วันนี้เป็นวันเดดไลน์ส่งต้นฉบับ

แต่ขี้เกียจชะมัด อากาศดี ๆ แบบนี้อยากออกไปเดินเล่น อยากทำสวน ปลูกต้นไม้ นัดเพื่อนกินข้าว

ข้าพเจ้านั่งจ้องหน้าจอที่ขาวสะอาดเหมือนบั้นท้ายเด็กทารกฟินแลนด์

ขีดเคอร์เซอร์ที่รอให้เราพิมพ์อะไรสักอย่างมันกะพริบเงียบ ๆ แต่กลับเหมือนได้ยินเสียงติ๊ก ตอก ติ๊ก ตอก

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ส่งต้นฉบับ ?

บ.ก. จะโกรธ ? แฟน ๆ ที่รอคอยจะเซ็ง ? เหนืออื่นใด ตัวผมเองจะรู้สึกผิดและแย่ที่ไม่สามารถทำตามความรับผิดชอบที่ลั่นปากไว้แล้ว แถมยังเป็นสิ่งที่เราอยากทำด้วยตัวเองอีก ไม่ได้เป็นงานที่ถูกบังคับเสียหน่อย

นึกถึงการเขียนบางตอนที่มีไอเดียชัดเจนแจ่มแจ้งมาก แล้วอดทนรอไม่ไหวที่จะนั่งลงพิมพ์ ๆ ๆ ๆ แถมพรั่งพรูพรวดเดียวจบ ทำไมมันไม่ได้แบบนั้นทุกรอบฟระ

เมื่อวานผมพยายามค้นหาแรงบันดาลใจ หยิบหนังสือจากชั้นที่ซื้อมาหลายปีแล้วยังไม่เคยเปิดอ่านออกมาดูซิ ก็ยังไม่เจออะไร รู้สึกผิดอีกที่ดองหนังสือไว้มากมาย เมื่อไหร่จะได้อ่าน

ลองโทรไปถามอาบัน อาบันแนะนำบอกลองเขียนให้เข้าธีมคริสต์มาสช่วงนี้สิ ผมก็ลองอิมโพรไวซ์เล่น Jazz ในหัวดู คริสต์มาส ๆ ๆ เอาอะไรโยงกับอะไรได้มั่ง หรือเขียนเรื่องซานตาคลอสทำไมต้องใส่ชุดแดงขาว จำได้ว่ามีคนเคยตั้งสมมติฐานไว้ว่า มันไปเหมือนเห็ดพิษชนิดหนึ่งที่กินแล้วเห็นภาพหลอน ซึ่งไม่แน่อาจจะเกี่ยวข้องกับการกำเนิดคริสต์ศาสนาตั้งแต่แรก ชุดสันตะปาปาก็ขาวแดง งานคริสต์ศิลป์จากยุคเก่าแก่หลายแห่งก็มีเห็ดนี้เข้าฉากมาด้วยอย่างอธิบายไม่ได้ แต่คิดไปคิดมาก็ แอ๊.. ถ้าจะเขียนเรื่องนี้จริงมันต้องหาข้อมูลเยอะ แถมเชื่อถือได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจเป็นทฤษฎีมั่วซั่วที่คนเสนอเองนั่นแหละเมาเห็ด ผนวกรู้สึกขี้เกียจ ช่วงใกล้วันหยุด อยากเขียนอะไรสั้น ๆ ง่าย ๆ ฟีลกู๊ด ๆ มากกว่า

เซสชันแจ๊ซแห่งไอเดียดำเนินต่อไป หรือจะเขียนเป็นธีมรวมพืชสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาส นึกถึงปูบนเกาะคริสต์มาสที่อพยพจากป่าทีละล้าน ๆ ออกมาผสมพันธุ์วางไข่กันที่ชายหาด แต่ว่าแค่เกาะชื่อคริสต์มาสก็ดึงมาเกี่ยวแล้วเนี่ยนะ มันแถเกินไปป่าว อย่างไรก็ตาม ปูพวกนี้ตัวสีแดงตั้งแต่ยังไม่ต้ม หน้าตาเหมือนปูนึ่งแล้วมาก แถมเดินขบวนกันมาทีเป็นกองทัพ ถ้าหนังไทยสักเรื่องอยากจะมีฉากกรรมตามสนองของคนชอบกินปู ขอแนะนำให้ไปถ่ายทำที่นี่เลย เฮ่ย เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งเสียสมาธิสิ! อืมม มีสัตว์อะไรอีกนะ นึก นึก นึก

กวางเรนเดียร์มั้ย ? ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรดี หรือถ้าเป็นพืชล่ะ นึกถึงต้นสน ทำไมต้นคริสต์มาสต้องเป็นต้นสน ? เออ… แต่ฟังดูไม่น่าสนเลยว่ะ ไม่เอาดีกว่า นึกถึงต้นมิสเซิลโท (Mistletoe) ที่ใบมันหยัก ๆ มีลูกกลม ๆ สีแดงแป๊ด ที่ฝรั่งชอบรวมเป็นช่อแล้วเอาไปแขวนไว้ที่ประตู สร้างบรรยากาศเขียวแดงในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เคยอ่านมาว่าในทางชีววิทยาไอ้ต้นนี้น่าสนใจอยู่ ตรงที่กลยุทธ์การกระจายพันธุ์ของมันคือการทำให้นกขี้เหนียว มิสเซิลโทเป็นพืชจำพวกกาฝาก คอยดูดกินสารอาหารจากต้นไม้ใหญ่ ซึ่งถามว่าแล้วมันไปโตอยู่บนต้นไม้ใหญ่ได้ไง ก็คือมีนกที่กินลูกมันเข้าไปนั้นแหละพาไปฝากไว้ เวลานกขี้ออกมา เมล็ดมิสเซิลโทจะมียางเหนียวติดตูดมาก นกก็จะเอาตูดไปป้ายไปถูตามกิ่งไม้เพื่อปาดขี้ให้หลุด ปรากฏว่าพฤติกรรมนี้แหละคือการช่วยมิสเซิลโทแปะเม็ดของมันให้งอกบนต้นไม้ใหญ่ เออ ก็น่าสนใจดี เขียนถึงเรื่องนี้ก็ได้นะ แต่ก็จะกลายเป็นมุกพวกขี้ ๆ ตูด ๆ อีกแล้ว คนจะเบื่อมั้ย แถมเรื่องมันสั้นนิดเดียว รู้สึกมันไม่ฟินพอที่จะเอามาเล่าเป็นหนึ่งตอน เฮ้อ เขียนไรดีฟะ 

ผมพยายามค้นหาแรงบันดาลใจด้วยวิธีอื่น ๆ ต่อไป เขาบอกบางทีไอเดียจะแล่นมาแบบไม่ทันตั้งตัวตอนที่เราไม่ได้พยายามมาก งั้นลองดู ปรากฏว่าออกไปเดินเล่นก็แล้ว จัดบ้านก็แล้ว ออกกำลังก็แล้ว ฟังเพลงปลูกต้นไม้ก็แล้ว น้องไอเดียก็ไม่มาสักที เจอแต่ผลข้างเคียง เช่น พอจัดบ้านทำให้เศร้าใจว่าทำไมมันรกขนาดนี้ จะเริ่มตรงไหนดี จะมีวันเสร็จมั้ย ดูแอร์บรัชนั่นสิ ซื้อมาแพง ๆ แต่ปีที่ผ่านมาได้แตะแค่ไม่กี่ครั้งเอง พอไปฟังเพลงปลูกพืช ก็ปรากฏว่าเพลินเกินไปอีก สมองเอนจอยแต่เรื่องพืชจนไม่อยากกลับมาทำงานแล้ว กระทั่งสุดท้ายยอมอาบน้ำหน้าหนาว ก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี ร่างกายสะอาดเปล่า ๆ แต่ไม่ได้ไอเดียต้นฉบับ เฮ้อ สงสารแบกทีเรียที่ตายฟรี

เมื่อคืนผมมีช่วงตื่นขึ้นมาตอนตี 3 แล้วนอนต่อไม่หลับด้วยความคิดฟุ้งซ่าน นึกวิจารณ์ความด้อยต่าง ๆ ของตัวเองมากมาย ทั้งงานการที่ไม่สมหวัง ความรักที่ไม่สมหวัง ตัวตนที่ออกแบบไว้แล้วทำไม่ได้ดั่งหวัง ไอ้ร่างต้นฉบับที่เริ่มเขียนไปได้นิดหน่อยก็มาเจอโหมดดาร์กนี้ยุให้ฉีกทิ้งเถอะ มันไม่มีคุณค่าพอให้ใครอ่านหรอก พยายามใช้ความคิดบวกสู้กับมัน ก็พอได้ผลบ้าง จากนั้นก็อุตส่าห์เอื้อมไปหยิบมือถือจากความมืด เพื่อมาจดบางประโยคไว้เผื่อเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้ แสงไฟแยงตา นอนต่อก็ไม่หลับ แต่จะรอจดพรุ่งนี้ก็รู้ว่าตื่นมาลืมแน่นอน 

รุ่งขึ้น ระหว่างเดินไปปากซอยเพื่อหาข้าวเที่ยง ผมแอบนึกอิจฉาบรรดามนุษย์ออฟฟิศที่กำลังต่อแถวซื้อนู่นซื้อนี่ รวมทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ขายตามร้านต่าง ๆ เหมือนกันนะ หรือกระทั่งตอนไปส่งของกับพนักงานไปรษณีย์ หรือขับผ่านป้อมเก็บตังค์อะไรก็แล้วแต่ ก็อิจฉาความมีชีวิตรูทีนที่รู้เลยว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง รู้เลยว่าต้องทำยังไง และรู้เลยว่าตัวเองมีความสามารถพอแน่ ๆ เพราะทำเหมือนเดิมทุกวันอยู่แล้ว มันอาจจะเหนื่อยยากวุ่นวายจุกจิกหรือน่าเบื่อหน่ายยังไงก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อย ๆ หลายคนก็ไม่ต้องเผชิญกับความน่ากลัวของหน้ากระดาษเปล่า ความพยายามที่จะต้องเบ่งขี้ให้ออกมาเป็นทอง แล้วเบ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออกเสียที แถมมีคนมายืนจ้องอีก

ผมเรียนสายวิทย์มา แต่หัวใจผมมักรู้สึกร่วมกับศิลปินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเวลาทำงานเขียน ผมนึกถึงนักดนตรีที่ต้องเค้นไอเดียเพื่อแต่งเพลงอัลบัมต่อไป แม้งานเก่าเราจะประสบความสำเร็จจากเพลงก่อนหน้า แต่เวลานั่งลงทำงานก็เหมือนเราต้องมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง คงเป็นคำสาปของผู้ที่ทำงานสายครีเอทีฟกระมัง แต่นึก ๆ ดูนักดนตรีพอเล่นหรือร้องเก่งถึงระดับหนึ่ง มันก็แทบไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว น้อง อารีอานา กรานเด คงไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะร้องเพลงเพราะหรือเปล่า ตอนแรกผมนึกว่าเขียนหนังสือไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงวันหนึ่งความกลัวนี้จะหมดไปบ้าง แต่มันก็ไม่หมดแฮะ

ถามว่าความรู้สึกระหว่างทำงานแบบที่ผมถวิลหาคืออะไร มันคงเป็นความลื่นไหล เบา ปราศจากความกดดัน ไร้ความกังวล เรารู้ชัดเจนว่าต้องทำอะไร ทุกอย่างเป็นไปเองโดยแทบจะอัตโนมัติ  เหมือนแมงมุมชักใย เหมือนปลาว่ายน้ำ เหมือนหิ่งห้อยกะพริบแสง 

4 โมงเย็นแล้ว ผมรีดพลังจนหมดแล้วปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ลุกไปหยิบหูฟัง พาสมองที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่อยากจะยอมแพ้ไปเข้าสวน ปลูกต้นไม้ ฟังเพลงโปรด

หลายชั่วโมงนั้นผมได้รับความรู้สึกลื่นไหลแบบที่ว่ามากกว่าตอนทำงาน มันย้ำเตือนให้ผมจำได้ว่า จริง ๆ แล้วผมยังสามารถสัมผัสความสุขได้อยู่ แม้งานจะยังไม่เสร็จ

ช่วงเวลาปลายปี

ช่วงเวลาแห่งความสุขงั้นเหรอ

ใครหลายคนรวมทั้งผม พยายามจะเคลียร์งานให้มากที่สุดก่อนสิ้นปี เพื่อจะได้ไปเที่ยวหรือพักผ่อนอย่างสบายใจ เราพยายามปั่น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ รวมทั้งวางแผนที่จะมีความสุข จนบางครั้งเราก็หมดสุข

แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ยังเชื่อว่าช่วงปลายปีเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขได้จริง ๆ

เพราะผมคิดว่าวันหยุดปลายปีคือระฆังหมดเวลา มันบังคับให้นักเรียนทุกคนวางปากกา ข้อสอบทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น หลังจากนี้ล้างหน้า สูดหายใจลึก ๆ แล้วออกไปหาของอร่อยกินได้แล้ว

ในปีหนึ่ง ๆ เราอาจจะพยายามทำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เรายัด ๆ ๆ ๆ ๆ มันเข้าไปในตารางของเรา แต่เมื่อถึงช่วงนี้ ต่อให้ทำได้มากน้อยแค่ไหนในปีที่ผ่านมา บรรยากาศมันจะบอกให้เราพอได้แล้ว ตบบ่าตัวเอง แล้วปีหน้าค่อยว่ากันใหม่

พอล แม็กคาร์ตนีย์ แต่งเพลงช่างแม่ง (Let It Be) ได้ตอนที่ชีวิตเครียดถึงขีดสุด แล้วอยู่มาวันหนึ่งหลับฝันถึงแม่ ผู้มากระซิบบอกข้างหูเขาว่า ไม่เป็นไรนะ ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ เดี๋ยวก็มีคำตอบเอง There will be an answer, let it be ฮี้…

ในที่สุดแล้ว ปลายปีเป็นช่วงเวลาที่บีบบังคับให้เราไม่เหลือช้อยส์อะไร นอกจากวางทุกอย่างลง งานที่ตั้งใจปั่นจะเสร็จมั้ย ทริปที่วางแผนไว้จะเป็นไปตามแผนมั้ย มันหมดเวลาคิดแล้ว เราทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนน

หยุด พอ หมดเวลาตัดสินแล้วว่าชีวิตตัวเองยังดีไม่พอยังไง และยังทำอะไรเพิ่มได้อีก

 ใครหรืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเรา ณ ตอนนี้ เพียงพอแล้ว

หรือแม้เบื้องหน้าไม่มีใครหรืออะไรเลย แค่หลับตาลง สัมผัสเพียงว่าเรามีชีวิตอยู่ ลมยังเย็น เสียงยังได้ยิน แค่นี้ก็เป็นของขวัญเพียงพอแล้ว

ที่เหลือปล่อยให้มันเป็นไป

ปล่อยวาง แล้วเปิดกว้างให้ทุกอย่างเป็นไป

ลองดูซิว่าวันนี้มันจะพาเราไปไหน

นี่คือความหมายของวันหยุด

หยุดออกแบบ

หยุดเขียนต้นฉบับได้แล้ว

Writer

Avatar

แทนไท ประเสริฐกุล

นักสื่อสารวิทยาศาสตร์สาขาชีววิทยา ผู้เคยผ่านทั้งช่วงอ้วนและช่วงผอมของชีวิต ชอบเรียนรู้เรื่องราวสนุกๆ ที่แฝงอยู่ในธรรมชาติแล้วนำมาถ่ายทอดต่อ ไม่ว่าจะผ่านงานเขียน งานแปล และงานคุยในรายการพอดแคสต์ที่ชื่อว่า WiTcast