบไปด้วยคนที่ไม่ได้ต้องการมีความฝัน ซึ่งเขาไม่ผิด แต่เราอยู่ผิดที่ 

รู้สึกว่าเรามีความคิดขบถ มีความกดอัด กดแน่น เวลาได้ทำสิ่งที่ชอบเลยระเบิดออกมาค่อนข้างเยอะ ทำให้เราเลือกวิธีที่ค่อนข้างขบถ เช่น อยู่บ้านก็สบายอยู่แล้วแต่ออกไปเช่าห้องอยู่รูหนู ออกไปอดมื้อกินมื้อ ออกไปทำแบบนั้นทำไม แล้วก็พื้นฐานครอบครัวซึ่งไม่ได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น เหมือนเราเกิดมาผิดเพี้ยน เราไม่เชื่อในระบอบ เราเลยมีกฎเป็นของตัวเอง ยาวไปถึงการนับถือศาสนา คือเราเป็นคนพุทธ แต่เราเชื่อตัวเองมากกว่า เราเอาตัวเองเป็นศาสดาของชีวิต 

เซน : ใช่ เพราะว่าเราใช้ตัวเองพึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่เด็ก 

นึกไม่ออกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น จะเติบโตมากับเพลง Emo Trap หรือ Pop Punk ได้ยังไง 

ฮาย : จริง ๆ มันเข้าถึงได้จากพวกโทรศัพท์จีนสมัยก่อน Mp3 เถื่อนที่เพื่อนเอามาเปิด เพลงที่ดังก็จะเป็นเพลงที่ค่ายใหญ่ควบคุมให้เราฟัง แต่จังหวะดีที่เราโตมากับเพลงร็อกที่ไม่ได้เป็นแนวเพลงมาตรฐาน เราโตมากับเพลงว้าก ๆ เช่น Retrospect, Sweet Mullet 

คิดว่าเพลงแนวนี้เป็นการขบถอีกรูปแบบหนึ่งรึเปล่า 

ฮาย : ใช่ เหมือนมันเลือกคนฟัง คนที่มีวิธีคิดแบบนี้ โตมาในสังคมแบบนี้ มันจะไม่อยากเหมือนคนอื่น มันต้องการกบฏต่ออะไรสักอย่าง กบฏทางด้านความคิด ประชดชีวิต 

เซน : มีความคิดว่าตัวเองเท่

ฮาย : เออ มีความคิดว่ายิ่งทำร้ายตัวเองยิ่งเท่ 

เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก
เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก

เคยมีช่วงชีวิตแบบนั้นด้วยเหรอ 

ฮาย : มี เคยไหมที่ไม่อกหักหรอกแต่ฟังเพลงอกหัก แล้วทำเหมือนพระเอก MV (หัวเราะ) ผมเชื่อว่า มีคนจำนวนมากนะที่คิดว่าเศร้าแล้วเท่ เป็นแซดบอยแล้วเท่ การเป็นคนที่มีเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตมันไม่เท่เว้ย แม่งต้องมีปม ต้องเก็บกด ต้องทำร้ายตัวเองสักอย่าง ผมก็เลยคิดว่านั่นแหละที่มาของเด็กอีโมในช่วงนั้นที่ฮิตกันมาก ๆ เพราะว่ามันเท่ไง

เซน : แต่ก่อนที่จะไปฟังพวกนั้น จำได้ว่ายุคนั้นจังหวัดรอบ ๆ ผม เช่น นครสวรรค์ ลพบุรี เขาจะมีวงดนตรี Metal ดัง ๆ แล้วเราพึ่งหัดเล่นดนตรีก็เลยนั่งรถไปประกวดตามจังหวัดเขา แล้วเราเล่นเพลงพี่หนุ่ม กะลา เธอเป็นแฟนฉันแล้ว แต่วงอื่นแม่ง Metal หมดเลย ทำให้รู้สึกว่า อ้อ มีดนตรีแบบนี้ด้วย แล้วก็เป็นช่วงรอยต่อของ YouTube เข้ามาก็เลยศึกษามากขึ้น

ซึ่งพวกคุณก็ชื่นชอบเพลงแนวนั้นมาจนมาถึงวันนี้ แล้วยังยอมเสียสละสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเพื่อเดิมพันตัวเองกับความชอบ

ฮาย : ใช่ วันแรกที่ผมเดิมพันคือการสักที่คอ มันเป็นสัญลักษณ์ในใจของผม ซึ่งไม่แนะนำให้ทุกคนทำตาม ผมบอกกับตัวเองว่า เกิดมาครั้งเดียว ถ้าผมสักคอแล้วนั่นหมายความว่าผมสร้างเครื่องหมายให้กับการตัดสินจากคนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้น ผมจะต้องทำให้ได้ ทำให้สุด ต้องทำให้คนมองข้ามสิ่งนี้ไป เหมือนการเอาเหล็กร้อนมาปั๊มแล้วฉันจะออกไปรบ วิธีคิดของผมตอนนั้นคือ โอเค สักคอแล้วก็ลุย ไม่มีทางอื่นแล้ว เพราะถ้าทำไม่สำเร็จ เราจะไม่ได้แค่เป็นคนที่ดูไม่ดี แต่เราจะดูไม่ดีมาก ๆ เพราะมีลุคแบบนี้ 

เซน : กึ่ง ๆ ทุบหม้อข้าวตัวเองทางความคิด

ฮาย : ประมาณนั้น ผมรู้สึกว่าถ้าล้มจะล้มเจ็บกว่าคนอื่น แต่ถ้าได้ก็เท่ากับคนอื่น ซึ่งแม่งไม่ต้องสักก็ทำเพลงได้ ทะลึ่งสัก แต่เออ ผมชอบเป็นแบบนั้น เพราะสำหรับผม มันทำให้ชีวิตผมมีความหมาย 

ตอนนั้นอยากให้ใครยอมรับมากที่สุด

ฮาย : อยากให้ตัวเองยอมรับ ผมจะมีความกบฏพระเจ้าตลอด เพราะผมไม่ใช่ลูกคนโปรด แต่ไม่เป็นไร เราจะพิสูจน์ว่าเราทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งอะไรเลย 

การเป็นเด็กที่ตั้งท่าจะแหกกฎทุกอย่างตลอดเวลา ทำให้คุณเสียอะไรไปบ้างในชีวิต 

ฮาย : ช่วงแรก ๆ จะเป็นเรื่องของความ Aggressive พอเราเชื่อมั่นในตัวเองมาก ๆ มันทำให้เราไม่มองคนอื่น ทำให้เราเกาะอีโก้ไว้ แต่ว่าก็เป็นช่วงวัย ผมว่าเราต้องผ่านจุดนั้นมาถึงจะเป็นทั้งคนที่เก่งและตื่นรู้แล้วด้วย 

เซน : มันต้องมีหลอดของอีโก้ให้เต็มสุดก่อน แล้วเราค่อยเอามาผสมผสานกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต

ฮาย : เพราะถ้าวันนั้นไม่เป็นคนสุดโต่ง เราอาจจะไม่ได้เป็นคนที่เก่งด้วยแล้วก็รู้แล้วด้วย อาจจะเป็นแค่คนดีแต่ไม่มีอะไรเลย 

มองว่าสิ่งที่เสียไปตามเรี่ยรายทางคุ้มค่าที่จะแลกไหม  

เซน : บางคนก็มองว่าไม่คุ้ม มันไม่ได้เป็นการแลกในสิ่งที่เราจ่ายน้อยกว่าแต่ได้มากกว่า บางทีสิ่งที่ได้รับมามันไม่เท่ากับสิ่งที่เราเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าคิดในแง่ตัวเราเอง คุ้ม เพราะสิ่งที่ได้มาก็เป็นสิ่งที่เราต้องการ 

เรียกว่าวัยต่อต้านได้ไหม 

ฮาย : ได้ วัยต่อต้าน วัยกบฏ (หัวเราะ)

ขอ Soundtrack of Life ของชีวิตวัยต่อต้านสักคนละเพลง  

ฮาย : วัยต่อต้านของผม คือเพลง Pray For Plagues – Bring Me The Horizon เพราะมันฟังไม่รู้เรื่องเลยแต่เท่ รู้สึกว่าถ้ากูฟังอันนี้กูจะไม่เหมือนคนอื่น และกูเท่ และกูแตกต่าง และกูอินเตอร์ (หัวเราะ) เพลงนี้เปลี่ยนชีวิตผมว่า โห มีเพลงที่สุดโต่งขนาดนี้เลยหรอ แล้วคนที่สร้างสรรค์เพลงนี้แม่งต้องเป็นคนยังไงวะ ต้องเป็นคนทุบกระดูกคนเอาเลือดคนมากินเปล่าวะ มันปลดปล่อยอะดรีนาลีนได้ดี มีอีโก้อยู่ในเพลง มีทุกอย่างครบหมด นิยามความเป็นตัวเราได้ดีมาก 

เซน : วัยต่อต้านของผมคือ Decode – Paramore แต่ว่า ผมก็อปเอาไปทำเพลงประกวด Hot Wave เลยมองกลับไปแล้วรู้สึกว่า มึงต่อต้านยังไงวะ มึงเข้าร่วมชัด ๆ (หัวเราะ) 

เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก

The Velvet Underground

เห็นว่าทั้งสองคนทำเพลงใต้ดินมาก่อน อยากรู้ว่าชีวิตช่วงนั้นเป็นยังไง

ฮาย : ถ้าวงที่ไม่ดังจริง ๆ ต้องจ่ายเงินขึ้นไปเล่น ผมคิดว่าทำไม แต่ ณ ตอนนั้นเราก็แค่อยากเล่น ขึ้นไปเล่นเพลงคัฟเวอร์ 

วงการใต้ดินรวมแต่คนแนวเพลงเดียวกันหรือหลากหลายมาก  

ฮาย : พูดง่าย ๆ ว่า Underground มันจะเป็นเพลงนอกกระแสเนอะ สิ่งที่แตกต่างในตอนนั้นคือความหนักแน่นของแนวดนตรี ถ้าวงที่เกิดใหม่มันเบาลงก็อาจจะมีปัญหา ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหมนะ แต่เป็นประสบการณ์ของเราแล้วกัน

แสดงว่าคุณขึ้นไปแสดงบนเวทีด้วยความคิดว่า ฉันอยากจะขึ้นไปอยู่บนดินให้ได้เหรอ  

ฮาย : ใช่ ตอนนั้นเราคิดว่าเริ่มจากใต้ดินก่อนค่อยไปบนดิน แต่ว่าจริง ๆ มันไม่เกี่ยวนี่หว่า แค่เราจะไปบางนาเราก็ไม่ต้องอ้อม เราก็ไปบางนาสิวะ (หัวเราะ) เราคิดว่าเราต้องเท่แบบพี่เขา เลยกลายเป็นว่าสุดท้ายการที่ขึ้นไปอยู่บนดินได้ ไม่ใช่เพราะเล่นใต้ดินมาก่อน เป็นเพราะเราเอาแผ่นเพลงไปส่ง 

เซน : เอาแผ่นเพลงไปส่งค่ายที่เราอยากจะอยู่ 

ฮาย : ใช่ แค่นั้นเลย

เพลงของพวกคุณตอนอยู่ใต้ดินเล่าเรื่องอะไร  

ฮาย : เพลงผมเป็น Google Translate คือแปลยังไงก็ได้ให้โหดที่สุด ฉันจะฆ่าเธอ กูไม่สนใจมึงหรอกกูจะเดินตามทางตัวเอง เขียนเนื้อเพลงภาษาไทย ไม่มีคำว่า Flow ไม่มีคำว่า Rhythm อะไรทั้งสิ้น ขอแค่ดนตรีมันไว้ก่อนแค่นั้น

เซน : ของผมจะทำเพลงแบบวิ่งไล่ตามความฝัน

ฮาย : เอางี้ วงผมชื่อว่า The Festival of Dead (หัวเราะ)

สมัยนี้มันจะมีคำหนึ่งที่เรียกว่าเบียวนะ

ฮาย : เบียว ใช่ มันคือความเบียวในตอนนั้น วงบ้าอะไรเทศกาลแห่งความตาย มึงตัวเล็กขนาดนี้มึงจะไปฆ่าใคร (หัวเราะ) จะเอาอะไรมา Dead บ้าเปล่า โห แล้วใส่เสื้อลายแห่งความตาย แต่ไว้ผมหน้าม้า 

เส้นทางบนก้านกุหลาบของ Paper Planes หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วงร็อกของคนที่พระเจ้าไม่รัก

หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม

จำความตั้งใจแรกได้ไหมว่าอยากสร้าง Paper Planes ให้เป็นวงแบบไหน 

ฮาย : ตอนนั้นเราใช้แนวเพลงเป็นที่ตั้ง

เซน : อยากเป็นวงเท่ ๆ 

ฮาย : เออ ไม่รู้เป็นไร มีความเท่นำทางตลอด 

แล้วสลัดตัวตนที่เคยเป็น The Festival of Dead ออกไปได้ยังไง

ฮาย : ก็เพราะว่ามันบ่งบอกแล้วไงว่าเราไม่ใช่ชาว Dead (หัวเราะ) วันเวลาผ่านไปเราเริ่มรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบเพลงแบบนั้น 

เซน : เหมือนกันครับ พอเราโตขึ้นจะรู้ว่าชอบอะไรจริง ๆ มันก็แค่ออกมาจากตรงที่ไม่ชอบ มาทำสิ่งที่ชอบแค่นั้น 

ในวงการร็อก แฟนคลับค่อนข้างยึดติดกับภาพลักษณ์เดิม ๆ แนวเพลงเดิม ๆ วงการนี้ต้อนรับวงร็อกหน้าใหม่ที่ฉีกการทำเพลงร็อกแบบเดิม ๆ กระจุยยังไงบ้าง

ฮาย : โอ้ย ช่วงแรกดราม่าเยอะสัด (หัวเราะ) ชาวร็อกสาย True ที่เขายึดติดกับแนวเพลง เขาก็จะไม่ค่อยชอบวง เพราะว่าวงพึ่งมาเพลงเดียวเอาแล้วหรอ เราก็โอเค ไม่เป็นไร ยืนยันในสิ่งที่ทำไปเพราะว่าเราเป็นคนแบบนี้จริง ๆ เมื่อไหร่ที่เริ่มดราม่า เรารู้สึกว่ามันคือการต้อนรับ เหมือนกับคนเริ่มให้ความสนใจ

แต่การฉีกออกมาจากกระแสหลักเสมอ ๆ ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะปังหรือแป้ก 

ฮาย : เพราะเรามีอาชีพที่มั่นคงอยู่แล้ว (หัวเราะ) คือการทำงานเบื้องหลัง ผมเลยรู้สึกว่าลองอะไรตอนนี้ไม่เสียหายเลย แล้วเป็นความสนุกด้วย ตั้งใจจะทำให้ Paper Planes มีความกบฏ 

คุยกับเซนว่าทำยังไงก็ได้ให้เป็นหนึ่งเดียวในไทย เราไม่ได้หมายถึงการเป็นที่หนึ่ง แต่เราต้องการเป็นหนึ่งเดียว ฟังได้แค่ที่เราเท่านั้น เราคิดแบบนี้เพราะว่าทำเบื้องหลังมา เรารู้ว่าวิธีทำเพลงแบบ Mass มันไม่สำเร็จกับทุกแนว ยิ่งเป็นแนวร็อก แต่การเป็นหนึ่งเดียวจะทำให้เรามีทางเดิน 

เซน : ตอนที่เราทำเพลง ก็ไม่ได้หวังว่ามันจะต้องแบบ เฮ้ย เรามาทำเพลงที่มันฉีกจากเดิมดีกว่า เราก็ทำออกมาเอง แต่แค่ทำให้เป็นเราที่สุด

แต่วันหนึ่ง Paper Planes ก็จะแมส หวงไหมถ้าจะมี Paper Planes 2 3 4 

ฮาย : ไม่ค่อย เพราะเราว่า DNA ไม่มีทางเปลี่ยนได้ มันจะไม่เหมือนกัน 100% หรอก แต่เราจะรู้ว่า เอ้ย กูเท่ใช่ไหมล่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าก็ยินดี เพราะอยากให้เพลงแนวนี้เยอะขึ้น เวลามันมี Festival หรืออะไรรวม ๆ กันมันสนุก

เซน : สุดท้ายแล้วเราก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เราฟังอยู่ดี แล้วพอมันถูกถ่ายไปที่คนอื่น เล่าในอีกภาษาหนึ่งของเขา ก็จะแตกต่างอยู่แล้ว

จากวัยรุ่นหัวขบถที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่รัก สู่ Paper Planes ผู้เขย่าวงการร็อกไทยด้วยเพลงชาติเด็กอนุบาล
จากวัยรุ่นหัวขบถที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่รัก สู่ Paper Planes ผู้เขย่าวงการร็อกไทยด้วยเพลงชาติเด็กอนุบาล

พูดได้ไหมว่าความสำเร็จของเพลงเสแสร้งทำให้พิสูจน์ตัวเองไปแล้วขั้นหนึ่ง  

ฮาย : ผมว่าได้ มันตอบคำถามในใจผมหลายอย่าง ผมทำเพลงให้คนอื่นมาได้ร้อยล้านวิวแต่มันเป็นการแค่โปรดิวซ์ ยังไม่ใช่ผลงานของเราสักที ผมคุยกับตัวเองว่า ถ้ามีความสามารถมากขนาดนั้น วันหนึ่งเราก็ทำของตัวเองได้สิวะ พอมาสำเร็จกับ Paper Planes มันตอบโจทย์ชีวิตผมในสายงานนี้ไปแล้วว่า ต่อให้ไม่ใช่สินค้ายอดนิยมแต่เราทำให้มันฮิตได้ กูมีเพลงร้อยล้านวิว ไม่มีใครสามารถดูแคลนเราได้แล้วว่าทำแต่เพลงคนอื่นดัง 

อย่างเพลง ทรงอย่างแบด ผมก็คุยกับเซนว่าไม่สามารถทำเพลงแสแสร้งเพลงที่สองได้แล้ว แต่วิธีคิดของเสแสร้งคือการทำโดยธรรมชาติและเราว่ามันเท่ที่สุด สนุกที่สุด ก็เลยได้เพลงนี้ออกมา พอมันมีกระแสในเด็ก ๆ ยิ่งทำให้สิ่งที่เราคิดมันถูก เพราะเด็ก ๆ เขารับความธรรมชาติ เขาจะไม่รับการปรุงแต่ง 

ตอนแต่ง ทรงอย่างแบด เสร็จ มีความรู้สึกว่า ต้องดังแน่ ๆ บ้างไหม

ฮาย : เราว่ามันจะมีกระแส แต่ไม่รู้ว่าจะไปถึงขนาดไหน ผมไปทำกันต่างจังหวัดแล้วทุกคนระหว่างทำคือ Hype กันมาก ๆ กระโดดโลดเต้น ตอนนั้นประชุมออนไลน์เสร็จก็คือขอพี่ ๆ ว่าขอปล่อยเพลงนี้ก่อน หาผู้กำกับเอ็มวี ณ ตอนนั้นกันเลย ประชุมอีกรอบหนึ่ง แล้วเพลงนี้ก็ถูกมาปล่อยก่อนเพราะเราอยากปล่อยมาก

เซน : พอทำเสร็จแล้วมันสนุกจนอยากปล่อยแล้ว เราไม่อยากให้ความสดตรงนี้มันหายไป 

รู้ตัวตอนไหนว่ามันกลายเป็นเพลงชาติของเด็ก ๆ ไปแล้ว

ฮาย : ตอนที่เขาเขียนข่าวเนี่ยแหละ เพลงชาติเด็กอนุบาล เราก็ตามอ่านตาม ตลกดี ตอนแรกมันยังอยู่ในโซเชียลเราก็ อ้อ เด็ก ๆ คงจะชอบแหละ แต่พอเวลาเราไปสนามบิน อยู่ในไฟลต์เดียวกัน ลงเครื่องก็มาขอถ่ายรูป สักพักหนึ่งเริ่มในห้าง สักพักเด็ก ๆ มากอดตามงาน เราเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง มันเริ่มเข้ามาอยู่ในชีวิตจริงเราแล้ว ไม่ใช่กระแสที่เกิดขึ้นชั่วคราว เรามองว่ามันกว้างกว่านั้นมาก ๆ

เซน : จนกลายเป็นความทรงจำของเด็ก ๆ ไปแล้ว อยู่ในช่วงหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้วตอนนี้

รู้สึกยังไงที่เมื่อก่อนมี Bring Me The Horizon เป็นไอดอล ตอนนี้กลายเป็น Bring Me The Horizon ของเด็ก ๆ 

ฮาย : ดี เหมือนเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เวอร์ชันเทา ๆ รู้สึกเท่

เซน : ยังยึดถือความเท่เหมือนเดิม 

ฮาย : เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เราชอบพี่คนนี้มาก ๆ แล้วก็คิดว่าพี่เขาเท่มาก ๆ ซึ่งเด็ก ๆ ก็น่าจะคิดว่ากูเท่มาก 

เซน : แล้วเราก็รู้ความรู้สึกของคนที่เราชอบตอนเด็ก ๆ แล้ว พี่เขาคงรู้สึกเหมือนเราอะ (หัวเราะ)

ฮาย : ลองนึกภาพพูดกับแม่ว่าแบบ โอ้ย โคตรเท่เลยวงเนี้ย 

จำวันแรกที่น้อง ๆ เข้ามาเกาะเวทีแล้วตะโกนร้องเพลงกับคุณได้ไหม 

ฮาย : จำได้ วันนั้นอากาศดี 

เซน : เกิดโดยไม่คาดคิดด้วยครับ เพราะว่าจริง ๆ ต้องเล่นอีกที่หนึ่ง แต่กลายเป็นว่าย้ายออกมาเล่นในโซนข้างนอก เด็ก ๆ มายืนรอตั้งแต่เพลงแรก 

ฮาย : แล้วพอเด็กมายืนรอ เราก็เลยเป็นอัตโนมัติคือ ทรงอย่างแบด (ทำท่ายืนไมค์) แล้วพอคนถ่ายคลิปไปมันก็เริ่มไวรัล แล้วงานที่สองต่อจากนั้นผมก็คุยกับเด็ก ๆ ว่า อย่าลืมแปรงฟันนะ (หัวเราะ) ซึ่งเราไม่ได้คิดอะไร ล่าสุดไอ้เซนคือเป่า ยิง ฉุบ กับเด็กบนเวทีแล้ว ตลกดี 

เด็ก 7 – 8 ขวบฟังเพลงร็อกแล้วนะ มองว่าทิศทางของวงการร็อกไทยจะเป็นยังไงในอนาคต 

เซน : ตอนนี้เขารู้แค่ว่าเขาสนุก แต่เขายังไม่รู้หรอกว่าเขาชอบเพลงร็อกหรือไม่ชอบเพลงร็อก ก็อยากให้ยังสนุกเรื่อย ๆ แล้วพอเขาเริ่มรู้ตัวเองว่าชอบก็คงจะเป็นทิศทางที่ดี 

ฮาย : เขารู้จักคำว่าความชอบเมื่อไหร่ก็น่าจะดี เราคงทำตามแบบของเราไปเหมือนเดิม ถ้าเกิดน้อง ๆ ชอบก็เป็นกำไรชีวิตของพวกเรา

ในฐานะที่ตอนนี้กลายเป็นไอดอลของเด็ก ๆ ถ้าให้แนะนำสักเรื่อง อยากให้เด็ก ๆ หยิบเอานิสัยอะไรของคุณไป 

ฮาย : อยากให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะช่วงเด็ก ๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเยอะมาก แล้วมันเป็นช่วงที่ยาวนานเหมือนกันนะจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงประมาณสักเกือบ ๆ 20 ปี

เซน : ตอนอยู่ยุคนั้นเราก็ไม่รู้ตัวนะ พอมองผ่านไปแล้วมันไวมาก 

ฮาย : วิธีคิดมันไม่ควรถูกฝังอะไรไว้มากมาย เพราะว่าแต่ละคนก็มีชีวิตของตัวเอง แล้วก็ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่ดีในบางเรื่องและแย่ในบางเรื่อง เพราะฉะนั้น ถ้าเขาแย่ในเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตัดสินเขาทั้งหมด เพราะว่าวันหนึ่งเราจะต้องอยู่ร่วมกับคนที่อาจจะดี 30% แต่แย่ 70% แต่เราอยู่กับเขาได้ แต่เป็นเรื่องที่น้อง ๆ จะรู้เองอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะแนะนำได้แค่เรื่องใช้ชีวิตให้มีความสุขแค่นั้นเลย 

เซน : ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากคงต้องหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าย้อนมองตัวเองตอนเด็ก สิ่งที่ทำให้เราผ่านในจุดที่แย่มาได้ ก็คือเรารู้ว่าจะไปทางไหน ผ่านช่วงแย่ ๆ แล้วจะทำให้เป็นเราในทุกวันนี้

จากวัยรุ่นหัวขบถที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่รัก สู่ Paper Planes ผู้เขย่าวงการร็อกไทยด้วยเพลงชาติเด็กอนุบาล
จากวัยรุ่นหัวขบถที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่รัก สู่ Paper Planes ผู้เขย่าวงการร็อกไทยด้วยเพลงชาติเด็กอนุบาล

สมมติเด็ก ๆ เดินไปบอกพ่อแม่ว่า หนูอยากเจาะหู สักคอแบบฮาย อยากกรีดตาแบบเซน ทำยังไง 

ฮาย : คงคล้าย ๆ เราในตอนเด็ก การสักเป็นเรื่องของวิธีคิดด้วย แล้วก็ Norm ของสังคมที่ไม่ไปถึงไหนเลย ถ้าเราฉลาดคิดหน่อยคงต้องเรียงลำดับความสำคัญ สักได้แต่ช่วงไหน เราจะรับผิดชอบตรงนั้นได้ไหม หรือจะเอาเท่อย่างเดียวก็ได้ มันเป็นชีวิตของเขา เราไม่มีสิทธิ์ห้ามใครอยู่แล้ว แม้จะแอบไปเจาะหรืออะไรก็ตาม 

สนับสนุนให้ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง 

ฮาย : ผมสนับสนุนให้ทุกคนไม่ตัดสินใครจากภายนอก เพราะอยากให้การมองคนสักเป็นคนไม่ดีหมดไปได้แล้ว มันไม่เกี่ยวเลยว่าสักแล้วจะเป็นคนไม่ดีหรือดีมาก

เซน : แล้วยิ่งตอนนี้พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ เขาก็ดูเปิดใจนะที่ให้เราเป็นไอดอลของลูก ๆ เราอาจจะเป็นประกายเล็ก ๆ ให้เขารู้สึกว่า การมองว่าคนทรงแบบนี้ดูไม่ดีมันเปลี่ยนไปแล้ว 

ดื้อนะ 

เซน : ต้องมีนะ ต้องมีนิดหนึ่ง

ฮาย : เราว่าการดื้อคือการยึดมั่นในตัวเอง การมั่นใจในสิ่งที่เขาคิด ทำให้เราพุ่งได้ตรงและพุ่งได้แรง 

เซน : แล้วการที่ Paper Planes เป็นอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะว่าเราดื้อครับ พี่ที่ค่ายก็ปวดหัวอยู่ 

เชื่อมากว่า Paper Planes และดนตรีแนวนี้จะต้องเต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ อะไรทำให้คุณยืนหยัดในสิ่งที่ทำ

ฮาย : เพราะอีโก้บาง ๆ สำหรับผม แต่ว่าเราควบคุมได้ มันคือการยึดถือและเชื่อในระบบความคิดของตัวเอง เหมือนกับเราเจอเรื่องแบบนี้มาตลอด เรียนรู้กับมันมาตลอด คนที่รู้มากที่สุดก็น่าจะเป็นเรา คนที่จะเห็นข้อผิดพลาด จะเลือกซ้ายเลือกขวาก็ควรจะเป็นเรา เพราะฉะนั้น การยึดถือตัวเองกับเรื่องของศิลปะเป็นสิ่งที่ควรจะมี ไม่งั้นเราก็จะไหลไปเรื่อย ๆ

เคยมีช่วงชีวิตที่ไม่เท่เลยบ้างไหม

ฮาย : ช่วงชีวิตที่ไม่เท่ก็คือช่วงชีวิตที่อยู่ด้วยกันเนี่ยแหละ (หัวเราะ) เราว่าเราไม่ได้เป็นคนที่อยู่ใน Beauty Standard ขนาดนั้น เราเลยต้องหาอัตลักษณ์อะไรที่เป็นตัวเอง คนเท่มันมองไม่เบื่อ 

เซน : เราแค่หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

ฮาย : ไม่ใช่ไรหรอก คือกูไม่หล่อไงไอเวร 

เซน : คุยกับบางคน บอกว่า อุ้ย หน้าไม่หล่อเลย เออ แต่กูเท่อะ (หัวเราะ)

ฮาย : ประมาณนั้นแหละ ว่าง่าย ๆ ก็คือหาอะไรมาสู้กับพวกหล่อสวย (หัวเราะ)

ฮายและเซนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวอร์ชันเท่ที่สุดแล้วรึยัง

ฮาย : ยังนะ ยังเท่ได้มากกว่านี้

เซน : มองเห็นตัวเองตอนแก่ ๆ ผมว่าตอนนั้นผมเท่กว่า 

เห็นภาพตัวเองในอีก 5 ปียังไง

ฮาย : ผมเคยคิดว่าอยากทำตัวให้เท่กว่าเด็ก ๆ การทำตัวให้เด็กคือการลงไปแข่งในลีกที่เราไม่มีทางชนะ ผมเลยอยากเป็นในแบบของเรานี่แหละ ผ่านมากี่ยุค กี่สมัย สิ่งที่ยังคงอยู่คือการเป็นตัวเอง การมีเอกลักษณ์

เซน : นึกถึง Flea มือเบส Red Hot Chili Peppers ไม่ว่าจะแก่ยังไงก็ยังเท่เหมือนเดิม เขาไม่ได้แต่งตัวเด็ก แต่ความเป็นเด็กในตัวเขายังอยู่ พอเขามีเอกลักษณ์มาก ๆ แล้วมันเท่เสมอเลย 

ถ้าได้เล่นคอนเสิร์ตเช้าในโรงเรียนอนุบาลจริง ๆ จะออกแบบโชว์ยังไง

ฮาย : ก่อนออกแบบโชว์ผมจะออกแบบตารางการนอนก่อน เพราะผมนอนเกือบเช้าทุกวัน 

เซน : บางทีก็นอนตอนเคารพธงชาติ 

ฮาย : ผมเลยคิดว่างั้นเดี๋ยวเล่นเสร็จแล้วเราค่อยนอนดีกว่า (หัวเราะ) 

ถ้าออกแบบโชว์ ผมจะเล่นเพลง ทรงอย่างแบด 5 เวอร์ชันพอ เพราะว่าเพลงอื่นเด็ก ๆ จะไม่รู้จัก เช่น หนึ่ง เวอร์ชั่นหลัก สอง เวอร์ชั่น Musicbox สาม เวอร์ชันรีมิกซ์สามช่า สี่ เพลงเพื่อชีวิต ผมเชื่อว่าเด็กเขาจะร้องทุกรอบ 

เซน : ใครร้องดังสุดแจกไมโล 

ฮาย : แล้วในนั้นก็จะมีแต่ของเด็ก ๆ ขนม ไมโล โอวัลติน ยาสีฟงยาสีฟัน ตุ๊กตงตุ๊กตา แล้วปกติในร้านเหล้าจะพูดว่า ใครยังไม่เมายกแก้วขึ้น ผมก็จะพูดว่า ใครอยากสูงยกนมขึ้นมาหน่อยโว้ย แล้วก็ชนนมกับเด็ก ๆ 

จะตั้งชื่อคอนเสิร์ตเช้าว่าอะไร 

ฮาย : มีคนเคยบอกอยู่คำหนึ่ง เทคนิคไมโล เทคโนโอวัลติน แม่งคิดได้ยังไงวะ

จากวัยรุ่นหัวขบถที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่รัก สู่ Paper Planes ผู้เขย่าวงการร็อกไทยด้วยเพลงชาติเด็กอนุบาล
Polaroid : มณีนุช บุญเรือง

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์