18 มีนาคม 2025
1 K

บรรยากาศชั้น 3 ตึกอัศวิน ตึกเก่าอายุเกือบร้อยปี เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง รอยเปรอะเปื้อนบนผืนกำแพงปูน แผ่นกระเบื้องสีขาวที่ทึมเทาลง คือริ้วรอยที่บ่งบอกว่าตึกผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน

ขณะเดียวกัน กลางห้องโถงอันโล่งกว้างก็มี ‘ของใหม่’ เข้ามาปน

แผ่นสี่เหลี่ยมใสนับร้อยห้อยระยางจากโครงชั่วคราว เมื่อมีใครกดเปียโนที่มุมห้อง แผ่นสี่เหลี่ยมใสก็จะสว่างวาบและขยับขึ้นหรือลงทีละน้อย

ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อเปิดให้เปียโนเล่นเพลงอัตโนมัติ แผ่นใสผลัดกันเปล่งแสงวิบวับพร้อมสลับตัวขึ้นลงคลอเสียงเปียโนที่ทั้งหนักแน่น นุ่มนวล โหยหวนถึงอดีต

ตอนนั้น เราได้แต่ยืนนิ่งเหมือนต้องมนตร์ 

งานนี้มีชื่อว่า ‘Octave Maze’ เป็นผลงานที่ วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ ผนวกประวัติศาสตร์ของตึกอัศวินเข้ากับ ‘เขาวงกต’ ความหมกมุ่นล่าสุดของเขา 

“เรียกผมว่าไอ้เขาวงกตก็ได้นะ” วิชญ์บอก

ก่อนหน้าผลงานนี้ วิชญ์ทดลองสร้างงานเขาวงกตมาเรื่อย ๆ อย่างเช่น เขาวงกตไม้ไผ่ที่เทศกาล Light of Life ตอนปลาย พ.ศ. 2565 ในอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง หรือเขาวงกตในนิทรรศการ Planetary Seed ● จร ● 惑星的共自在性 ที่เขาทำร่วมกันกับกลุ่มศิลปิน living room for seed ที่ 100 Tonson Foundation 

แต่ก่อนจะเป็นไอ้เขาวงกต วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ เป็นมาหลายอย่างเหลือเกิน 

เป็นหนึ่งในสมาชิกรายการ ยุทธการขยับเหงือก รายการตลกในตำนาน

เป็นผู้ก่อตั้ง DuckUnit สตูดิโอออกแบบฉาก แสง สี และสื่อผสม ในคอนเสิร์ตและงานอีเวนต์แถวหน้าของไทย

เป็นนักปั่นจักรยานทางไกล Audax Randonneurs ที่เคยปั่นไกลกว่า 1,200 กิโลเมตร จาก Paris-Brest-Paris หรือ ปั่น 2,000 กิโลเมตร รอบภาคอีสานภายใน 1 สัปดาห์ และยังนำงานปั่นจักรยานนี้มาจัดในไทย

เป็นคนที่ชื่นชอบการพายเรือ จนถึงขั้นไปพายเรือระยะทางไกลในแม่น้ำโขงตลอดแนวพรมแดนไทยลาว ระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร และพายเรือเลาะชายฝั่งทะเลอันดามันจากระนองถึงสตูล ระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร

หรือเป็นศิลปินที่เคยมีผลงานจัดแสดงในเทศกาลทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น Thailand Biennale, Sharjah Biennial ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ Yokohama Triennale ที่ญี่ปุ่น

วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ ช่างเป็นมนุษย์ที่ผ่านบทบาทมาหลากหลายแถมยังไปสุดในแต่ละทาง เหมือนแต่ละสิ่งแต่ละอย่างไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวชีวิตสุดเหวี่ยงของเขา เราก็ได้เห็นความเชื่อมโยง และเข้าใจว่าประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลหล่อหลอมให้เขากลายเป็น ‘ไอ้เขาวงกต’ อย่างในทุกวันนี้ได้อย่างไร (และจะเป็นอะไรต่ออีกไม่รู้ในอนาคต) 

ตอนยังเป็นเด็ก วิชญ์เป็นคนชอบต่อตัวต่อเป็นสิ่งอัศจรรย์พันลึก ไม่ก็แงะข้าวของเครื่องใช้มารื้อหรือต่อประกอบเล่น เด็กชายวิชญ์ไม่ได้คิดว่าจะเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักแสดงมือรางวัล เพียงแต่ทดลองเล่นไปตามความสนุก 

ด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พอจบชั้น ม.4 วิชญ์สอบเทียบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้พบกับโลกใบใหม่

“คณะนี้แปลก ให้เรียนสร้างตึกแต่ไปเล่นตลก เล่นละครกันหมดเลย ยุคผมน่าจะเป็นช่วงท้ายที่มีกลุ่มซูโม่ ทัน พี่สังข์-ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม ที่เป็นคนทำ บริษัท โต๊ะกลมโทรทัศน์ จำกัด” 

เห็นรุ่นพี่เขาเล่น วิชญ์ก็ตามไปเล่นอย่างเขา วิชญ์กระโจนเข้าหาโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่ละคอนถาปัดที่จัดตอนปิดเทอม ไปจนเป็นหนึ่งใน ‘เสนา’ หรือพิธีกรของรายการ ยุทธการขยับเหงือก รายการตลกชื่อดังของไทยในสมัยนั้น 

“เข้าวงการ เล่นตลก เล่นละคร มันได้เงิน ไม่เรียนหนังสือหนังหาอะไรแล้ว” วิชญ์หัวเราะถึงชีวิตสำมะเลเทเมาตอนนั้นของเขาจะดูสนุกสนาน แต่ใช่ว่ามันจะราบรื่น

ยุทธการขยับเหงือก เป็นรายการตลก แต่เราไม่ตลก ไม่ทันเขา เพราะเขาเล่นแบบด้นสด ไม่เหมือนกับละครคณะที่มีสคริปต์ เราอายตัวเอง คิดว่าพอแล้ว และคงไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกับวงการบันเทิงอีก” 

ไม่ใช่แค่ผิดหวังกับวงการบันเทิง วิชญ์ยังผิดหวังกับการเรียนจนต้องรีไทร์ตอนปี 6 แม้ตามหลักสูตรคณะจะเรียน 5 ปี ถึงจะเป็นการสะดุดล้มครั้งใหญ่ วิชญ์มองว่าความล้มเหลวของวันนั้นก็ให้อะไรติดตัวเขามาจนถึงวันนี้

“ศาสตร์ละครเวทีกับการทำงานวงการบันเทิงทำให้เราได้เรื่อง Sequence และ Timing หรือจังหวะต่าง ๆ เหมือนกับสถาปัตยกรรมที่สอนให้คิดเป็นฉาก ผ่านตรงนี้จะเจออะไร ซึ่งเอามาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้

“ถึงทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ แต่เดี๋ยวมันก็จะกลับมาเกี่ยวกับชีวิตได้เสมอ” 

2

พ.ศ. 2541 วิชญ์ผ่านพ้นรั้วมหาวิทยาลัยมาระหกระเหินเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ เป็นนักออกแบบเว็บไซต์ตามกระแสอินเทอร์เน็ตที่กำลังแบ่งบาน เขาสั่งสมผลงานออกแบบมาสักพักก็รวบรวมเป็นพอร์ตโฟลิโอยื่นไปเรียนต่อปริญญาโทที่ Kent Institute of Art and Design สถาบันสอนศิลปะในสหราชอาณาจักร แม้จะไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี แต่ด้วยผลงานที่เตะตา ทางสถาบันเลยตอบรับเขาให้เรียนปริญญาโทด้าน Visual Communication นาน 2 ปี

พอเรียนจบ วิชญ์กลับไทยมาเป็นกราฟิกดีไซเนอร์พร้อมรับงานเสริมทำมิวสิกวิดีโอ ทำแอนิเมชันให้ศิลปินเป็นครั้งคราว และเขาก็เจอจุดเปลี่ยนของชีวิตเมื่อได้เจอกับ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม 

“ตอนนั้นพี่เต็ดจัดคอนเสิร์ตหนึ่งแถวสถานีรถไฟบางซื่อ เราก็บอกว่าอยากทำ Visual ให้คอนเสิร์ตสักอัน พี่เขาตกลง เราก็เอาพวกสเกตช์สมัยเรียนปริญญาโทหรืองานที่ชอบมารวมกัน กลายเป็นสเตจของคอนเสิร์ตวง T-Bone ในงาน FaTLIVE 2 งานนั้นเราเอากล้องติดแว่นจ่อหน้า พี่แก๊ป-เจษฎา ธีระภินันท์ ให้เห็นลูกตาเป็นฉากหลัง”

สเตจ T-Bone เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าชมได้ดีทีเดียว เมื่อทำงานคอนเสิร์ตเข้ามือ วิชญ์ก็ออกจากงานประจำมาเป็นฟรีแลนซ์ร่อนเร่ออกแบบโปรดักชันคอนเสิร์ต และตั้งสตูดิโอ DuckUnit ที่บุกเบิกการออกแบบ แสง สี สื่อผสม และการใช้เทคนิคกลไกในโปรดักชันคอนเสิร์ต

“ชื่อ DuckUnit มาจากที่เราทำอะไรหลาย ๆ อย่างเป็นเหมือนเป็ด ไม่ได้นิยามว่าตัวเองทำอะไร” วิชญ์บอก 

“ตอนนั้นเราทำงานบ้า ๆ บอ ๆ หลายงาน สนุกมาก มันเป็นช่วงอายุ 20 – 30 พลังยังเยอะ เราได้ทำกับพี่เต็ด พี่จ๋อง-พงศ์นรินทร์ อุลิศ (ผู้บริหาร Cat Radio – ผู้เขียน) พี่เขาให้ท้ายมาก แล้วสปอนเซอร์ก็ให้ท้ายอีก 

“ผมอยากจะทำอย่างนี้ครับ ทุกคนก็ เอา!” ตอนที่วิชญ์พูดคำว่าเอา เขาพูดตะโกนอย่างสุดเสียง 

“อย่างคอนเสิร์ต Moderndog Wake Up At Ten ยุคนั้นยังไม่มีจอ LED เราอยากให้โปรเจกเตอร์เยอะ ๆ เป็นฉากหลัง แต่มีคนเตือนว่า วิชญ์ มึงจะเผาเงินเขาเหรอ เราเลยดูว่าทำอะไรได้บ้าง สุดท้ายต่อนั่งร้านทำฉากเป็นหน้าต่างหมุนหลายอัน แล้วเปลี่ยนเพลตหน้าต่างแต่ละบานเหมือนแปรอักษร หรือบางทีก็เอากระโปรงฮาวายสี ๆ มาขึงเป็นฉาก แล้วเอาป้ายที่ถอดออกมาพัดให้มันเป็นริ้ว ๆ” วิชญ์ยกตัวอย่างงานที่ชอบให้ฟัง

“อีกงานคือคอนเสิร์ต PRU POP LIFE เราเอากระดาษห้อยสลิงมาหุ้มฮอลล์คอนเสิร์ตเหมือนเข้าไปอยู่ในท้องปลาวาฬแล้วเห็นเป็นเกล็ดในท้อง สวย แปลกประหลาดดี” 

ผลงานการออกแบบโปรดักชันอันบ้าคลั่งของเขาก็เป็นที่เตะตาต่อผู้คนในแวดวงศิลปะ จนเขาได้รับเชิญเป็นศิลปินสร้างผลงานตามนิทรรศการต่าง ๆ รวมถึงได้นำงานโปรดักชันบางชิ้นไปแสดง อย่างเช่น โครงสร้างกระดาษจากคอนเสิร์ต PRU POP LIFE ที่ได้ไปอวดโฉมที่ Queensland Art Gallery ประเทศออสเตรเลีย แถมยังได้จัดเก็บเข้าคอลเลกชันของแกลเลอรี 

โอกาสต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาหาวิชญ์อย่างไม่ขาดสาย เขาตระเวนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จนกระทั่ง พ.ศ. 2555 เขาก็ได้โอกาสสร้างสรรค์ผลงานชิ้นหนึ่งที่พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ

พ.ศ. 2554 คือปีหายนะที่เกิดเหตุสารกัมมันตรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เมืองฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวโทโฮคุอันรุนแรง

ปีนี้ยังเป็นปีที่ประเทศไทยเจอกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ส่งผลให้หลายพื้นที่จมอยู่ใต้น้ำนานนับเดือน 

วิชญ์จับสัญญาณจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้ว่าโลกของเรากำลังไม่โอเค และสัญญาณเหล่านี้สั่งส่มมาเรื่อย ๆ จน พ.ศ. 2555 องค์กร Tokyo Wonder Site ชักชวนวิชญ์ทำงานศิลปะในประเด็นสิ่งแวดล้อมเพื่อจัดแสดงที่ญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเริ่มต้นสำรวจประเด็นสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง 

“ทีแรกผมก็มาสำรวจตัวเองอย่างจริงใจเลยว่าเข้าใจอะไรเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมบ้าง แล้วพบว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลย”

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วิชญ์ใช้ชีวิตเป็นคนเมืองที่รื่นรมย์ไปกับแสงสี ไล่ล่าไขว่คว้าโอกาสในเมืองใหญ่ทั้งไทยและเทศ เหมือนว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องห่างเหิน ไม่เคยข้องเกี่ยวอะไรกับชีวิตของเขาเลย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เรื่องนี้อยู่ใกล้ตัวมาตลอด 

อยู่ที่พ่อของเขาเอง

 “พ่อผมเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์อยู่ที่กาญจนบุรี ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่กลางอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ พ่อไปเดินป่าเดินเขา อยู่คลุกคลีกับกะเหรี่ยงมานานจนเขาเคารพเป็นครูใหญ่ของหมู่บ้าน ตอนนี้เขาเกษียณแล้ว อยู่ในกระต๊อบเล็ก ๆ ที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง ใช้ชีวิตในป่า

“พอได้โอกาสทำงานศิลปะตอน พ.ศ. 2555 ผมเลยทำ Video Installation ชื่อว่า A Study of My Father คือการไปรู้จักพ่อตัวเอง ก่อนหน้าผมตื่นเต้นอยู่กับชีวิตเมือง พ่อผมอยู่กับธรรมชาติ แล้วผมไม่เคยสนใจเขาเลย จึงกลับไปรู้จักพ่อตัวเองหน่อย

“จากที่ผมเล่าให้คุณฟังก่อนหน้านี้ มันไม่มีพ่อในชีวิตของผมเลย” 

ใน A Study of My Father วิชญ์ถ่ายวิดีโอการเดินทางเข้าป่าไปเก็บน้ำผึ้งจากต้นยวนผึ้งต้นใหญ่ยักษ์ ผนวกกับการสัมภาษณ์พูดคุยกับพ่อ เขานำน้ำผึ้งที่เก็บได้ตอนนั้นมาใส่หลอดเล็ก ๆ และไปจัดแสดงควบคู่กับวิดีโอ คนที่ชมงานหยิบหลอดน้ำผึ้งกลับไปบ้านเป็นที่ระลึกได้ เมื่อจบวันเจ้าหน้าที่หอศิลป์จะมาตรวจสอบว่าหลอดน้ำผึ้งหายไปเท่าไหร่ และวิชญ์ก็นำจำนวนหลอดที่หายไปมาแทนค่าเป็นจุดเฟรมดำในวิดีโอ เหมือนวิดีโอถูกกัดกินไป

สำหรับคนที่ชมงาน งานนี้ชวนสะท้อนถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เราคิดว่าจะมีให้ใช้ตลอดไป แต่แท้จริงมันอาจสูญหายไปได้ตลอดกาล ในขณะเดียวกันก็ชวนตั้งคำถามถึงความจีรังยั่งยืนของงานศิลปะ ว่าแท้จริงแล้วมันอยู่มั่นคงถาวรหรือย่อยสลายลงได้เหมือนน้ำผึ้ง

สำหรับวิชญ์ งานนี้ทำให้เขาได้เข้าไปทำความเข้าใจกับพ่อ และพลิกมุมมองการใช้ชีวิตของตัวเองครั้งใหญ่

“แม้จะไม่ได้พูดถึงพ่อเสียทีเดียว แต่งานนี้ทำให้ผมรู้จักและเข้าใจวิถีชีวิตของพ่อที่อยู่แบบเรียบง่ายกับธรรมชาติ ไม่โหยหายชื่อเสียงอะไรในเมือง เห็นตัวตนของพ่อที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติคนทุกประเภท เพราะเขาต้องไปติดต่อกับชาวเขา ชาวดอย เขาจึงเข้ากับคนอื่นได้ดี

“และทำให้เห็นว่า ประเทศไทยมีส่วนที่เหลือที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เชียงใหม่ โคราช หรือภูเก็ต ยังมีความชนบทที่อยู่คู่ขนานกับเมือง เมื่อก่อนผมไม่เห็นคุณค่าอะไรอย่างนี้เลย เพราะยังไม่อิน คิดว่าเราเจริญ จะไปเมืองนอก หลงแสงสีอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองมันจำกัดมุมมองเราขนาดนั้น แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อได้ปะทะกับชีวิตแบบพ่อจริง ๆ”

4

เป็นอีกครั้งที่สายตาของวิชญ์เบิกกว้าง ยังมีพื้นที่อีกหลายส่วนของเมืองไทยที่เขาไม่รู้จัก ความคลุ้มคลั่งครุกรุ่นขึ้นในตัววิชญ์อีกครั้ง 

ในวัยหนุ่ม เขาตะบี้ตะบันออกแบบคอนเสิร์ตให้พิสดาร แต่ในเวลานี้ “กูจะไปทุกที่ในประเทศไทย” วิชญ์เล่าด้วยน้ำเสียงแน่นหนักจนก้องไปทั่วห้อง และสิ่งที่เขาทำก็บ้าคลั่งจริง ๆ 

เขาเริ่มปั่นจักรยานเริ่มปั่นจักรยานไกล ๆ ไปทั่วประเทศ แทบทุกสุดสัปดาห์ จากหลักพันสู่หลักหมื่นกิโลเมตร บางทีต้องร่อนเร่ข้ามคืน ต้องนอนข้างถนน ใช้ชีวิตติดดิน จนเห็นแง่มุมใหม่ของชีวิตนอกเขตเมือง ยังไม่พอ เขายังเป็นตัวตั้งตัวตีจัด Audax Randonneurs งานปั่นจักรยานทางไกลทั่วไทย ที่เขาบอกว่าเป็นอุบายให้คนได้สัมผัสชีวิตนอกเมืองหลวง 

ไม่ใช่แค่ทางบก วิชญ์ยังลงน้ำพายเรือดูวิถีชีวิตตามฝั่งคลอง เขาจริงจังจนกระทั่งฝึกฝนต่อเรือเอง และเคยพายเรือล่องแม่น้ำโขงในระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร จากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไปหลวงพระบาง พร้อมพาทีมงานของ The Cloud ไปทำสารคดีบันทึกภาพสิ่งแวดล้อมลุ่มแม่น้ำโขง ก่อนจะถูกทำลายจากการสร้างเขื่อนหลวงพระบางและเขื่อนปากแบง ซึ่งสารคดีนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน Summer Holiday with The Naga ที่จัดแสดงใน Thailand Biennale, Chiang Rai 2023

“เราคิดว่า เฮ้ย เกิดเป็นคนไทยนะเว้ย ประเทศไทยมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน แต่ไม่ไปดูเอง ไปสัมผัสพลังกับตัวเองได้ยังไง และมันกำลังจะเปลี่ยนไปเพราะเขาทำเขื่อน ก็เลยลงน้ำ ไปเห็นเอง ให้เข้าใจด้วยตัวเอง” วิชญ์ว่า

“เวลาไปในพื้นที่มันได้เห็นทุกแง่มุม บางทีเราอยู่กรุงเทพฯ คิดว่าทำไมคนในพื้นที่ไม่แก้ปัญหาอย่างนี้ แต่พอเข้าไปจริง ๆ คนพื้นที่มีวิธีคิดอีกอย่าง ต้องเอาใจไปใส่ ไปให้เวลาจริง ๆ นี่เป็นช่วง 10 ปีที่ผมอินกับอะไรอย่างนี้”

5

แม้ประเทศไทยจะมีเขตแดนจำกัด แต่การออกเดินทางทั่วประเทศพาวิชญ์ไปค้นพบสิ่งใหม่อย่างไม่รู้จบ ทั้งเพื่อนใหม่ ร้านอาหารเด็ด ธรรมชาติที่แปลกตา รวมไปอีกสิ่งหนึ่งที่เหนือความคาดคิดของเขาเป็นที่สุด นั่นคือ ‘เขาวงกต’ ในหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง จังหวัดกาญจนบุรี

“เจอครั้งแรกผมเหวอมาก มันคืออะไร มนุษย์ต่างดาวมาสร้างไว้หรือเปล่า” วิชญ์หัวเราะ “แต่คนในหมู่บ้านบอกว่า อันนี้เป็นเขาวงกตที่ชาวกะเหรี่ยงสร้างตามประเพณี ซึ่งไม่ได้มีแค่หมู่บ้านกะเหรี่ยง ในภาคอีสาน ภาคเหนือ หรือรัฐฉานก็มี” 

เขาวงกตที่วิชญ์เห็นเป็นเขาวงกตในงานวัดที่สร้างโดยอิงจากเวสสันดรชาดก จำลองถึงเส้นทางการบำเพ็ญบุญของพระเวสสันดรเมื่อครั้งถูกเนรเทศออกจากเมือง ในเขาวงกตของคนพื้นที่จะมีศาลาขนาดย่อม ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ภายใน เป็นจุดหมายให้ผู้คนลัดเลาะหาทางไปบูชา

“เราเจอเขาวงกตตอน พ.ศ. 2555 ก็จำไว้ ยังไม่ได้ทำอะไร จนเมื่อ พ.ศ. 2565 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน Light of Life ครบรอบ 50 ปี และชวนเราทำงานแสดง เราเลยทำเขาวงกตวงกลมแล้วยืดตรงกลางให้สูง จัดไฟ ออกมาสวยงาม” จากความบังเอิญ กลายเป็นผลงานจัดแสดงในที่สุด

“อีกอย่างหนึ่งที่ผมทำเขาวงกต คือผมอยากบอกว่าในเอเชียมีเขาวงกตของตัวเองนะ ฝั่งตะวันตกมีการทำสวนเป็นเขาวงกต ในตำนานกรีกมีตัว Minotaur ที่อยู่ในเขาวงกต เอเชียเราก็มีเรื่องนี้อยู่ด้วย และทำกันมานานหลายร้อยปีแล้ว”

เขาวงกตกลายเป็นความหมกมุ่นครั้งใหม่ของวิชญ์ หรือที่เขาเรียกตัวเองว่า ‘ไอ้เขาวงกต’ พัฒนาแนวทางการทำเขาวงกตไปอย่างต่อเนื่อง ในนิทรรศการ ‘Planetary Seed ● จร ● 惑星的共自在性’ ที่ 100 Tonson Foundation วิชญ์จับมือกับศิลปินกลุ่ม living room for seed ทำเขาวงกตที่ขยับผนังขึ้นลงได้ เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินหลงในพื้นที่แกลเลอรีที่มีขนาดเล็ก จากเขาวงกตที่เคยตั้งนิ่ง ก็วิวัฒนาการให้มีความเคลื่อนไหว

จากนั้นวิชญ์เริ่มนำเสียงดนตรีมาเชื่อมโยงกับการขยับของผนังเขาวงกตในงาน Octave Maze ที่ One Bangkok แผ่นผนังจะขยับขึ้นลงตามคีย์เปียโนที่โดนกด เพิ่มมิติของเสียงเข้ามาในเขาวงกต

และทั้งหมดนี้นำมาซึ่งผลงานล่าสุดของเขา Octave Maze ที่ตึกอัศวิน

ตึกอัศวินเคยเป็นที่ตั้งของ บริษัท อัศวินภาพยนตร์ จำกัด บริษัทในตำนานก่อตั้งโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ที่ฝากผลงานทรงคุณค่าและนับเป็นหมุดหมายต่อประวัติศาสตร์วงการบันเทิงไทยนับไม่ถ้วน อย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง เรือนแพ, พันท้ายนรสิงห์, เงาะป่า ฯลฯ ทำงานกับศิลปินและผู้กำกับ เช่น เปี๊ยก โปสเตอร์ นักร้องนักดนตรี ต้นกำเนิดยุคเพลงลูกกรุง เช่น ชรินทร์ นันทนาคร, เอื้อ สุนทรสนาน (สุนทราภรณ์) บทเพลง ลูกกรุงนับไม่ถ้วน รวมไปถึง เพลง บัวขาว ที่เพลงประกอบภาพยนตร์ ถ่านไฟเก่า พ.ศ. 2480 ที่ได้รับการยกย่องจากศูนย์วัฒนธรรมแห่งเอเชีย องค์การ UNESCO ให้เป็น ‘บทเพลงของเอเชีย’ ใน พ.ศ. 2522

ในงาน Octave Maze วิชญ์สร้างเขาวงกตแผ่นใสที่ขยับขึ้นลงและเปล่งแสงวาบตามคีย์เปียโนที่ถูกกด นอกจากนั้น เขายังเชิญ วิชญ วัฒนศัพท์ มือคีย์บอร์ดวง T-Bone มาถอดแรงบันดาลใจจากเพลงลูกกรุง เรียบเรียงเพลงบรรเลงเปียโนใหม่ที่เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง และเป็นเพลงที่ปลุกให้แผ่นเขาวงกตร่ายรำ

เสียงบรรยายประวัติเพลงลูกกรุงดังมาจากลำโพงโบราณตัวเขื่องอายุที่ยังให้เสียงคมชัดกึกก้องไปทั่วห้อง เหมือนเป็นเครื่องใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเขาวงกต วิชญ์ยังนำเสียงบันทึกการเล่าเรื่องเพลงไทยสากลในอดีต จาก ศ.(เกียรติคุณ) นพ.พูนพิศ อมาตยกุล มาเปิดควบคู่ และมีการแสดงดนตรีจากลูกหลานทายาทของพระองค์เจ้าภานุพันธ์ุยุคลมาผสมผสาน

“งานนี้คือการแสดงจินตลีลาของเขาวงกต” วิชญ์นิยามผลงาน

ความทรงจำที่ห้อมล้อมตึกหลอมรวมกับเขาวงกตเป็นหนึ่งเดียว

“ผมปลื้มใจที่บางคนพาพ่อแม่ผู้สูงอายุมาดูแล้วเขาได้รำลึกความหลัง บางคนเป็นดาราเก่าของอัศวินภาพยนตร์ นั่งรถทัวร์มาจากศรีราชาเพื่อมาดู มันเต็มไปด้วยความทรงจำ” วิชญ์พรั่งพรูความประทับใจ

“งานนี้ยังเป็นการกลับมากรุงเทพฯ ของผมด้วย กรุงเทพฯ เรียกตัวผมกลับมาแล้ว” 

“ผมไม่สนใจเลยว่าคนจะเรียกงานผมว่าเป็นงานดีไซน์หรืองานศิลปะ”

ยากที่จะนิยามวิชญ์ด้วยคำคำเดียวว่าเขาเป็นอะไรหรือทำงานอะไร และเขาก็ไม่สนใจจำกัดชีวิตด้วยบทบาทอะไรเช่นกัน เพราะเขาเลือกสนุกกับการทำหลายอย่าง มากกว่าเป็นอัจฉริยะในด้านใดด้านหนึ่ง

“ผมไม่ตั้งใจจะเป็นอะไรเลย ผมเป็นมนุษย์เป็ด เดี๋ยวมันก็สนใจของมันเอง ถ้าทำแล้วสบายใจ ดูแล้วรอดก็ทำ ขนาด ศ.(เกียรติคุณ) นพ.พูนพิศ ที่อัดรายการพูดเรื่องดนตรีสากลเป็นพัน ๆ เทป จริง ๆ แล้วเขายังเป็นหมอหู คอ จมูก ไม่เกี่ยวอะไรกับดนตรี” วิชญ์ว่า

“ตอนนี้ผมทำเขาวงกตเยอะ มันเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วสบายใจ ผมอาจเป็นไอ้เขาวงกตอยู่สักพักหนึ่งแน่ ๆ แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะเป็นไอ้เขาวงกตตลอดไป”

สำหรับใครบางคน การไปอินเรื่องนู้นที เรื่องนี้ที อาจเป็นเรื่องเสียเวลา แต่วิชญ์ไม่ได้คิดเช่นนั้น ประสบการณ์แต่ละอย่างต่างต่อยอดซึ่งกันและกัน การเล่นละคร การทำโปรดักชันคอนเสิร์ต การออกไปต่างจังหวัด ไม่ว่าอะไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างบ่มเพาะเป็นวัตถุดิบสำหรับเขาในอนาคต 

“ผมว่าเก็บเป็นประสบการณ์ เมื่อไหร่ที่ต้องทำงาน ผมจะหยิบไปใช้” 

การเดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวขัดเกลาวิชญ์จากเด็กหนุ่มใจร้อน อารมณ์พุ่งพล่าน มาสู่โหมดคุณลุงที่ใจดีมากขึ้น 

ตอนนี้วิชญ์เริ่มคิดถึงบันทึกบทต่อไปของชีวิต

“ตอนนี้ผมไม่ได้อยากไปไกลที่ไหนในโลกแล้ว ผมอยากกลับมาสำรวจว่า จะแลนดิ้งตรงไหนแบบไหน คนเราเหมือนออกแบบมาให้บินไปไกลที่สุด แต่สุดท้ายก็กลับมาอยู่ใกล้ ๆ เอง”

Writer

Avatar

ปรัชญพล เลิศวิชา

มนุษย์ตัวเล็กที่สนใจเรื่องสถาปัตยกรรม การออกแบบ ศิลปะ วัฒนธรรม และอื่น ๆ อีกมากมาย

Photographer

ภรัณยู วรรณศรีพิศุทธิ์

ภรัณยู วรรณศรีพิศุทธิ์

นักศึกษาเอกญี่ปุ่นจากมหาสารคาม สนใจภาพถ่าย ชีวิตขับเคลื่อนด้วยเสียงเพลง อยากมีเงินไปมิวสิกเฟสติวัลเยอะๆ