11 กุมภาพันธ์ 2023
3 K

วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว คงเป็น 3 วันที่เราชาวไทยรู้จักและมักจะนึกถึงเมื่อตรุษจีนย่างเข้ามา แต่ทราบกันไหมว่านั่นเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียวของเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น และการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่แท้จริงของชาวจีนโบราณกินระยะเวลายาวนานกว่าครึ่งเดือนเลยทีเดียว!

ช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์นี้จะจบลงในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 จีน อันเป็นวันเพ็ญแรกของปี ชาวจีนเรียกขานค่ำคืนนี้ว่า ‘หยวนเซียวเจี๋ย’ ในสำเนียงจีนกลาง หรือ ‘หง่วงเซียวโจ่ย’ ตามสำเนียงแต้จิ๋ว กิจกรรมที่ผู้คนทำกันในคืนนี้คือการประดับโคมไฟตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม ทอแสงวาววามทั่วบ้านทั่วเมืองยามราตรี จึงมีคนหัวใสบัญญัติคำเรียกเป็นภาษาไทยว่า เทศกาลโคมไฟ

นับตั้งแต่เทศกาลนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 2 สหัสวรรษก่อน หง่วงเซียวหรือเทศกาลโคมไฟจัดเป็นเทศกาลใหญ่ประจำเดือน 1 ของจีนเสมอมา ตามประเทศที่พูดภาษาจีนยังฉลองคืนหยวนเซียวกันอย่างคึกคัก แต่ในไทยกลับเสื่อมความนิยมลงจนลูกหลานคนจีนรุ่นหลังยังไม่ค่อยจะรู้จักเทศกาลนี้

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

เนื่องในโอกาสที่เทศกาลโคมไฟประจำปีนี้โคจรมาตรงกับงาน Bangkok Design Week 2023 เทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ 2566 อย่างเหมาะเจาะ The Cloud จึงร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) จัดกิจกรรม Walk with The Cloud : A Lanterning Talad Noi ทริปที่จะพาไปสำรวจร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของเทศกาลโคมไฟในตลาดน้อย ชุมชนชาวจีนน้อยแห่งที่ยังสืบทอดประเพณีหยวนเซียวมาจวบจนปัจจุบัน

พาทุกท่านเดินตามหลัง ต้า-ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล คอลัมนิสต์อารามบอย และ แพท-พัทธดนย์ กิจชัยนุกูล กองบรรณาธิการ The Cloud ตระเวนไปในย่านจีนเก่าตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ศึกษาเส้นทางของโคมจีนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงห้อยประดับในเทศกาลหยวนเซียว เกร็ดน่ารู้ของเทศกาลโคมไฟ ตลอดจนเรื่องราวในแง่สถาปัตยกรรม ศิลปะ ความเชื่อของชาวจีนที่ซุกซ่อนอยู่ในย่านตลาดน้อย

เยี่ยมร้านชุงแซ

กระทบไหล่ช่างทำโคมจีนรายสุดท้ายในละแวกตลาดน้อย

ก่อนไปเที่ยวชมโคมใต้แสงจันทร์ เรานัดกันตอนบ่ายแก่ ๆ ยกพลบุกห้องแถว 1 คูหาที่เร้นกายในตรอกเล็กของซอยเจริญกรุง 28 เพื่อทำความรู้จักกับต้นรากของโคมกระดาษมากมายที่พบได้ตามศาลเจ้า โรงเจ สมาคม และบ้านช่องของชาวไทยเชื้อสายจีน

นี่คือที่ตั้งปัจจุบันของร้านชุงแซ กิจการทำโคมจีนที่ ชอเซ้ง แซ่ตั้ง รับสืบทอดมาจากบิดาชาวจีนโพ้นทะเลเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน และยึดเป็นอาชีพเลี้ยงปากท้องมาจนถึงปัจจุบัน

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

ชอเซ้งเล่าว่าในอดีตร้านทำโคมจีนแบบเดียวกับเขามีแหล่งอยู่ที่ตรอกโรงโคมข้างศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง ถนนทรงวาด แต่เมื่อความนิยมในการใช้โคมลดน้อยลง หลายเจ้าก็ทยอยเลิกกิจการกันไป หรือไม่ก็โยกย้ายออกไปเปิดร้านใหม่ในย่านอื่น ร้านชุงแซของเขาย้ายมาแล้วหลายที่ จนกระทั่งมาลงเอยในห้องแถวแห่งนี้ กลายเป็นร้านเดียวในพื้นที่ใกล้เคียงตลาดน้อยที่ยังทำอาชีพผลิตโคมอยู่

ในการสร้างโคมแต่ละชิ้น ช่างทำโคมผู้นี้จะรับโครงไม้ไผ่จักสานมาจากตลาดในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี นำโครงเหล่านั้นมาวาดเขียนลวดลายด้วยสีอะคริลิก ก่อนเคลือบกระดาษทาน้ำมัน ส่งไปให้ผู้ค้าโคมนำออกขายอีกทอด แต่บางครั้งก็มีตัวแทนจากศาลเจ้าผู้สั่งทำโคมเหล่านั้นมารับไปด้วยตัวเอง

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

ถึงเนื้อที่ร้านจะคับแคบอยู่สักหน่อย ทว่าเนื้อที่อันจำกัดก็ไม่อาจปิดกั้นความใคร่รู้เรื่องโคมไฟจีนของเหล่าผู้ร่วมทริปได้ ‘เฮียเซ้ง’ จึงชวนเชิญให้ทุกคนเข้ามาชมงานฝีมือของตนที่กล่นเกลื่อนอยู่เต็มเพดานร้าน ส่วนใหญ่เขียนตัวหนังสือสีแดงไว้ใช้ในงานมงคล มีบางใบเขียนสีน้ำเงินใช้เฉพาะงานศพ เกือบทุกใบมีลวดลายตกแต่งเป็นรูปหงส์บ้าง มังกรบ้าง ดอกไม้บ้าง

ข้อความที่ชอเซ้งเขียนบ่อยที่สุดคือคำอวยพร ซึ่งมักประกอบด้วยอักษร 4 ตัว อย่าง หะเจ่งเผ่งอัง (合衆平安) ที่แปลว่าทุกผู้ทุกคนสงบสุข รองลงมาคือชื่อเทพเจ้าประจำศาลที่สั่งทำโคมนั้น อาทิ ปึงเถ่ากง (เทพเจ้าผู้คุ้มครองชุมชน) ทีตี่แป่บ้อ (เจ้าพ่อเจ้าแม่ฟ้าดิน) เหล่านี้เป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีตสูง และต้องเปลี่ยนใหม่ทุกปี ช่างทำโคมรายนี้ได้ฝึกฝีมือการวาดเขียนพู่กันของตนจนนิ่ง สวย แม้จะจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และไม่เคยเล่าเรียนศิลปะที่ไหน แต่ลายมือของเขาก็นับว่าหาตัวจับได้ยากทีเดียว

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

พิเศษสุดสำหรับทริปนี้ คือของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เฮียเซ้งเตรียมไว้เซอร์ไพรส์ผู้ร่วมทริป นั่นก็คือ ‘เต็งหลั่งเกี้ย’ หรือโคมเล็กที่เขากับภรรยาตั้งใจทำ ด้านหนึ่งเขียนคำอวยพรว่า เปาอิ๋วเผ่งอัง (保佑平安) คือคำอวยพรขอให้แคล้วคลาดจากภยันตรายพร้อมกับอำนวยพรแห่งความสันติสุขมาให้ ส่วนอีกด้านติดโลโก้ The Cloud สุดน่ารัก กลายเป็นไฮไลต์ประจำทริปที่ทุกคนนำมาถ่ายรูปกันเพลิน

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

เข้าสู่ตลาดน้อย

รู้จักชุมชนชาวจีนที่ขยายออกมาจาก ‘ตลาดใหญ่’ เมื่อ 200 ปีก่อน

รับโคมจิ๋วที่ระลึกมาคนละใบ ก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนสู่ใจกลางย่านตลาดน้อยที่อยู่ห่างออกไปเพียงแนวคลองผดุงกรุงเกษมขวางกั้น คลองสายนี้ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ขุดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขยับขยายอาณาเขตพระนครให้กว้างออกไป ก่อนจะถูกใช้เป็นเส้นแบ่งเขตหลาย ๆ เขตในกรุงเทพมหานครยุคหลัง เป็นต้นว่าเขตบางรักกับเขตสัมพันธวงศ์

ในขณะที่บางรักมีความเป็นย่านพหุวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติ ปนเปกันทั้งฝรั่ง แขก จีน สัมพันธวงศ์กลับมีภาพลักษณ์เป็นย่านของชาวจีนที่โดดเด่นกว่าชาติอื่นใด เพราะในเขตเล็ก ๆ นี้ยังซอยการปกครองออกเป็น 3 แขวง ประกอบด้วยแขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ และแขวงตลาดน้อย ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นถิ่นอาศัยของชาวไทยเชื้อสายจีนมานานเนา เป็นเหตุให้จุดตัดระหว่างเขตบางรักกับเขตสัมพันธวงศ์มีซุ้มประตูจีนตั้งไว้บนสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม บ่งบอกถึงสายเลือดสำคัญของผู้คนในเขตนี้

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

เพียงข้ามคลองไป ภาพโคมจีนสีแดงที่ปลิวไสวอยู่เหนือลานกว้างก็ปรากฏขึ้นมาเป็นอย่างแรก ช่วยให้รู้ว่าถึงตลาดน้อยที่ทุกคนดั้นด้นมาโดยสวัสดิภาพ

ตลาดน้อย ชาวจีนเมืองไทยรู้จักในชื่อ ‘ตักหลักเกี้ย’ (噠叻仔) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อย่านพอจะบอกได้เลา ๆ ว่า เป็นตลาดหรือย่านที่มีขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าเป็นย่านที่เกิดหลังสำเพ็ง กล่าวคือเดิมชาวจีนเคยอาศัยอยู่บริเวณพระบรมมหาราชวังปัจจุบัน เรียกกันว่า ‘ย่านบางจีน’ ครั้นเมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และเลือกย่านนั้นเป็นที่ตั้งพระราชวังใหม่ ชาวจีนสมัยนั้นจึงย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่ย่านสำเพ็ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นตลาดใหญ่ เมื่อบริเวณดังกล่าวเริ่มคับแคบ จีนบางส่วนเลยขยายมาอยู่ในบริเวณตลาดน้อย ทางใต้ของสำเพ็ง

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

แม้จะเป็นย่านเล็กย่านน้อยสมชื่อ แต่ตลาดน้อยก็อบอวลไปด้วยวิถีชาวบ้านแบบจีนที่ตกทอดกันมานานนับร้อย ๆ ปี ซ้ำยังเป็นไม่กี่ย่านในประเทศไทยที่มีชาวจีนครบทั้ง 5 กลุ่มสำเนียงใหญ่ ได้แก่ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน แคะ กวางตุ้ง และไหหลำอีกด้วย

ชำเลืองตาหาโคมในวัดกาลหว่าร์

เรียนรู้วิถีทางวัฒนธรรมของกลุ่มคริสตชนเชื้อสายจีน

โคมแดงอันกระจ้อยห้อยผูกอยู่ตามหน้าต่างยอดแหลมแบบโกธิก ดูช่างขัดแย้งกันสิ้นดีกับกระจกสีรูปพระคริสต์และรูปปั้นนักบุญที่เรียงรายอยู่ภายใน

นั่นคงเป็นความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจใครหลายคน เมื่อเดินเท้าเข้ามายังวัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์) โบสถ์ในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกแห่งเดียวในตลาดน้อย

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

โบสถ์คริสต์ (ชาวไทยที่นับถือคาทอลิกจะเรียกศาสนสถานของพวกตนว่า วัด) แห่งนี้สร้างขึ้นบนที่ดินพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยกลุ่มชาวโปรตุเกสที่อพยพมาเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ก่อนจะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โดยชาวฝรั่งเศส แต่เป็นเพราะบริเวณรายรอบเป็นถิ่นของชาวจีน เมื่อฝรั่งตาน้ำข้าวเหล่านี้โยกย้ายออกไป ที่นี่ก็ได้รับการดูแลและสานต่อศาสนกิจมาโดยชาวจีนที่นับถือคริสต์ บางส่วนนับถือมาตั้งแต่อยู่ภูมิลำเนาเดิมที่เมืองจีน บางส่วนก็เพิ่งล้างบาปเข้ารีตกันที่นี่

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

ชนชาติจีนไม่จำเป็นต้องไหว้พระสักการะเทพเจ้าแบบจีนเสมอไป หลายคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาความเชื่อของชาวตะวันตก แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งวัฒนธรรมเดิมของพวกตน วัดกาลหว่าร์ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของเหล่าคริสตชนเชื้อสายจีนในเมืองไทย วัดนี้มีชื่อเป็นภาษาจีน มีคุณพ่อพระสงฆ์ที่พูดจีนได้ และยังรักษาธรรมเนียมการประกอบพิธีมิสซาเป็นภาษาแต้จิ๋วทุกเช้าวันอาทิตย์

ทุกปีเมื่อเทศกาลตรุษจีนเวียนมาบรรจบ ชาวคาทอลิกเชื้อสายจีนจะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำมิสซารับสิริมงคล แต่ละคนจะสวมชุดสีแดง มีการแจกอั่งเปาและส้มมงคล ทั่ววัดจะตกแต่งด้วยกระดาษแดงเขียนคำอวยพร รวมทั้งประดับโคมแดงเช่นที่แขวนอยู่ตามหน้าต่างวัด

สักการะเทพเจ้าฮ้อนหว่องกุง

จักรพรรดิราชวงศ์ฮั่นที่ (อาจ) ทรงเกี่ยวข้องกับเทศกาลโคมไฟ

เขยิบมาจากวัดกาลหว่าร์ไม่กี่สิบก้าว เท้าของพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่ทางเข้าศาลเจ้าโรงเกือก ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า ฮ้อนหว่องกุง เป็นภาษาจีนแคะ ตรงกับ ฮั่นหวังกง ในภาษาจีนกลาง หากแปลเป็นไทยเอาความหมายคงได้ว่า ปู่กษัตริย์ฮั่น

ราชวงศ์ฮั่นเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดราชวงศ์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ปกครองแผ่นดินนานกว่า 400 ปี ในยุคฮั่นเมื่อราว 2,000 ปีก่อนนี้เองที่นักวิชาการพบหลักฐานของเทศกาลโคมไฟหรือหยวนเซียวเก่าสุดที่เคยพบมา ทำให้หลายคนลงความเห็นว่าเทศกาลโคมไฟน่าจะถือกำเนิดในสมัยฮั่น

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

ทฤษฎีกำเนิดหยวนเซียวว่ากันไปต่าง ๆ นานา หนึ่งในทฤษฎีเหล่านั้นระบุไว้ว่าเกิดขึ้นหลังรัชสมัยของ หลิว ปัง หรือ จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ (ฮั่นโกโจ) ปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น กล่าวคือหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคต พระนางหลี่ว์ มเหสีใจโฉด ใช้อำนาจบาตรใหญ่จนมีผู้คนล้มตายไปมาก ขุนนางตงฉินได้ทำการโค่นพระนางลงจากอำนาจ และทูลเชิญพระโอรสของฮั่นเกาจู่ที่ประสูติจากมเหสีรองขึ้นครองราชย์เป็น จักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ ในคืนเพ็ญแรกของปี หลังจากนั้นทุก ๆ ปี จักรพรรดิพระองค์ใหม่นี้จะเสด็จประพาสราตรีในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 ผู้คนจึงจุดโคมเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงจุดสิ้นสุดของกลียุคที่พวกเขาต้องทุกข์ทนภายใต้อำนาจพระนางหลี่ว์

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

เนื่องจากเบาะแสเกี่ยวกับเทพเจ้าฮ้อนหว่องกุงที่เป็นประธานในศาลเจ้านี้มีเหลือน้อย คนรุ่นหลังหลายคนเชื่อว่าฮ้อนหว่องกุงก็คือจักรพรรรดิฮั่นเกาจู่ผู้ทรงเป็นพระสวามีของพระนางหลี่ว์ และพระชนกของจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ ที่เป็นต้นตอของเทศกาลโคมไฟ

ศาลเจ้าฮ้อนหว่องกุงเป็นศาลเจ้าของชาวจีนแคะ (ฮากกา) แห่งแรกในรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 1 แต่ได้รับการอุปถัมภ์และบูรณะครั้งใหญ่โดย พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน) ขุนนางใหญ่ชาวจีนแคะในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นต้นตระกูลโชติกเสถียร

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

นอกจากรูปเคารพฮ้อนหว่องกุงที่ทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิจีน ในศาลนี้ยังคับคั่งไปด้วยรูปเคารพเทพเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายองค์ บางองค์ก็พบได้เฉพาะในศาลเจ้าของชาวจีนแคะ เช่น พระอาจารย์ชำขุยโจวซือ ซึ่งชาวแคะเลื่อมใสศรัทธากันมาก โดยในศาลปักป้ายนามแค่ ‘โจวซือ’ เฉย ๆ

สังเกตรูปแบบโคมจีน

อัตลักษณ์สะท้อนตัวตนคนจีนแต่ละถิ่น แต่ละยุคสมัย

ภาษาจีนเรียกโคมว่า 燈籠 จีนกลางอ่าน เติงหลง แต้จิ๋วออกเป็น เต็งลั้ง โดยปริยายหมายถึงโคมไฟไม่จำกัดรูปแบบ โคมไฟจีนทุกชนิดจัดเป็นเติงหลงหรือเต็งลั้ง

ในตลาดน้อยพบโคมได้หลายแบบ เริ่มจากโคมกระดาษทาน้ำมันที่เรียกว่า อิ่วจั๋วเต็งลั้ง (油纸灯笼) แบบที่ผลิตโดยร้านชุงแซ เป็นโคมไฟเฉพาะถิ่นของชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมีหลายทรงหลายขนาด เป็นที่แพร่หลายมากในประเทศไทย เพราะเป็นดินแดนที่ชาวแต้จิ๋วอพยพมาอยู่มาก

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน

โคมอีกแบบที่พบได้มากคือโคมสีแดง ซึ่งนับว่าเป็นเต็งลั้งแบบมาตรฐาน พบได้ทั่วไปในเมืองจีน

เต็งลั้งแบบมาตรฐานนี้ดั้งเดิมทำจากกระดาษ มีรูปทรงเป็นกระเปาะ ก่อนจะได้รับการสร้างสรรค์พัฒนาให้มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน เช่น โคมเล็กผูกติดกันเป็นสายหลายใบ โคมไฟฟ้าสมัยใหม่ที่ส่องไฟกะพริบ บางใบเป็นโคมหมุนได้ มีไฟหลายสี ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมตามศาลเจ้าหลาย ๆ แห่ง

ซอกแซกตลาดน้อย ย้อนรอยอดีตของเทศกาลโคมไฟซึ่งกำลังสูญหายไปจากชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน
ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

เยือนศาลเจ้าโจวซือกง

ศูนย์รวมใจชาวจีนฮกเกี้ยนในตลาดน้อย เมื่อก่อนเคยเป็นวัดอยู่ระยะหนึ่ง

ชาวจีนรุ่นบุกเบิกตลาดน้อยเป็นจีนฮกเกี้ยนเสียมาก แม้ในยุคหลังจีนฮกเกี้ยนในตลาดน้อยจะถูกกลืนไปกับจีนแต้จิ๋วที่พูดภาษาใกล้เคียงกัน รวมถึงชาวไทยท้องถิ่นที่กลมกลืนเข้ากับคนจีนได้ไม่ยาก แต่สิ่งสำคัญที่จีนกลุ่มนี้ฝากไว้ในตลาดน้อย คือศาลเจ้าโจวซือกงอันโด่งดังริมแม่น้ำเจ้าพระยา

โจวซือกง หรือ จ้อซูก้ง เป็นคำเรียกยกย่องพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับความเคารพอย่างสูง สำหรับชาวมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน) นั้น โจวซือกงสำหรับพวกเขาหมายถึง พระอาจารย์เฉ่งจุ้ยจ้อซู ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่งเมื่อราว 1,000 ปีก่อน

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

จุดเริ่มต้นของที่นี่เป็นศาลเจ้า ก่อนกลายสถานะเป็นวัดจีน มีภิกษุจีนมาจำพรรษาอยู่พักหนึ่ง ชื่อว่า วัดซุ่นเฮงยี่ ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นศาลเจ้าตามเดิมเมื่อไม่เหลือภิกษุจำพรรษาแล้ว

วิทยากรร่วมกันเล่าความแตกต่างระหว่างศาลเจ้ากับวัดจีนให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า การจะเป็นวัดจีนได้จำต้องมีพระพุทธรูปในตำแหน่งประธานและมีพระสงฆ์จีนนิกายจำพรรษา หากที่ใดไม่มีพระสงฆ์และมีเทพเจ้าแบบจีนเป็นประธาน ควรคิดไว้ก่อนว่าที่นั่นมีสถานภาพเป็นศาลเจ้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเชื่อของจีนมีความผสมผสานกันระหว่างลัทธิศาสนาสูงมาก หลายศาลเจ้ามีพระพุทธรูป หลายวัดก็มีเทพเจ้าจีน จึงต้องจำแนกศาสนสถานเหล่านี้เป็นกรณีไป

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

นอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนเชื้อสายฮกเกี้ยนตลอดจนจีนทั่วไปในตลาดน้อยแล้ว ศาลเจ้าโจวซือกงยังเป็นศูนย์กลางในการจัดเทศกาลสำคัญ ๆ อีกหลายงานในรอบปี เช่น กินเจ ส่วนในเทศกาลหยวนเซียว ศาลเจ้าอายุเกิน 200 ปีแห่งนี้ก็มีความสำคัญมาแต่โบร่ำโบราณ เห็นได้จากหมู่เครื่องสักการะที่ทำเป็นรูปสิงโตและเจดีย์สีขาว ปั้นด้วยน้ำตาล ในอดีตภาษาไทยเคยมีชื่อเรียกเทศกาลหยวนเซียวว่า ‘สารทสิงโตน้ำตาล’ ก็มาจากชื่อของไหว้ชนิดที่พบได้มากที่หน้าแท่นบูชาพระอาจารย์โจวซือกง

ดูงิ้วในศาลเจ้า

ร่องรอยงานฉลองไม่กี่อย่างที่หลงเหลือในค่ำคืนหยวนเซียวเมืองไทย

ย้อนหลังไปเกือบร้อยปีก่อน คืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 เคยเป็นเทศกาลที่สนุกสนานมากของชนชาติจีน ด้วยเป็นโอกาสไม่กี่ครั้งใน 1 ปีที่หญิงชายจะได้ออกมาพบเจอกันท่ามกลางบรรยากาศอันงดงามของโคมไฟมากมายที่แขวนไว้ให้แสงสว่างตามสถานที่ต่าง ๆ ประกอบกับการที่หยวนเซียวมักอยู่ใกล้วันวาเลนไทน์ของฝรั่ง หลายคนจึงตั้งฉายาให้เทศกาลนี้ว่า ‘วันแห่งความรักของชาวจีน’

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

แถบจังหวัดแต้จิ๋วซึ่งเป็นถิ่นเดิมของบรรพชนชาวไทยเชื้อสายจีนมีกิจกรรมหลายอย่างที่นิยมกระทำกันในคืนนี้ เช่น การเชิดสิงโต แสดงเอ็งกอ จุดโคมไหว้ศาลบรรพชนเพื่อขอทายาทสืบสกุล ก่อนนำกลับมาแขวนที่บ้าน รอให้ได้ลูกหลานสมใจก่อน จึงจะนำโคมไปจุดถวายคืนและนำลูกเล็กไปไหว้ขอบคุณ รวมไปถึงการละเล่นทายปริศนาคำกลอนบนโคม เรียกว่า ‘ผะหมี’ ที่แต่ก่อนเคยมีเยอะจนรวมเล่มพิมพ์หนังสือได้ทุกปี แม้แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังโปรดการทายปริศนาชนิดนี้จนทรงนำไปดัดแปลงเล่นเป็นภาษาไทย แต่ปัจจุบันเสื่อมสูญไปจนไม่เหลือใครเล่นแล้ว

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

ในบรรดากิจกรรมทุกอย่างที่เคยมีในประเทศไทย สิ่งที่ยังพอมีให้เห็นในคืนหยวนเซียวอยู่ประปรายก็คือการแสดงงิ้วหรืออุปรากรจีน ศาลเจ้าหลายแห่งยังว่าจ้างงิ้วมาแสดงเป็นเวลา 3 คืนช่วงนี้ ว่ากันว่าแต่เดิม งานงิ้วที่ศาลเจ้าโจวซือกงเคยมีการประชันกันระหว่าง 2 คณะ เป็นงานใหญ่โตของกรุงเทพฯ

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

จริงอยู่ที่ในปัจจุบันเทศกาลโคมไฟที่นี่เหลืองิ้วแสดงแค่คณะเดียว แต่การได้ดูงิ้วใต้แผงโคมมากมายให้ความรู้สึกตื่นตาไม่ใช่เล่น แค่ได้ชมการแสดงงิ้วเบิกโรงชุด แปดเซียนอวยพร ก็ทำให้หนุ่มสาวผู้ร่วมทริป Walk with The Cloud ครั้งนี้อิ่มเอมใจไปตาม ๆ กัน

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

ร่วมพิธีบูชาดาวนพเคราะห์

พิธีกรรมที่บอกเล่าความกลมกลืนของชาวญวนในตลาดน้อย

ฟ้ามืดสนิท สวนทางกับโคมไฟตามบ้านเรือนที่ทยอยกันเรื่อเรืองเหลืองลออ เมื่อชาวเราก้าวเท้าออกจากศาลเจ้าโจวซือกง มายัง วัดอุภัยราชบำรุง ที่หมายสุดท้ายในค่ำคืนนี้

วัดในนิกายมหายานที่ดูละม้ายคล้ายวัดจีนตรงหน้า แท้จริงแล้วเป็นวัดญวน มีชื่อเป็นภาษาเวียดนามว่า คั้น เวิน ตื่อ แต่ชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไปมักเรียกที่นี่ว่า วัดญวนตลาดน้อย ตามตำแหน่งที่ตั้ง สันนิษฐานกันว่าสร้างมาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 1 หลัง พ.ศ. 2330 ที่ องเชียงสือ เจ้านายชาวญวนอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารองค์ปฐมกษัตริย์แห่งจักรีวงศ์

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์ได้พระราชทานเงินช่วยปฏิสังขรณ์วัดนี้ที่เริ่มเสื่อมโทรมลง แต่กว่าจะแล้วเสร็จก็ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 วัดญวนตลาดน้อยจึงได้รับชื่อพระราชทานใน พ.ศ. 2420 ว่า ‘วัดอุภัยราชบำรุง’ อันหมายถึง วัดที่ได้รับการทำนุบำรุงโดยพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์

ชาวญวนมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับจีน เนื่องด้วยญวนหรือเวียดนามเป็นชาติเดียวในเอเชียอาคเนย์ที่ถูกปกครองโดยจีนเป็นระยะเวลายาวนาน พุทธศาสนาของญวนจึงซึมซับอิทธิพลมหายานแบบจีนเข้ามามากจนแยกกันแทบไม่ออก ชาวญวนในตลาดน้อยก็ผสมกลมกลืนไปกับชาวจีน แม้ว่าประเทศไทยจะแบ่งระบบการปกครองของภิกษุฝ่ายมหายานออกเป็น 2 ส่วน คือ จีนนิกาย (จีน) กับ อนัมนิกาย (ญวน) แล้วไซร้ แต่คนทั้ง 2 เชื้อชาติก็ประกอบศาสนกิจในวัดของอีกนิกายได้โดยไม่แบ่งแยก

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

ในความเป็นมหายาน 2 นิกายนี้ พระท่านจะประกอบพิธีบูชาดาวนพเคราะห์ช่วงหลังวันตรุษ เป็นการรับขวัญปีใหม่ที่กำลังดำเนินไป วัดญวนตลาดน้อยถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าจะจัดพิธีนี้ทุกวันขึ้น 14 – 16 ค่ำของทุกปี โดยยึดเอาเทศกาลหยวนเซียวคืนขึ้น 15 ค่ำ เป็นแกนกลาง 

หากมาในวัดช่วง 3 คืนดังกล่าวก็จะได้ยินเสียงสวดมนต์ภาษาญวนปนไทยและบาลีตามแบบฉบับของพระอนัมนิกายเมืองไทย ท่ามกลางแสงเทียนมากมายที่สาธุชนจุดขึ้นเพื่อให้หมู่ดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง คุ้มครองดวงชะตาให้โชคดีมีชัยตลอดปี

ทอดน่องท่องตลาดน้อย หิ้วโคมจิ๋ว ดูงิ้ว ไหว้พระไหว้เจ้าฉลองค่ำคืน ‘หยวนเซียว’ เทศกาลจีนโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

Writer

พัทธดนย์ กิจชัยนุกูล

พัทธดนย์ กิจชัยนุกูล

ชอบอ่านเขียนตั้งแต่จำความได้ สนใจวิชาสังคมศึกษาตั้งแต่จบอนุบาล ใฝ่รู้ประวัติศาสตร์ตั้งแต่อยู่ประถม หัดแต่งนวนิยายตั้งแต่เรียนมัธยม เขียนงานสารพัดด้วยนามปากกา “แพทริก เหล่า” ตั้งแต่เข้ามหา’ลัย

Photographer

Avatar

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ