หลายคนรู้จักเกาะยะคุชิมะจากภาพป่าในเรื่อง Princess Mononoke ของ คุณ Miyazaki Hayao แห่ง Studio Ghibli

เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ดั้นด้นไปสำรวจเกาะนี้ครั้งแรกด้วยแรงบันดาลใจจากแอนิเมชันเรื่องนี้เช่นกัน แต่ครั้งนั้นเรากลับออกมาด้วยความรู้สึกว่าที่นี่ยังมีอะไรน่าสนใจที่เรายังไม่ได้สำรวจอีกมากมาย พอมีโอกาสได้กลับไปเกาะคิวชูอีกครั้งหลังจากช่วงโควิดที่ไม่ได้ไปไหนเลย 3 ปี เราเลยไม่ลังเลที่จะหาทางไปเยือนอีกครั้งให้ได้

เกาะยะคุชิมะอยู่ห่างจากจุดใต้สุดของจังหวัดคะโงชิมะบนเกาะคิวชูลงไปประมาณ 60 กิโลเมตร

โดยปกติจะมีเฟอร์รี่จากคะโงชิมะวันละหลายเที่ยว แต่คราวนี้เราเดินทางด้วยเครื่องบิน บินตรง Fukuoka-Yakushima ซึ่งตั๋วเครื่องบินในประเทศญี่ปุ่น ถ้าจองล่วงหน้า 45 – 60 วัน มักมีราคาพิเศษ ทำให้ราคาพอ ๆ กับเฟอร์รี่โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อรถต่อเรือเลย

เครื่องบินที่พาเราไปเป็นเครื่องบินใบพัดขนาดเล็กน่ารักของสายการบิน Japan Air Commuter ซึ่งอยู่ในเครือ JAL ความใส่ใจของสายการบินก็คือมีโปสต์การ์ดรูปป่ายะคุชิมะและลูกอมในซองรูปเครื่องบิน ATR 42-600 รุ่นเดียวกับที่นั่งอยู่แจกให้ด้วย 

ระหว่างทางบินผ่านจังหวัดคะโงชิมะ เราเห็นภูเขาไฟซากุระจิมะที่กำลัง Active มีกลุ่มควันลอยอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟชัดมากจากบนเครื่อง แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ตื่นเต้น ยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพกันหลายคนเลย 

ครั้งนี้เราจองที่พักห่างจากบริเวณที่เป็นแหล่งยอดนิยมและจุดขึ้นรถบัสของเหล่านักปีนเขาออกมาเล็กน้อย เมื่อไปถึง เจ้าของที่พักถึงกับแปลกใจที่เราไม่ได้เช่ารถมา เนื่องจากบริเวณนั้นไม่มีที่ท่องเที่ยวหรือร้านค้าสักเท่าไร 

ที่พักเป็นบ้านทั้งหลัง ข้างในทำด้วยไม้สนจากยะคุชิมะ เจ้าของบ้านแนะนำให้เราเดินเท้าเปล่า ไม่ต้องใส่สลิปเปอร์เหมือนโรงแรมในญี่ปุ่นทั่วไป เพื่อสัมผัสกับไม้สนยะคุชิมะได้เต็มที่ เป็นพื้นไม้ที่ลื่น สบายเท้า และหอมกลิ่นไม้ดีเหลือเกิน

ในบ้านมีห้องพักทั้งหมดแค่ 4 ห้อง ห้องของเรามีระเบียงส่วนตัว บรรยากาศดีมาก อุณหภูมิช่วงกลางเดือนมีนาคมอยู่ที่ประมาณ 5 – 10 องศาเซลเซียสเท่านั้น 

บินตรงสู่ Yakushima เกาะแห่งป่าและน้ำของคิวชู แช่ออนเซ็นโลคอล ปีนไปหาต้นสน 7,000 ปี

คุณลุงเจ้าของที่พักเห็นเราไม่ได้เช่ารถไปและไม่ได้จองอาหารค่ำในวันแรก เลยอาสาขับรถพาไปแช่ออนเซ็นและจะพาแวะซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของจำเป็นตอนขากลับด้วย

คุณลุงให้เลือกว่าจะไปออนเซ็นไหน ระหว่างออนเซ็นในโรงแรมมาตรฐาน ค่าเข้าคนละ 1,000 เยน มีสบู่ แชมพู ผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน กับ Onoaida Onsen ซึ่งเป็นออนเซ็นแบบโลคอล น้ำจะร้อนมาก ลุงบอกว่าเป็นออนเซ็นที่ดีนะ ค่าเข้า 300 เยน แต่ไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย ต้องเตรียมไปเอง

แน่นอนว่าเราเลือกอย่างหลัง ทั้งอยากประหยัด และอยากลองอะไรใหม่ ๆ ด้วย

พอไปถึง ปรากฏว่า Onoaida Onsen นั้นโลคอลมากกว่าที่คิด

ตัวออนเซ็นเป็นอาคารไม้สนทั้งหลัง และเป็นออนเซ็นเก่าแก่ที่เปิดมา 350 ปีแล้ว ความรู้สึกแรกคือเหมือนเป็นโรงอาบน้ำชุมชนที่หลุดออกมาจากหนังญี่ปุ่นสักเรื่อง ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะ Onoaida Onsen เปิดให้คนในชุมชนใช้บริการฟรี ตอนเราไปก็เลยมีแต่รุ่นปู่ย่าตายายไปใช้บริการกัน ทุกคนในนั้นรู้จักกันหมด อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนญี่ปุ่นอายุต่ำกว่า 50 – 60 ปียังไม่เห็นมีสักคน ขนาดเราเคยเข้าออนเซ็นญี่ปุ่นหลาย ๆ ที่มาเป็นร้อยรอบแล้ว ไปที่นี่ยังรู้สึกประหม่า ทำตัวไม่ถูกเลย

ด้วยความที่น้ำของออนเซ็นที่นี่ร้อนกว่าที่อื่น พออาบน้ำกันเสร็จ คนจะยังไม่ลงไปแช่กัน แต่นั่งอยู่รอบ ๆ บ่อแล้วเอาขันตักน้ำราดตัวไปคุยกันไปก่อน คุณยายในออนเซ็นก็น่ารัก เห็นเราอายุน้อยสุดก็ชวนคุย ทำให้ผ่อนคลายลงเยอะ 

สรุปแล้วชอบมากเลย คิดว่าประสบการณ์แบบนี้คงไม่น่าจะเจอง่าย ๆ ถ้าให้มาเองก็คงลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะกล้าเข้ามาไหม 

บินตรงสู่ Yakushima เกาะแห่งป่าและน้ำของคิวชู แช่ออนเซ็นโลคอล ปีนไปหาต้นสน 7,000 ปี

หลังจากพักผ่อนกันเต็มที่ วันต่อมาเราตัดสินใจเช่ารถเพื่อขับให้ไปได้หลาย ๆ ที่ที่อยากไป และขอให้คุณป้าเจ้าของที่พักเตรียมมื้ออาหารเย็นไว้ให้ในวันต่อ ๆ ไปทุกวันเลย

การเช่ารถที่เป็นร้านโลคอลบนเกาะนี้มีข้อดีก็คือเราขับรถกลับที่พักได้ แล้วร้านเช่ารถจะมารับรถที่ที่พักเราเอง คนที่นี่น่าจะรู้จักกันหมด สะดวกต่อนักท่องเที่ยวแบบพวกเราด้วย 

จุดแรกที่เราตรงไปก็คือทางเดินเข้าไปที่ Shiratani Unsuikyo Ravine (白谷雲水峡, Shiratani Unsuikyō) ป่าที่เป็นแรงบันดาลใจของฉากป่าใน Princess Mononoke นั่นแหละ 

เส้นทางเดินป่าจากจุดนี้มีหลายเส้นทาง ตั้งแต่ระยะทางสั้นที่สุด ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง ไปที่ต้นสน Yayoi Sugi อายุประมาณ 3,000 ปี ไปจนถึงเส้นทางที่ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เข้าไปข้างใน ผ่านป่าโบราณที่ปกคลุมด้วยมอสส์และไลเคน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ Miyazaki ก่อนเข้าไปยังจุดที่ชมวิวพาโนรามาบนหิน Taiko Iwa ได้เลย

เราเลือกเดินชิลล์ ๆ ตามที่ไหว แวะถ่ายภาพไปตามทาง ผ่าน Yayoi Sugi ไปจนถึงป่ามอสส์ ก่อนจะกลับออกมา

รวมระยะทางไป-กลับประมาณ 5 – 6 กิโลเมตร เส้นทางนี้รอบตัวสวยทั้งเส้นทางจริง ๆ ใครชอบถ่ายรูปคงใช้เวลามากกว่าที่เขาประมาณมาแน่ ๆ 

หลังจากเดินป่า วอร์มอัปร่างกายกันพอประมาณ เราใช้เวลาช่วงบ่ายสำรวจบริเวณรอบ ๆ เกาะ ทั้งคาเฟ่ Yakushima Roaster ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่คั่วเมล็ดเอง กลิ่นกาแฟหอมไปหมด คาเฟ่ Yakushima Gelato SORA UMI ขายเจลาโต้ทำเอง ใช้วัตถุดิบเป็นผลไม้ที่ปลูกบนเกาะ และตัวร้านก็ทำจากไม้สนยะคุชิมะอีกแล้ว ชอบความภูมิใจในของท้องถิ่นของคนที่นี่มาก ๆ

นอกจากนี้ ยะคุชิมะไม่ได้มีดีแค่ภูเขาอย่างเดียว แต่ชายหาดที่นี่ก็มีความหลากหลายทางธรรมชาติไม่แพ้กัน 

ถ้าเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมจะมี Eco Tour ไปดูเต่าทะเลที่ขึ้นมาวางไข่ได้ด้วย

ก่อนหมดวัน ใกล้ ๆ ที่พักเรามีจุดชมวิวน้ำตก Toroki Falls โชคดีที่ฟ้าเปิด แสงสวย เราเลยตัดสินใจเดินผ่านเส้นทางชมธรรมชาติไปชมน้ำตกอีกเล็กน้อย

Yakushima Roaster

Yakushima Gelato SORA UMI

Toroki Falls

วันต่อมา เราเลือกเดินเส้นทาง Arakawa Trail – Wilson’s Stump – Daio Sugi – Jomon Sugi ระยะทางไป-กลับรวม 21 กิโลเมตร ต้องตื่นตี 4 ตี 5 ไปรอรถบัส เพื่อไปขึ้นรถเข้าไปที่ปากทางของ Arakawa Trail เนื่องจากตรงปากทางของเทรลไม่ให้รถยนต์ส่วนตัวเข้า และขากลับก็ต้องดูเวลารถบัสให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะต้องค้างคืนที่กระท่อมตรงปากทางนั่นแหละ ระยะทางของเทรลนี้ไป-กลับ 21 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8 – 11 ชั่วโมง

ทางเดินเข้าไป 8 กิโลเมตรแรกเป็นทางเดินค่อนข้างราบ ไม่ชันมาก เดินบนทางรถไฟเก่าเข้าไป แต่ที่ต้องระวังคือไม้ตรงทางรถไฟมีมอสส์และตะไคร่ขึ้นคลุมค่อนข้างมาก ทำให้ลื่นและเดินยาก เราเองลื่นล้มครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาได้ไม่ถึง 2 กิโลเมตรเลย

ส่วนช่วง 3 กิโลเมตรสุดท้ายที่จะพาเราไป Wilson’s Stump – Daio Sugi – Jomon Sugi ซึ่งเป็นต้นสนเก่าแก่ มีคนประมาณอายุไว้ว่าอาจถึง 7,000 ปี เป็นต้นสนที่ใหญ่ที่สุดและมีอายุมากที่สุดบนเกาะนี้ ทางเข้าไปค่อนข้างชัน ต้องปีนป่ายพอสมควร แต่ระหว่างทางเราก็เจอผู้ร่วมเทรลตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนผู้สูงอายุ ทุกคนไหว เราก็ไหว และพอได้ไปยืนตรงหน้าต้นสนใหญ่อายุหลายพันปี มันทำให้เรารู้สึกทึ่งในธรรมชาติจริง ๆ

Wilson’s Stump

ต้นสนใหญ่ที่ว่ากันว่าถูกโค่นลงในปี 1586 ได้ชื่อมาจากนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษที่เป็นคนศึกษาพืชชนิดต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย และเขียนถึงต้นสนที่ถูกโค่นลงแต่มีขนาดใหญ่โตต้นนี้ในช่วงปี 1911 – 1916 โดยมีเส้นรอบวงอยู่ที่ 32 เมตร ความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.4 เมตร ด้านในเป็นโพรงไม้ขนาดใหญ่ น่าจะจุคนได้ราว 10 – 20 คน และถ้าเรามองขึ้นไปจากด้านในโพรงไม้นี้ จะเห็นปากโพรงไม้เป็นรูปหัวใจ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเกาะยะคุชิมะเลยทีเดียว

Yama Bento ห่อข้าวที่คุณป้าเตรียมให้เราไปทานระหว่างปีนเขา

โรงแรมเกือบทุกที่บนเกาะนี้มีบริการเตรียมเบนโตะให้ เราบอกได้เลยว่าจะเอามื้อเช้า มื้อกลางวัน หรือกี่มื้อ

ส่วนเราเดินเทรลแค่ประมาณ 10 ชั่วโมง ตอนเช้ากินแซนด์วิช มีห่อข้าวกลางวัน แล้วที่เหลือก็เอาเสบียง พวกขนมปัง ขนมจุกจิก และน้ำดื่ม ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนอาหารเย็นที่คุณป้าที่พักเตรียมไว้ให้เรานั้น เป็นอาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่น แต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย มีทั้งปลาบิน ปลาคัตสึโอะ เนื้อหมูคุโรบูตะ เนื้อวัววากิวจากแถวนี้ มีผัก ปลา เนื้อ ของทอด ทองย่าง ของนึ่ง ครบในทุกมื้อ

พอไปปีนเขามาเหนื่อย ๆ แล้วเจออาหารคุณป้าทำมาร้อน ๆ อร่อย ๆ แบบนี้มันชื่นใจ หายเหนื่อยสุด ๆ

ยะคุชิมะครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของเรา แต่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน ยังมีเทรลอื่น ๆ และธรรมชาติอย่างอื่นบนเกาะที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘The Island of Ancient Forest and Water’ ให้เราต้องกลับมาอีกแน่ ๆ

แล้วเจอกันอีกนะ ยะคุชิมะ

พระอาทิตย์ตกลับเขา Motchomu-dake หน้าที่พัก

Write on The Cloud

Travelogue

ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

เบญญากาญจน์ พงศ์กิจวิทูร

เบญญากาญจน์ พงศ์กิจวิทูร

รักการเก็บดอกไม้ ชงชา เดินทาง และถ่ายภาพลงอินสตาแกรมที่ @toeinoi