“อย่าบอกว่าคุณเหงา อย่าบอกว่าคุณขมขื่น อย่าบอกว่ายังไม่ตื่น เมื่อเรามายืนอยู่ตรงนี้”

ทันทีที่เพลงไตเติลนี้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ทุกวันอาทิตย์ เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นรายการไร้สาระซึ่งโด่งดังที่สุดรายการหนึ่งของประเทศ

กว่า 30 ปีแล้วที่คนไทยทั่วประเทศได้รู้จักกับ ยุทธการขยับเหงือก รายการตลกที่อุดมไปด้วยเหล่าเสนาอารมณ์ดี ที่พร้อมปล่อยความฮาให้คุณได้ขยับกรามขยับเหงือกกันแบบไม่มียั้ง

ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019

แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงใด แต่ภาพจำนี้ไม่เคยจางหายไปไหน เหล่าพิธีกรคนดังยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมกับสมญา ‘เสนา’ ยังคงติดตัวจนถึงทุกวันนี้

ในวาระที่รายการดังได้กลับมาบนหน้าจออีกครั้ง ยอดมนุษย์..คนธรรมดา เลยถือโอกาสดีชักชวนคนเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ช่วยกันปลูกปั้นความบันเทิงนี้มาตั้งแต่ต้น มาย้อนอดีตร่วมกันว่า เหตุใด ยุทธการขยับเหงือก จึงกลายเป็นตำนานของวงการโทรทัศน์ไทย 

และจะก้าวต่อไปท่ามกลางการแข่งขันบนหน้าจอที่รุนแรงเวลานี้อย่างไร

01

กว่าจะเป็น ‘ขยับเหงือก’

ย้อนกลับไปในวันที่สถานีโทรทัศน์เมืองไทยยังมีเพียง 5 ช่อง ผู้ผลิตรายการมีอยู่เพียงไม่กี่เจ้า หนึ่งในทีมงานคนรุ่นใหม่ที่ถูกพูดถึงและเป็นที่จับตามากที่สุด คงหนีไม่พ้นบริษัท JSL ซึ่งเวลานั้นมีรายการเด่นๆ อย่าง พลิกล็อก, วิก 07, จันทร์กะพริบ หรือ คอนเสิร์ตคอนเทสต์

หากแต่รายการประเภทหนึ่งที่ทีมงานรู้สึกว่ายังขาดอยู่และอยากพัฒนาขึ้นมา คือรายการตลกหรรษาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเฮฮาล้วนๆ

สองโปรดิวเซอร์หนุ่ม รุ่นพี่รุ่นน้องจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อั๋น-วัชระ แวววุฒินันท์ และ แดง-สุวิทย์ สาสนพิจิตร์ เลยมานั่งคุยกันว่า หากเป็นไปได้ก็อยากนำประสบการณ์สนุกๆ สมัยยังเป็นนิสิตยุคที่เคยจับกลุ่มทำละครเวทีมาต่อยอดบนหน้าจอทีวี

“เรื่องนี้ต้องให้เครดิตเจ้านาย คือ คุณจำนรรค์ ศิริตัน และ คุณลาวัลย์ กันชาติ ที่เปิดโอกาสให้เราทำอะไรตามใจชอบ รายการนี้เหมือนการทดลอง เมื่อก่อนความผิดพลาดไม่ได้แพงเหมือนสมัยนี้ ด้วยความที่เรามาจากละครเวที จึงชอบความสด เพราะมันสามารถเชื่อมโยงระหว่างคนเล่นกับคนดู สุดท้ายเลยคิดดีไซน์รูปแบบขึ้น เป็นรายการตลกแบบคนรุ่นใหม่” วัชระซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด กล่าว

ความตลกที่เหล่าโปรดิวเซอร์วางไว้อยู่ที่การเซอร์ไพรส์ ผสมผสานกับทีมพิธีกรที่ต้องทำหน้าที่คอยสร้างสถานการณ์และบรรยากาศเพื่อนำไปสู่ความสนุก

“เรารู้สึกว่าควรมีคนเล่นประจำ อย่าง วิก 07 ถามว่าดูแล้วหัวเราะเฮฮาไหม ก็หัวเราะสบายใจ แต่เป็นแขกรับเชิญที่เวียนมา เลยคิดว่าถ้ามีแขกประจำของเราเลย คนกลุ่มนี้น่าจะทำอะไรดี เลยนึกไปถึงรายการพวก หุ่นมหาสนุก มีสถานที่ที่เกิดประจำ แล้วเชิญแขกมาร่วมรายการ จากนั้นค่อยมาคิดต่อว่าทำอะไรให้สนุกสนาน พอมาถึงช่วงไฮไลต์ ก็คิดกันแค่ว่าควรมีเซอร์ไพรส์ อย่างวันเกิดมีเค้กให้หรือของขวัญอะไรสักอย่างที่ทำให้ประหลาดใจแค่นั้น ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องแกล้งอะไร”

หลังได้คอนเซ็ปต์เรียบร้อย ก็มาถึงเรื่องชื่อรายการและผู้ดำเนินรายการ

ในส่วนของคำว่า ‘ขยับเหงือก’ แนวคิดมาจาก อารักษ์ คคะนาท กวีรุ่นใหญ่จากมติชน มีความหมายถึง ‘เรามาหัวเราะกันหน่อย’ จากนั้นทีมงานมาเติมคำว่า ‘ยุทธการ’ เข้าไปเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ที่สำคัญ คำนี้ยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็นองค์กรหรือศูนย์บัญชาการอะไรสักอย่าง

ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019
ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019

จากชื่อก็ต่อยอดสู่ไอเดียอื่นๆ ทั้งเครื่องแบบ หรือคำเรียกพิธีกร ซึ่งทีมงานบัญญัติคำว่า ‘เสนา’ ขึ้นมาสำหรับพิธีกรชาย ย่อมาจาก ‘เสนาธิการ’ และ ‘เลขา’ สำหรับพิธีกรหญิง เหมือนกับสมัยที่กลุ่มนิสิตสถาปัตย์ จุฬาฯ ทำรายการเพชฌฆาตความเงียบ ที่มีคำว่า ‘ซูโม่’ นำหน้าชื่อนักแสดง

ส่วนตัวพิธีกร ครั้งแรกวางเสนาไว้ทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วย ตา-ปัญญา นิรันดร์กุล รับหน้าที่หัวหน้าเสนา โค้ก-สมชาย เปรมประภาพงษ์, กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ, ตุ๋ย-อรุณ ภาวิไล, เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย และ หนูแหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา

เสนาส่วนใหญ่เป็นบุคลากรของ JSL อยู่แล้ว อย่างปัญญาเป็นพิธีกรรายการ พลิกล็อก ส่วนซูโม่โค้ก ซูโม่ตุ๋ย หรือซูโม่กิ๊ก นอกจากเป็นแก๊งสถาปัตย์ จุฬาฯ ของโปรดิวเซอร์ ยังเคยฝากผลงานละครของบริษัทไว้หลายเรื่อง ขณะที่เปิ้ลเคยฝึกงานอยู่ที่ค่ายเพลงคีตา เคยช่วยรายการเพลง กระต่ายโชว์ และยังเคยแสดง วิก 07 มาก่อน สุดท้ายหนูแหม่ม ผู้หญิงคนเดียวของรายการ แม้เวลานั้นยังเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก แต่มีแววความตลกที่โดดเด่น ทีมงานเลยดึงเข้ามาร่วมวง

“การเล่นตลก ผู้ชายมันสร้างอารมณ์ขันได้มากกว่าผู้หญิง เพราะผู้หญิงนั้นการยอมรับเชิงอารมณ์ขันมันยากนะ คือจะเล่นยังไงให้คนดูไม่เกลียด ไม่ดูเวอร์ ดูแรด ดูก้าวร้าว แต่การมีผู้หญิงนั้นดีตรงที่ความบาลานซ์ และบางอย่างใช้ความเป็นผู้หญิงดีกว่า มีแค่คนเดียวพอ แล้วทำให้เขาเป็นดาวเด่นไปเลย ซึ่งตอนที่เราเลือก ดาราไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ ซึ่งหนูแหม่มเขาเป็นคนมีเอกลักษณ์ เป็นเด็กผู้หญิงที่ดูเจ้าเนื้อ ตลก ดูแล้วรู้สึกสนุกดี” วัชระกล่าวย้ำ

ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019
ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019

ยุทธการขยับเหงือก เริ่มออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2532 เวลา 5 โมงเย็น เพียงไม่กี่เทปก็กลายเป็นรายการโทรทัศน์ยอดนิยมที่มีผู้ติดตามสูงมาก โดยแขกรับเชิญคนแรกคือ หนุ่มเสก-เสกสรร ชัยเจริญ แห่งค่ายคีตา แผ่นเสียงและเทป

“หนุ่มเสกเป็นนักร้องดังมาก อยู่ค่ายเราเองด้วย ตอนนั้นเราเปิดฉากโดยให้เขาร้องเพลง ตอนซ้อมก็ซ้อมกันปกติ เพียงแต่เราเตี๊ยมกับทีมงานว่าเวลาเล่นจริงให้ปรับสปีดของแบ็กกิ้งแทร็กให้ช้าลง เราจะดูว่าเขาปรับการร้องยังไง ให้เขาร้องกับจังหวะที่มันยาน ปรากฏว่าตอนแรกหนุ่มก็งง แต่ด้วยเลือดศิลปินจึงพยายามแถ มันเลยเกิดความสด เฮฮากันขึ้นมา เป็นการอำ การแกล้ง ซึ่งคนดูชอบมาก”

ความใหม่ ความสด ของรายการกลายเป็นแรงดึงดูดผู้ชมและสินค้ามากมายให้เข้ามา แม้เวลาฉายจะไม่อยู่ในช่วงไพรม์ไทม์ แต่วัชระยังจำได้ดีว่าสปอนเซอร์แห่เข้ามาจนล้น ถึงขั้นต้องดึงลูกค้าบางรายออกไป

ทว่าหลังออกอากาศไปได้ไม่ถึงปี ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น

เริ่มตั้งแต่เสนากิ๊กขอถอนตัวออกไปเป็นคนแรก และพอช่วงตุลาคม 2532 เสนาปัญญาตัดสินใจขอแยกตัวอีกคน เพื่อเริ่มต้นบริษัทใหม่ Workpoint Entertainment ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงพิธีกรใหม่ โดยดึง เพชร-พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร นักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี ซึ่งเคยร่วมงานกับ JSL ใน วิก 07 มาร่วมทีมแทน

ทั้ง 5 คน โค้ก อรุณ เปิ้ล แหม่ม เพชร เล่นด้วยกันอย่างเข้าขานานต่อเนื่องนับปี จนหลายคนนึกว่าเป็นทีมตั้งต้นของ ยุทธการขยับเหงือก ก่อนมีการเติมเสนาอื่นๆ เข้ามาอีกหลายคน

02

ความไร้สาระที่ไม่ได้มาแบบง่ายๆ

แม้จะมุ่งนำเสนอความไร้สาระเป็นหลัก แต่เบื้องหลังของ ยุทธการขยับเหงือก กลับเต็มไปด้วยการใช้ความคิดอย่างหนัก ทั้งการสร้างสรรค์ และการเตรียมการเพื่อให้ออกมาสนุกที่สุด

“บทต้องตลกมาตั้งแต่ห้องประชุมแล้ว…มันเป็นความคมคายของคนเบื้องหลัง แค่เราอ่านบทก็หัวเราะน้ำตาไหลแล้ว นี่คือความสำเร็จของ ยุทธการขยับเหงือก” เสนาเปิ้ลเคยกล่าวผ่านรายการ บันทึก…บทที่หนึ่ง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง UBC Inside เมื่อสิบกว่าปีก่อน

ยุทธการขยับเหงือก ถือเป็นรายการตลกแรกๆ ในเมืองไทยที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ตลกปัญญาชน’ ให้ความสำคัญกับการเขียนบท การหาข้อมูล และความคิดสร้างสรรค์ โดยมุกที่เป็นที่นิยมในช่วงนั้นมักเป็นพวกการเล่นคำหรือการจำลองสถานการณ์

บทจึงเป็นเสมือนเครื่องมือกำหนดหน้าที่ของเสนาแต่ละคน รวมถึงแขกรับเชิญในเทปนั้นว่าควรเล่นมุกอย่างไร และต้องทำอะไรบ้าง

“เรามีบท แต่ไม่ได้หมายความว่านักแสดงต้องเล่นตามบทนะ คือบทถูกเขียนมาเป็นโครงว่าเราจะเล่นกับแขกคนนี้ในธีมไหน เรื่องราวจากหนึ่งถึงสิบเป็นยังไง คือบทไม่แข็งเกินไป เปิดช่องให้เขาเล่นสด แหกได้ แต่สดหรือแหกยังไงต้องกลับมาสู่ปลายทาง นั่นคือการหักหลังให้ได้” วัชระกล่าว

ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019

เพราะฉะนั้น หัวใจของการทำบทอยู่ที่แขกรับเชิญ โดยก่อนร่างบททีมงานต้องสัมภาษณ์ พูดคุย รวมถึงเจาะลึกข้อมูลของแขก บางครั้งถึงขั้นชักชวนไปสังสรรค์กับทีมเสนา เพื่อคิดมุกหรือแก๊กร่วมกัน 

พอถึงวันถ่ายทำทุกคนจะได้รับบทเหมือนกันหมดสำหรับซักซ้อม ตลอดจนคิดมุกเพิ่มเติมลงไป แต่มีเสนาเพียงบางคนที่ทีมงานเข้าไปซักซ้อมและมอบภารกิจพิเศษ อย่างการหักหลังแขกรับเชิญหรือเสนาด้วยกันเอง

“พอเห็นโปรดิวเซอร์แอบกระซิบใครสักคน คนอื่นจะ เฮ้ยๆ อะไรนะ คือระแวงกันตลอด การทำงานของยุทธการมักซับซ้อนมาก เพราะเราหลอกกันเป็นขบวนการ หลอกตั้งแต่ซ้อม เพื่อให้เกิดการตายใจ”

ยุทธการขยับเหงือก ตำนานความสำเร็จของรายการตลกเรตติ้งดีที่คืนชีพในปี 2019

ขณะที่ โค้ก-สมชาย เปรมประภาพงศ์ ขยายความถึงเหตุผลที่การหักหลังต้องเป็นความลับ เพราะต้องการเห็นปฏิกิริยาของแขกรับเชิญ รวมถึงเหล่าเสนาที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น เสนาทุกคนจึงต้องมีไหวพริบปฏิภาณ และคอยดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร

“รายการนี้เป็นการผสมผสานระหว่างครีเอทีฟกับฝีมือนักแสดง เสนาแต่ละคนมีองค์ เวลาแสดงเราเล่นแบบปล่อยไหล ทุกคนเข้าขากันหมด ไม่มีกำแพงกั้น ด่าพ่อล่อแม่ไม่มีใครโกรธ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราสนิทกัน เวลาเลิกกองก็ไปสังสรรค์กันตลอด” 

แต่เพื่อให้การเล่นไม่สะเปะสะปะ ทีมงานจึงต้องเขียนคาแรกเตอร์ให้เสนาแต่ละคนด้วย

อย่างเสนาโค้กมีบุคลิกนิ่งๆ มักถูกล้อเลียนเรื่องความแก่ เนื่องจากเป็นพี่ใหญ่ของทีม ขณะที่เลขาแหม่มมักรับบทสาวแก่น ฝีปากกล้า มีจุดอ่อนตรงรูปร่าง และมักถูกเหล่าเสนาละเลย เวลามีแขกรับเชิญสาวๆ สวยๆ มาร่วมรายการ

แต่อีกบทบาทหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ โค้กและแหม่มต่างเป็นผู้คุมเกมทั้งหมดบนเวที และคอยตัดบทเวลาเกิดความชุลมุนขึ้นมา สังเกตได้จากการที่เสนาโค้กมักเป็นคนเอ่ยประโยค “ขอเสียงปรบมือให้แขกรับเชิญของเราครับ” เสมอหลังหักหลังเรียบร้อย

เสนาเพชรแม้ดูไม่ตลกหรือเรียกเสียงหัวเราะได้เท่าที่ควร แต่เขาคือเสนาธิการตัวจริงที่คอยทำหน้าที่คิดและแจกมุกให้น้องๆ ในทีมไปเล่น ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ได้รับอานิสงส์มากสุด คือเสนาหอย เจ้าของสโลแกน “พี่ไม่เอามุกไหน..ผมขอ”

ส่วนเสนาอรุณเปรียบเสมือนตัวยิงมุกประจำรายการ โดยมักผูกขาดบทหญิงแก่หรือฤาษี ยิ่งต้องห่อลิ้นร้อง “กล่าวฝ่ายพระมุนีฤๅษีศีล ข้าวปลาไม่กิน กินแต่ไข่เต่า” เขาถนัดที่สุด

เช่นเดียวกับ ‘ติ๊ก กลิ่นสี’ ชาญณรงค์ ขันทีท้าว ดาวตลกจากภาพยนตร์ กลิ่นสีและกาวแป้ง ซึ่งเข้ามาเสริมทัพยุทธการ มักมาพร้อมมาดผู้หญิงซาดิสต์ที่แต่งกายในชุดที่โดดเด่นเกินปกติเสมอ

“ช่วงแรกผู้ชมเกลียดพี่ติ๊กมาก ไม่เอ๊าไม่เอา ไล่คนเสียงดังออกไป ไล่ไปเดี๋ยวนี้ ยิ่งออกต่างจังหวัด ชาวบ้านร้านช่องหนีเสนาติ๊กกันจ้าละหวั่น คนอะไรน่ากลัวมาก” เลขาแหม่มเคยกล่าวผ่านนิตยสาร แพรว เมื่อปี 2545

สุดท้ายคือบรรดาสมาชิกที่เข้ามาสมทบยุคหลัง อย่าง โน้ส-อุดม แต้พานิช, หอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค, วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ และ ลิง-สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ แรกๆ ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่ เลยถูกวางเป็นเหยื่อให้พี่ๆ รังแก

“คนเข้ามาใหม่น่าหนักใจ ถือเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ที่ต้องพยายามมองตัวเขา อย่างโน้ส แรกๆ ก็นั่งคิดว่าทำยังไงดี เราเลยให้มันโดนแกล้งตลอดเวลา ถูกกระทำ ช่วงนั้นโน้สไม่รู้หรอกว่าเราหักหลัง คนดูก็ฮา เพราะสงสารโน้ส สุดท้ายโน้สเลยเกิด” เสนาโค้กอธิบาย

แต่มีบางคนที่เกือบไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกัน เช่นเสนาหอย ใกล้ถูกถอดจากรายการแล้ว เพราะเล่นมา 7 เดือน คนดูก็ยังไม่ปลื้มเสียที

“คนไม่รักเขาไง แต่วันนั้นเขาแต่งตัวเป็นบุ๋ม ตรีรัก ฮามาก ใส่เสื้อหนัง กางเกงรัดติ้ว รองเท้าบูตแหลมเฟี้ยว ทั้งร้องทั้งเต้น ‘..มีแฟนหรือยังจ๊ะ’ เอาภาพมาดูจะคล้าย คุณยุ้ย ญาติเยอะ คนดูถล่มทลาย กอดเสาขำ หลังจากนั้นหอยเริ่มจับทางได้ ไม่ต้องกระเสือกกระสนอีก” เลขาแหม่มเคยกล่าวนานแล้ว

เพราะฉะนั้น หากวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้ยุทธการขยับเหงือกประสบความสำเร็จ แน่นอนว่า การวางแผนย่อมเป็นเรื่องหลัก แต่สิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กันคือเป็นความเป็นธรรมชาติของนักแสดง 

เสนาหอยเคยอธิบายผ่านรายการ บันทึก..บทที่หนึ่ง ว่า “พี่ๆ สอนเสมอว่าอย่าคาดหวังว่าจะตลก ให้เล่นไป เล่นจริงๆ มันจะตลกของมันเอง เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนเวที”

“ที่สำคัญคือ ต้องทำการบ้าน อย่างเมื่อก่อนผมต้องแต่งหญิงทุกอาทิตย์ ซึ่งกว่าจะแต่งได้ ขั้นตอนเยอะมาก ผมต้องศึกษาว่าผูู้หญิงที่เขาให้ผมเล่นสูงเท่าไหร่ นิสัยยังไง พ่อแม่เป็นคนยังไง ไม่อย่างนั้นเราเล่นเป็นผู้หญิงแบบนั้นทุกอาทิตย์คนก็เบื่อ”

นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุน เช่น ไตเติลรายกาย ซึ่งช่วงแรกใช้เพลง Noche Corriendo ของนักเปียโนระดับตำนานชาวญี่ปุ่น Naoya Matsuoka ก่อนที่ อิท-อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ โปรดิวเซอร์ของ JSL แต่งเพลงเปิดรายการใหม่ จนกลายเป็นที่จดจำของแฟนๆ

ฉากที่เน้นความอลังการสมจริง ให้ตรงกับเนื้อเรื่องที่นำเสนอและการหักหลังที่สุด

เสียงประกอบที่มีวงดนตรีอย่าง ‘ไทเกอร์แบนด์’ คอยเล่นรับการแสดงของเหล่าเสนาตลอดเวลา

เครื่องแต่งกายซึ่งพิถีพิถันและเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ ทั้งชุดว่ายน้ำ กระโจมอก ชุดฤๅษี ทหาร ชาวเล หรืออะไรที่พิลึกๆ ทีมงานจัดให้ได้หมด

แม้แต่เรื่องแต่งหน้าก็จัดเต็ม หากเสนาต้องแต่งเป็นผู้หญิง ทีมงานจะบรรจงแต่งออกมาให้สวยที่สุด แต่มีกรณียกเว้นอยู่บ้าง คือเสนาตุ๋ยที่ช่างแต่งหน้ารู้ใจทิ้งดินสอให้ละเลง เขียนตีนกา เติมหนวด ใส่เคราเองเลย เพราะสไตล์ของอรุณต้องเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ดูมอมแมม

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้รายการตลกไร้สาระ กลายเป็นรายการบันเทิงที่อุดมไปด้วยความสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

03

หักหลังอีกแล้

นอกจากเสนา อีกภาพที่ผู้คนจำจดได้มากสุดเมื่อพูดถึงรายการตลกในตำนาน คงหนีไม่พ้น ‘การหักหลัง’

เดิมที ยุทธการขยับเหงือก มีแต่เซอร์ไพรส์หรือแกล้งกันแบบหยอกๆ อย่างการเชิญแม่มาขึ้นเวที แต่ต่อมาทีมงานเห็นว่าเซอร์ไพรส์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะผลที่ได้รับนั้นเป็นเพียงการกระตุกอารมณ์ของแขกรับเชิญเท่านั้น แต่ผู้ชมอาจไม่สามารถรับอรรถรสได้เต็มที่ เลยมาคิดต่อว่าควรสร้างความตกตะลึงด้วยการหักหลัง หรือแกล้งกันแบบสุดๆ ชนิดแค้นฝังหุ่นไปเลย

ปกติการหักหลังมักเกิดขึ้นเวลาแสดงละคร โดยทุกครั้งก่อนเริ่มกระบวนการจะมีเสียง Voice Over ดังขึ้นที่หน้าจอทางบ้าน เพื่อให้ผู้ชมเตรียมตัวว่าอีกไม่นานจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

โปรดิวเซอร์คนดังเล่าว่า ทีมเบื้องหลังต้องทำงานหนักมาก เพื่อค้นหาว่าแขกรับเชิญคนนั้นมีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน แล้วนำไปผูกเรื่องราวให้สอดรับกับการแกล้งได้อย่างไร

อย่างแขกรับเชิญสาวคนหนึ่งกลัวความสูงมาก ทีมเขียนบทเลยวางพล็อตเรื่องเป็นงานวัด มีประกวดนางงาม โดยแขกรับเชิญเป็นผู้ได้รับตำแหน่ง ต้องขึ้นบันไดไปนั่งบนบัลลังก์ พอขึ้นเสร็จทีมงานเอาบันไดออก จากนั้นเราก็เปลี่ยนบทจากงานประกวดมาเป็นสาวน้อยตกน้ำแทน เพียงแค่นี้ก็เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้แล้ว

แต่สิ่งสำคัญคือการแกล้งนั้นต้องไม่เลยเถิดหรือมากเกินไป ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีเหตุการณ์ที่แขกไม่พอใจหรือโกรธทีมงานจนไม่ยอมให้นำเทปออกอากาศ เพราะทุกคนต่างเตรียมใจว่าต้องโดนอยู่แล้ว เพียงแต่จะมาไม้ไหนเท่านั้นเอง

เทปหนึ่งที่ผู้บริหาร JSL คนดังไม่เคยลืม คือช่วงที่ติ๊ก กลิ่นสี มาเป็นแขกรับเชิญ

“สำหรับติ๊กถือว่าท้าทายมาก เขาบอกเราว่าพี่ไม่มีทางแกล้งผมได้หรอก คือติ๊กเขาจะเป็นคนดูห่ามๆ ไม่ค่อยมีกาลเทศะหน่อย แล้วตามประสาผู้ชาย ปากหมา จีบไปเรื่อย ชอบแทะโลมผู้หญิง ด้วยลักษณะแบบนี้ เราเลยแกล้งด้วยการบอกว่า วันนี้มีแขกของนายมาดูด้วย เป็นคุณหญิง ทุกคนเล่นระวังหน่อยนะอันนี้เราเตรียมตั้งแต่ซ้อมเลย จัดที่นั่ง มีการเอาเก้าอี้ตรงนี้ออก ยกโซฟามาวางแทน ทุกคนเริ่มอิน เพราะบรรยากาศมันใช่

“พอคุณหญิงมา ปรากฏว่าไม่ได้มาคนเดียว มีลูกสาวมาด้วย ลูกสาวน่ารักมาก ขาวๆ ใสๆ เข้าทางเลย ติ๊กเขาหมายตา บอกชอบๆ เราเลยบอกว่ามึงอย่านะ เดี๋ยวคุณหญิงเอาเรื่อง พอถึงตอนเล่นติ๊กใส่ใหญ่เลย สนุก พอตอนหลังเริ่มได้ใจ เราเตี๊ยมไว้แล้ว โดยวางหมากว่ายังไงก็ตามต้องให้ติ๊กไปเล่นกับตัวลูกสาว แล้วเด็กคนนี้เล่นเก่งมาก มีจังหวะหนึ่งที่มือติ๊กไปโดนตัวน้อง เขาทำหน้าเบะทันที น้ำตาค่อยๆ หยด คราวนี้แม่เขาค่อยๆ ขึ้นเลย คุณเล่นอะไรกัน เธอเป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร ติ๊กหน้าซีด ยกมือไหว้ ขอโทษครับ เราปล่อยให้เล่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเฉลยว่าโดนหักหลังแล้ว พอแกล้งได้มันโมโหมาก เสียรู้จนได้”

อีกกรณีที่ทีมงานหัวเราะทุกครั้งที่นึกถึง คือนักแสดงตลกดัง นก-จันทนา ศิริผล

“นกชอบเล่นบทคนใช้ แล้วไฮไลต์คือต้องให้เขาทำแจกันโบราณแตกให้ได้ เราก็วางแผนตั้งแต่ให้การ์ดคุมแจกันมาเลย เพราะปกติของแพงๆ มันต้องมีคนดูแล พอถึงเวลาถ่าย เราก็เซ็ตให้มีฉากยื้อแย่งอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายนกไปชนแจกัน พอแจกันแตก ทุกคนก็ทำหน้าเหมือนเป็นความผิดนก คราวนี้นกร้องไห้ออกมาเลย จนเฉลยก็ยังไม่เชื่อ บอกไม่ต้องมาปลอบใจ บอกแล้วไม่น่าเอามาเล่น ร้องอยู่นานถึงยอมสงบ คือเขาเป็นคนแบบนั้น หลุดแล้วหลุดเลย”

แต่ไม่ได้หมายความว่ามีแต่แขกรับเชิญเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ เพราะหลายครั้งที่ทีมงานซ้อนแผนกับแขกรับเชิญ ย้อนรอยแกล้งเหล่าเสนาของตัวเอง เช่นครั้งหนึ่งที่เหล่าเสนาพยายามแกล้ง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ แต่กลับโดนเอาคืนแบบเจ็บแสบ

“ตอนนั้นเหมือนอรุณไปล่วงเกินมูลนิธิที่เขาทำงานอยู่แล้วเขาโกรธจริง ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ รู้แค่บิณฑ์กับโปรดิวเซอร์ ประกาศเสียงดังเลยว่าอย่าเอาเทปนี้ออก โกรธนานมาก จนต้องเอาเจ้าของบริษัทลงมาเคลียร์ แต่เราแอบสังเกตเห็นว่ากล้องจับอยู่ ไฟแดงมันขึ้น แต่ก็เสียวเหมือนกันเพราะบรรยากาศจริงเหลือเกิน” เสนาโค้กย้อนความทรงจำพร้อมเสียงหัวเราะ

ทว่ามีบางเทปเหมือนกันที่เล่นแล้วแป้ก ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดเวลาแขกรับเชิญระมัดระวังตัวเกินไป หรือรู้ก่อนว่าต้องเจอแบบนี้ ทีมงานจึงต้องแก้สถานการณ์ด้วยการมีแผนสองเข้ามาเสริม หรืออาศัยขั้นตอนของการตัดต่อช่วยให้รายการสนุกมากขึ้น แต่มีเหมือนกันที่ใช้วิธีบรรยายไปเลยว่า “ครั้งนี้นะครับ รายการหน้าแหกมาก หักหลังไม่สำเร็จ” เพื่อที่ผู้ชมจะได้คอยติดตามว่า รายการล้มเหลวยังไง 

จากการแกล้งเยอะๆ นี้เอง ทำให้ช่วงหลังยุทธการขยับเหงือกเพิ่มช่วงพิเศษ ‘เอาคืน’ ขึ้นมา

อั๋นเล่าว่า แนวคิดเรื่องนี้มาจากเสียงเรียกร้องของบรรดาแขกรับเชิญว่าโดนแกล้งแล้วก็อยากเอาคืนพิธีกรบ้าง ทีมงานมองว่าดีเหมือนกัน

การลงโทษส่วนใหญ่เน้นไปที่ความเลอะเทอะ โดยเฉพาะการปล่อยของเหลวสารพัดอย่าง เช่น น้ำส้ม นม น้ำแดง หรือแป้งผสมเม็ดแมงลักเน่า ใส่เสนาผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งขาประจำส่วนมากเป็นพวกตัวป่วนประจำรายการ อย่างติ๊ก อรุณ หอย หรือโน้ส ส่วนโค้กกับหนูแหม่มมักรอดตัวเสมอ

แต่บางครั้งก็มีใบสั่งจากครีเอทีฟอยากให้หนูแหม่มโดนบ้าง ซึ่งเธอมักมีข้ออ้างสารพัดอย่าง เช่น ประจำเดือนมา หรือเพิ่งผ่าตัดมดลูกบ้าง บางทีก็ใช้มุกอ้อนดื้อๆ ว่า “อย่าเลือกหนูเลย” ซึ่งสุดท้ายมักประสบความสำเร็จ เพราะมีคนยอมเสียสละโดนแทนสาวน้อยคนเดียวของรายการ

04

ขยับเหงือก The Legend

เกือบ 9 ปี 400 กว่าตอน เสนา 12 คน และเรตติ้ง 12 – 13 เทียบเท่าละครหลังข่าว คือเครื่องการันตีความโด่งดังของรายการ ยุทธการขยับเหงือก ที่สามารถยึดกุมหัวใจแฟนๆ ได้อย่างเหนียวแน่น

“เราให้ความสุขผู้ชม เป็นเหมือนญาติ เหมือนครอบครัวของเขา เพราะเขาดูเราตลอดทุกวันอาทิตย์ วัน Family มันเลยอยู่ในใจเขา” เสนาโค้กอธิบาย

ว่ากันว่าความโด่งดังของรายการทำให้เสนาบางคนยอมออกจากงานประจำเพื่อมาทุ่มเทให้วงการบันเทิงเต็มที่ เพราะหลายๆ ครั้งพวกเขาต้องเดินสายไปทัวร์ต่างจังหวัด เปิดการแสดงให้คนไทยในต่างประเทศมาชม และที่พิเศษสุดคือการเปิดคอนเสิร์ตที่ชื่อว่า ‘หัวหกก้นขวิด’ ซึ่งมีผู้ชมนับหมื่นยอมควักเงินซื้อตั๋ว เพื่อสัมผัสบรรยากาศความเฮฮาและการหักหลังนอกจออย่างใกล้ชิด จนกลายเป็นกระแสเรียกร้องให้จัดแสดงต่อเนื่องทุกปี 

แต่ด้วยธรรมชาติของรายการโทรทัศน์ วันหนึ่งย่อมต้องถึงจุดอิ่มตัว

วัชระจำได้ดีว่า ยุทธการขยับเหงือก เลิกราในวันที่เรตติ้งยังสูง โฆษณายังเต็มอยู่ แต่ความสนุกลดลงไปเยอะแล้ว

“ผมเป็นคนชงเรื่องเองแหละ คิดว่าควรพอได้แล้ว เริ่มอิ่มตัว อย่างช่วงหลังๆ เราแกล้งไปหมดแล้ว เริ่มซ้ำ ผู้บริหารทุกคนเลยเห็นด้วย หยุดตอนนี้ดีกว่าให้ผู้ชมร้องยี้ ที่สำคัญ พวกเสนาเองต่างก็รู้สึกเล่นมานาน เริ่มหมดไฟ ถือเป็นการจบลงอย่างสวยงาม”

ไม่ต่างจากโค้กที่มองว่าเวลานั้นทุกคนต่างมีภารกิจชีวิตมากขึ้น อย่างเขาหรือเพชรต้องรับผิดชอบรายการ ฮาเจ็ดดาว ส่วนคนอื่นๆ ก็มีความฝันใหม่ๆ ที่อยากทำ เช่นเปิ้ลกับหอยรวมตัวกันตั้งบริษัทเพื่อผลิตรายการ สาระแนโชว์

แต่ถึง ยุทธการขยับเหงือก จะหยุดไป ความทรงจำดีๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

สำหรับเหล่าเสนาแต่ละคน รายการนี้ไม่ต่างจากสถาบันที่หล่อหลอมทั้งตัวตน ความคิด สร้างชื่อเสียง และพัฒนาความสามารถ ในวันที่เลิกรายการ เลขาแหม่มตัดสินใจก้มลงกราบเวที เพราะหากไม่มีรายการนี้คงไม่มีพิธีกรมืออาชีพที่ชื่อ แหม่ม สุริวิภา

“รายการนี้เป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ เพราะเมื่อก่อนเวทีแบบนี้มีไม่เยอะ โอกาสที่ผู้คนจะเห็นคนหน้าใหม่มีน้อยมาก เสนาของเรา หลายคนเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เขามีความสามารถ สร้างอารมณ์ขันแบบที่ผู้คนไม่เคยสัมผัสมาก่อน สำหรับผมถือเป็นปรากฏการณ์ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างกลุ่มคนที่มีอารมณ์ขันให้เข้าไปอยู่ในใจของผู้ชม ไม่แปลกเลยว่าทำไมเวลาคนนึกถึงรายการเก่าในอดีต ยุทธการขยับเหงือก จึงผุดขึ้นมาเสมอ” อดีตโปรดิวเซอร์ผู้ปลูกปั้นรายการตั้งแต่ต้นกล่าว

05

การคืนชีพของยุทธการฯ 5.0

ผ่านมา 22 ปี คงไม่มีใครคิดว่ายุทธการขยับเหงือกจะกลับมาปรากฏบนหน้าจออีกครั้ง 

แต่รายการวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวันวาน เพราะเป็น ยุทธการขยับเหงือก 5.0 ที่ดำเนินรายการโดยเสนาใหม่ทั้งหมด ยกเว้นเพียงเสนาหอยคนเดียวที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงทั้งสองรุ่นเข้าไว้ด้วยกัน

วัชระเล่าว่า เมื่อต้นปี 2562 ทำละครเวทีเรื่อง ‘บ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล’ ซึ่งนักแสดงหลายๆ คนมีบุคลิกที่น่าสนใจ มีอารมณ์ขัน กล้าแสดงออก มีความสามารถทั้งร้องและเต้น อาจต่อยอดหรือพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ให้ไกลกว่าเดิมได้

หลังหารือกันในกลุ่มผู้บริหาร ทุกคนต่างมองว่า ยุทธการขยับเหงือก เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม จึงตัดสินใจรื้อฟื้นรายการขึ้นมาอีกครั้ง

“ความจริงเราไม่คาดหวังว่าคนที่เคยประทับใจต้องกลับมาปลื้ม ตอนนี้เราต้องเล่นกับคนยุคปัจจุบัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ลงไปทำเอง เพราะให้มานั่งคิดมุกสำหรับคนดูรุ่นนี้คงไม่ใช่ สิ่งที่เราช่วยได้คือใช้ประสบการณ์บอกเขาว่าอันนี้ใช่หรือไม่ใช่ พอหรือไม่พอ หรือมีทางเลือกอื่นอีกไหม”

ยุทธการขยับเหงือก 5.0 เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง One31 โดยได้ โอ๊ค-ทศพล ศรีสุคนธรัตน์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Melody รักทำนองนี้ และอดีตโคโปรดิวเซอร์รายการ เกมวัดดวง มารับหน้าที่ควบคุมการผลิต  

“สมัยเด็กๆ จบ ม.6 เคยเจอพี่หอย ตอนนั้นเป็นเสนาอยู่ เลยพูดไปว่าวันหนึ่งจะมาทำกับพี่ แต่สักพักรายการก็ปิด ไม่เคยนึกถึงอีกเลย จนวันหนึ่งผู้ใหญ่ใน JSL ชวนว่าทำรายการนี้ไหม เลยถามไปว่ามีใครบ้าง มีพี่หอยกับเสนาใหม่ พอได้ยิน ภาพวันนั้นกลับมาเลย รู้สึกว่าสนุกแน่ เพราะเราได้ทำละครแล้วยังได้แกล้งคนอีกด้วย”

เสนาชุดใหม่ประกอบด้วย ประกอบด้วย ปาล์ม-ธัญวิชญ์ เจนอักษร, ปอ-อรรณพ ทองบริสุทธิ์, ส้วม-สุขพัฒน์ โล่วัชรินทร์, เนสท์-นิศาชล สิ่วไธสง และ น้ำ-กัญญ์กุลณัช ปัญญากิตตินันท์

แต่ละคนไม่ใช่คนหน้าใหม่ของวงการบันเทิง ทว่าที่ผ่านมายังไม่เคยปรากฏตัวผ่านสื่อในฐานะพิธีกรรายการตลก ดังนั้น ทีมงานจึงต้องค้นหาคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจแต่ละคน ถึงค่อยมาต่อยอดว่าควรพัฒนาในทิศทางไหน

อย่างปาล์ม ด้วยบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อน พูดจาฉะฉาน ตลกได้ ซัดมุกไว จึงถูกวางให้เป็นผู้ควบคุมเวที ส่วนปอทำหน้าที่เป็นตัวปล่อยมุก เพราะมีความทะเล้นกว่าคนอื่น ขณะที่ส้วมเปรียบเสมือนกระโถนท้องพระโรงที่ถูกแกล้งตลอดเวลา และสุดท้ายเลขาฯ สาว 2 คนทำหน้าที่คอยสนับสนุน และเติมสีสันให้รายการสนุกขึ้น ตามบุคลิกของแต่ละคน

สำหรับพี่ใหญ่อย่างเสนาหอย แม้โดยตำแหน่งจะถูกกำหนดให้เป็นหัวหน้า แต่ภารกิจหลักคือการเป็นพี่เลี้ยง คอยประคับประคองและจ่ายมุกให้แก่น้องๆ

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคาแรกเตอร์คือความสนิทสนม เพราะปัจจัยที่ทำให้ ยุทธการขยับเหงือก ยุคแรกประสบความสำเร็จ มาจากพิธีกรทุกคนต่างเป็นเพื่อนกันจริงๆ

“คนใหม่ถึงยังไงก็เทียบคนเก่าไม่ได้ เหมือนรถคันนั้นวิ่งจากกรุงเทพฯ ถึงนครสวรรค์แล้ว แต่รถคันนี้เพิ่งสตาร์ท เราจึงไม่เคยกดดันพิธีกรเลย อยากเล่นอะไรเล่น แต่เล่นไม่สนุกต้องกลับมาคิด เด็กจึงซ้อมกับพี่ๆ คุยกัน วางแผนกันตลอด หนูเล่นนี้ ผมเล่นนั้น เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมจะทำให้รายการดีขึ้น เรายิ่งเล่นกันหนักเท่าไหร่ คนยิ่งฮาเท่านั้น”

ยุทธการขยับเหงือก ยุคใหม่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมอย่างความสด การเซอร์ไพรส์ ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่รูปแบบอาจหลากหลายและยึดหยุ่น ขึ้นอยู่กับแขกรับเชิญแต่ละสัปดาห์ 

“สูตรสำเร็จของรายการนี้คือ เราไม่ได้บอกให้เสนามาตลกกันเอง เสนาต้องเทกแคร์แขกให้เต็มที่ ยิ่งเขาสนุกเท่าไหร่ ความสนุกของรายการมันออกมาเอง บุคลิกเราเป็นแฟนใครสักคน เปิดมาเจอแต่เสนาก็ไม่อยากดูแล้ว แต่ถ้าเราดันแขกเต็มที่ เขาดูแล้วรู้สึกดี ก็อยากดูอีก นี่เป็นจิตวิทยาแบบหนึ่ง

“เรื่องนี้พี่หอยเองก็พูดกับน้องๆ และทีมงานบ่อยๆ คือ ต้องทำให้แขกสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น อยากเล่นอะไรมาเลย จะให้พี่ทุเรศแค่ไหนก็ได้ ทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้ดารารับเชิญมาแล้วแฮปปี้”

อย่างไรก็ดี ในฐานะของผู้สร้างสรรค์ โอ๊คยอมรับว่าการทำรายการโทรทัศน์ทุกวันนี้ไม่ง่าย เพราะนอกจากปริมาณสถานีโทรทัศน์ที่เพิ่มจำนวนสูงขึ้น ยังมีสื่อออนไลน์อีกนับไม่ถ้วนที่ต้องแข่งขัน

ความท้าทายคือต้องทำอย่างไรถึงชนะใจผู้ชมได้ อย่างแขกรับเชิญ ก็ต้องเลือกจากคนที่พร้อมสนุกไปกับรายการ พยายามสร้างสรรค์คิดอะไรแปลกใหม่ที่แขกคนนั้นไม่เคยทำ เช่น มิวสิก BNK48 ฝันอยากเป็นทนายความ แต่ทีมงานต่อยอดให้สนุกยิ่งขึ้นด้วยการทำให้เธอได้เป็นถึงผู้พิพากษา และไม่ใช่ผู้พิพากษาธรรมดา แต่เป็นเปาบุ้นจิ้น 

ขณะเดียวกันยังต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าพิธีกรชุดนี้เป็นเสมือนเพื่อนที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขและรอยยิ้ม ไม่ต่างกับเสนารุ่นเดิมเคยทำได้กับผู้ชมที่อายุ 35 ปีขึ้นไป

“เราต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ เพื่ออยู่กับผู้ชมอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า เราจึงไม่เคยกดดันอะไรเลย อย่างแย่สุดก็คือเท่าเดิม เพราะมันไม่มีรายการนี้มา 22 ปี เราเลยจุดแย่สุดมาแล้ว ตอนนั้นมีแต่บวก มีแต่ดีขึ้น เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง” โปรดิวเซอร์ยุค 5.0 กล่าวทิ้งท้าย

และนี่คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของตำนานรายการแห่งยุคอย่าง ยุทธการขยับเหงือก ว่าจะสามารถกลับมาครองใจผู้ชมในวันที่โทรทัศน์ไม่ได้เป็นตัวเลือกหมายเลข 1 อีกแล้ว…ได้หรือไม่

ยุทธการขยับเหงือก

เรียบเรียงข้อมูลจาก

  • สัมภาษณ์คุณวัชระ แวววุฒินันท์ วันที่ 13 มิถุนายน 2562
  • สัมภาษณ์คุณสมชาย เปรมประภาพงศ์ วันที่ 20 มิถุนายน 2562
  • สัมภาษณ์คุณทศพล ศรีสุคนธรัตน์ วันที่ 13 มิถุนายน 2562
  • วิทยานิพนธ์การวิเคราะห์รูปแบบ เนื้อหา และกลวิธีการนำเสนอมุขตลกของรายการตลกทางโทรทัศน์และวิดีโอเทป โดย เมธา เสรีธนาวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • นิตยสาร แพรว ปีที่ 23 ฉบับที่ 546 วันที่ 25 พฤษภาคม 2545
  • นิตยสาร สกุลไทย ปีที่ 36 ฉบับที่ 1860 วันที่ 12 มิถุนายน 2533
  • รายการ บันทึก..บทที่หนึ่ง ตอนยุทธการขยับเหงือก สถานีโทรทัศน์ช่อง UBC Inside

ขอขอบคุณ JSL

Writer

Avatar

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา

เพจเล่าเรื่องที่เชื่อว่าคนธรรมดาทุกคนต่างมีความเป็นยอดมนุษย์อยู่ในตัว