คุณอาจรู้จัก วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ในฐานะผู้กำกับของ ฟ้าทะลายโจร หนังไทยเรื่องแรกที่ได้ฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ และเป็นที่พูดถึงของนักวิจารณ์ทั่วโลกในแง่การนำหนังคาวบอยไทยย้อนยุคกลับมาตีความใหม่อีกครั้ง

หรือคุณอาจรู้จักเขาจากหนังเรื่อง หมานคร ที่เล่าชีวิตคนต่างจังหวัดในกรุงเทพฯ ด้วยน้ำเสียงขบขันอารมณ์ดี ในโลกอันแสนประหลาดที่มีภูเขาพลาสติกสูงตระหง่านกลางเมือง ตุ๊กตาหมีพูดได้ และยายที่กลับชาติมาเกิดเป็นจิ้งจก

หรือหากคุณชอบหนังผี ก็อาจจะรู้จักเขาว่าเป็นผู้สร้าง เปนชู้กับผี หนังผีย้อนยุคที่มีกลิ่นอายไทยแท้ ไม่ว่าจะดูกี่ทีก็ยังหลอนขนหัวลุกไม่เปลี่ยน

หนังทั้ง 3 เรื่องนี้รวมถึงเรื่องอื่นๆ ของเขา เต็มไปด้วยสีสันและงานภาพน่าจดจำ จนคนมักมองข้ามชายผู้อยู่เบื้องหลัง แม้เขาจะพอใจกับสภาวะเช่นนี้ และหวังให้คนสนใจผลงานมากกว่าตัวเขาอยู่แล้ว แต่ในเมื่อปีนี้มีวาระเปลี่ยนผ่านมากมายในชีวิตเขา ทั้งการนั่งเก้าอี้เป็น Content Creator ของ Transformation Films การทำ สิงสู่ หนังผีเรื่องใหม่ การหันไปกำกับ Original Netflix Series และการเป็นหนึ่งในสี่ผู้กำกับหนังเรื่อง Ten Years Thailand เราจึงชวนเขากลับไปทบทวนการเดินทางที่ผ่านมา และได้พบว่าเขาไม่ได้ชีวิตฉูดฉาดเหนือจริงเหมือนหนังที่เขาสร้างเลย

วิศิษฏ์ในวัย 55 เล่าเรื่องขมบ้างหวานบ้างในชีวิตกลั้วไปกับเสียงหัวเราะ ชีวิตของเขามีสีเรียบๆ ออกไปทางเทาๆ จนน่าตกใจ

นี่คือเรื่องราวไม่วิเศษของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

ทำไมหนังของคุณจึงเป็นสไตล์เหนือจริงเสมอๆ

อาจจะเป็นการหนีก็ได้ ถ้าวิเคราะห์ เรามันยากจนก็เลยต้องหนีไป ตอนเด็กๆ เราชอบอ่านหนังสือทุกประเภท กำลังภายในนี่ชอบมาก มันมีอาการที่เรียกว่าจมดิ่ง เหมือนหลุดเข้าไปในโลกนั้น อยากจะท่องมันไปเรื่อยๆ เล่มแล้วเล่มเล่า เมื่อก่อนต้องไปเช่าหนังสือ เช่าแล้วไปคืน แล้วก็เช่ามาใหม่ รู้สึกว่าอยู่ในนั้นแล้วมันมีความสุข ไม่อยากออกมา ไม่อยากให้มันจบ อาจจะเป็นการหลบหนีชนิดหนึ่ง

เราถึงไม่ชอบทำหนังชีวิต เพราะเราเศร้ามาตลอด มันเบื่อแล้ว เบื่อชีวิตแบบยากจนแล้ว

ที่บอกว่ายากจนนี่ยากจนขนาดไหน

จนแบบไม่มีอะไรจะกิน (หัวเราะ) ผมเกิดมาเป็นคนจนมากๆ ในกรุงเทพฯ มาจากชนชั้นรากหญ้าเลย เป็นหนังชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา

เล่าหนังเรื่องนี้ให้ฟังสักฉากสองฉากได้ไหม

ที่บ้านผมเป็นครอบครัวคนจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ แม่ขายผักที่ตลาด ไม่ได้เรียนหนังสือ ส่วนพ่อเรียนภาษาจีน ทำหนังสือพิมพ์จีนอยู่พักหนึ่ง พอทำธุรกิจแล้วก็เจ๊ง เป็นหนี้ เราต้องย้ายบ้านหนีหนี้ แล้วพ่อก็หนีหนี้ แม่เลยโดนจับแทนพ่อไป ผมยังจำภาพตอนเด็กมากสัก 4 – 5 ขวบที่อาม่าพาไปเยี่ยมแม่ในคุกได้ ยังจำภาพนั้นได้ติดตา

พอโตขึ้นก็ต้องช่วยแม่เอาผักไปขายที่ตลาด แบกผักขึ้นรถเมล์สองสามต่อกว่าจะมาถึงตลาดโรงเลี้ยงเด็กตรงแถวหัวเฉียว พอขึ้นรถเมล์กระเป๋ารถเมล์ก็รังเกียจ ชอบไล่ ชอบเร่ง แล้ววันหนึ่งฝนตก แม่ลงบันไดรถเมล์ก็ลื่นตกบันได เรารู้สึกเลยว่าชีวิตคนจนทำไมมันขนาดนี้วะ

แล้วเด็กคนนั้นต่างจากเด็กจนคนอื่นตรงไหน

พอดีมีความสามารถทางศิลปะตั้งแต่เด็ก วาดรูปเก่ง เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะเรียนทางด้านนี้ แล้วครูที่มาสอนศิลปะตอนประถมก็เป็นครูฝึกสอนไฟแรงจากเพาะช่าง เขาก็จุดประกายให้เรา สอนให้เราดูศิลปะ ดูหนังฝรั่งตั้งแต่เด็ก เป็นแรงบันดาลใจมาถึงวันนี้

คุณผลักตัวเองจนเรียนจบมัณฑนศิลป์ ศิลปากร ได้อย่างไร

เรามีพี่น้อง 6 คน แล้วก็เป็นลูกคนเล็กเกือบสุดท้อง พี่ชายคนโตเขาเรียนเก่งมาก ตอนสอบติดสวนกุหลาบทั้งย่านก็ฮือฮากันมาก พี่ชายคนที่สองคนที่สามก็ไปสอบแล้วไม่ติด เขาก็ไม่เอาเลย ไม่เรียนเลย ส่วนเราไปสอบก็ไม่ติดเหมือนกัน แต่เรายังรู้สึกว่าต้องเรียนหนังสือ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม น่าจะเพราะว่าชอบอ่านหนังสือมั้ง

พอจบ ม.ศ. 3 ก็ไปเรียนที่วิทยาลัยช่างศิลป์แถวลาดกระบัง ซึ่งคนจนพ่อแม่เขาไม่มีเวลามาดูหรอก ก็ไปหาเอง สอบเอง พอถึงวันไปมอบตัวก็ไม่มีใครว่าง ต้องไปยืมพี่ชายเพื่อนมาเป็นผู้ปกครองปลอม แล้วก็ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม วาดการ์ตูนขายเล่มละบาท ไปวาดการ์ตูนการเมืองตามหนังสือพิมพ์ วาดภาพประกอบ เขียนเรื่องสั้นลงนิตยสารบ้าง

บ้านเราอยู่ฝั่งธนฯ แต่ช่างศิลป์อยู่เลยลาดกระบังไปหน่อย พอเรียนไปถึงปี 3 ก็เริ่มไม่ไหว ไกล ต้องไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงแต่เช้า ส่วนใหญ่ไปก็ไม่ทันเรียนคาบแรก ขากลับก็ต้องวิ่งให้ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย เพื่อนบางคนก็ไปเช่าหอพัก แต่เราไม่มีตังค์เช่า เลยตัดสินใจว่าต้องสอบให้ติด คนสอบเป็นแสน รับ 60 คน ตอนแรกก็คิดว่าถ้าไม่ติดก็จะไปเรียนเพาะช่าง แต่ปรากฏว่าติดวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

ตอนอยู่ในมัณฑนศิลป์แล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนจนมั้ย

ก็ยังจนอยู่ ส่วนใหญ่พวกเด็กเรียนศิลปะอาจไม่ถึงกับรวยแต่ก็มีฐานะ เพราะว่าค่าใช้จ่ายมันสูง การซื้อสี อุปกรณ์ ของนอกทั้งนั้น สมัยก่อนร้อยกว่าบาทต่อสี แล้วต้องซื้อเป็นสิบๆ สี เราก็ต้องยืมเพื่อนเอา

แต่ศิลปากรมันแปลกอย่างหนึ่ง คือใครรวยจะอาย เพื่อนที่ขับรถมาบางคนจะแอบไปจอดไกลๆ เพื่อแกล้งทำตัวจน เหมือนอวดรวยมันไม่เท่ ต้องจนๆ เน่าๆ เราเลยอยู่กับเขาได้ ไม่ค่อยแปลกแยก แต่ว่าเวลาเขาคุยกันเรื่องรองเท้า เสื้อผ้า แฟชั่น เราที่ไม่มีเงินไปเดินจตุจักรอย่างเขาก็จะหลุดจากบทสนทนาพวกนี้ทันที

พอจบมาแล้ว ทำไมถึงเลือกทำงานโฆษณา

สมัยนั้นมันเป็นช่วง Yuppie คือยุคที่ทุกคนจะมุ่งมั่นทำงาน หาเงิน งานเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต ทุกคนอยากจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คือต้องมีเงิน มีบ้าน มีรถ พอเราเรียนทางด้านนิเทศศิลป์ วงการโฆษณาก็กำลังบูม เงินเดือนดีมาก เราก็เข้าไปทำ งานแรกได้เงิน 5,000 บาทต่อเดือน เยอะมากจนเพื่อนๆ ตะลึง

วงการโฆษณาไม่ได้มีแต่คนรวยเหรอ

มันเป็นยุคบุกเบิก ที่ขอให้มีไอเดียก็เข้ามาได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ขอแค่แสดงให้เขาเห็นว่าเรามีไอเดีย อย่างเราตอนแรกเข้าไปเป็น Visualizer แล้วพอเขาเห็นแววว่าเราคิดได้ เขาก็ให้เป็น Junior Art Director แล้วก็สอนวิธีคิด ให้เราลองคิดงาน แล้วเขาก็มาคอมเมนต์ ถึงจะไม่ได้ใช้ก็ตาม แต่เขาฝึกให้เราคิด

นับว่าวงการนี้สอนคุณเยอะ

โดยเฉพาะเรื่องไอเดีย ไอเดียนับเป็นสิ่งที่สำคัญสุดในงานโฆษณา ซึ่งเราก็ใช้หากินมาได้จนถึงทุกวันนี้

แล้วก็ให้เงินกับคุณเยอะด้วย

ชีวิตก็ดีขึ้น มีรถ ซื้อบ้านได้

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

นอกจาก 2 เรื่องนี้ มีเรื่องไหนที่ได้จากการโฆษณาแล้วนำมาใช้กับการทำหนังอีกบ้าง

มี มีการเอาสิ่งที่ถ่ายทำในโฆษณามาใช้ในหนังโดยตรงเลย (หัวเราะ) อย่างเรื่อง หมานคร เราถ่ายควบกับโฆษณาเรื่องหนึ่งแล้วรู้ว่าหนังมันงบน้อย แต่อยากได้โปรดักชันแบบโฆษณา เราก็เซ็ตโฆษณาเรื่องนี้ให้เป็นแบบนั้น มีฉากแบบนั้น ม็อกอัพแบบนั้น แล้วเราก็ถ่ายแบคกราวนด์เก็บไปใช้ โฆษณานั้นคือผู้ใหญ่ลีของธนาคารกรุงไทย ลองไปดู จะเห็นเมฆอันเดียวกันเลย

ย้อนกลับไปก่อนจะมาเป็นผู้กำกับ คนจนอย่างคุณได้ดูหนังกับเขาไหม

คนจนดูหนังเยอะนะ โดยเฉพาะหนังกลางแปลง อย่างตอนปีใหม่เนี่ยจะมีเยอะ ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่เลย เมื่อไรได้กลิ่นลมหนาวมาจะรู้สึกถึงความสุข เพราะว่าเดี๋ยวหนังกลางแปลงจะมาแล้ว หรือช่วงตรุษจีนที่มีงานตามศาลเจ้า เขาก็จะสั่งหนังมาฉายสมโภช เราก็จะวิ่งไปก่อนเลยเวลารถเร่ฉายหนังมา วิ่งไปดูฟิล์มที่เป็นม้วนๆ ใส่กระเป๋ามา มีชื่อหนังเขียนอยู่ที่สัน ดูว่ามีเรื่องอะไร หรือเวลาฉายแล้วฟิล์มไหม้ เขาจะตัดส่วนที่ไหม้ทิ้ง เราก็แย่งกันใหญ่เลย แล้วเอาไปส่องไฟฉายกับแว่นขยาย ฉายขึ้นผนังบ้าน

หรือบางทีไปยืนดูคนพากย์ เมื่อก่อนหนังไม่มีเสียงในฟิล์ม มันพากย์หมด แล้วบางทีคนพากย์คนเดียวเล่นทุกอย่าง ผู้หญิง ผู้ชาย ทำซาวนด์เอฟเฟกต์เองหมด สนุกกว่าดูหนังอีก พากย์ทั้งคืนคนเดียว

แต่ก่อนปีหนึ่งกว่าจะได้ดูหนังก็คือช่วงนี้ช่วงเดียว แล้วฉาย 7 วัน 7 คืน บางคืน 7 เรื่อง ดูกันจนเช้าเลย เวลาหนาวก็ก่อไฟ ชาวบ้านเอาผ้าห่มมาห่มดู เป็นความสุข

หนังมีความหมายอย่างไรกับคนจน

มันคือความยิ่งใหญ่นะ เหมือนในเรื่อง Cinema Paradiso ที่ฉายหนังกลางแปลงแล้วขอบจอมันล้นไปโดนบ้านหรือตึกแถว แล้วคนก็ออกมายืนดูหนังจากตรงระเบียง มันเป็นเวทมนตร์จริงๆ

แล้วเครื่องฉายสมัยก่อนมันใหญ่มาก เป็นลำแสงพุ่งออกมา แล้วมันระบายความร้อนขึ้นข้างบน จะเห็นควันเป็นลำ ฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าเลย เวลาเปิดเครื่องฉายออกมา จะเห็นม้วนฟิล์มใหญ่มาก (วาดมือสุดแขนเพื่อแสดงขนาด) อยู่ข้างใน

ดูหนังวันนี้ยังรู้สึกเหมือนวันนั้นไหม

ถ้าในแง่ความประทับใจ แน่นอนว่ามันสู้ตอนเด็กไม่ได้หรอก แต่ว่ายังรู้สึกกับความเข้าไปในที่มืดๆ แล้วก็เป็นโรงใหญ่ๆ จอใหญ่ๆ บังคับให้เราดู ยิ่งถ้าเป็น IMAX มันเหมือนเราจมเข้าไปอยู่ในมันเลย

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

คนจนชอบดูหนังแบบไหน

ส่วนใหญ่ก็หนังแอ็กชั่น ดูสนุกๆ

แต่หนังคุณดูไม่ถูกใจคนจนเลยนะ

ไม่ถูกใจสักเรื่อง เพราะเราไม่ได้คิดแบบเดิม เราไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองกลายมาเป็นวิธีคิดแบบชนชั้นกลางไปแล้ว รับอิทธิพลเมืองนอกมา รับศาสตร์และวิถีหลายอย่างมา ถึงเราจะยังอยากได้กลิ่นนั้นในความทรงจำวัยเด็กอยู่ เราก็ทำไม่ได้แบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์

การเปลี่ยนมาเป็นคนชนชั้นกลาง คุณคิดว่าเป็นการลืมรากเหง้าของตัวเองหรือเปล่า

เราก็ไม่ได้มองว่าการเป็นชนชั้นกลางมันผิดอะไรนะ เพียงแต่ว่า เราคิดถึงชนชั้นอื่นหรือเปล่า หรือคิดอยู่แค่ในชนชั้นของเราเอง รสนิยมมันไม่มีใครผิดใครถูก เช่น ไปดูถูกหนังบ้านๆ ว่าไม่มีรสนิยม ก็เขาชอบของเขา มันไม่ผิด ชาวบ้านดูหนังเราไม่รู้เรื่อง ก็ถูกของเขา

แล้วไม่อยากทำหนังให้คนจนดูบ้างเหรอ

(รีบตอบ) อยาก อยาก แต่ว่ามันเป็นรสมือไปแล้ว คือเราทำกี่ทีก็ออกมาเป็นรสนี้ บางคนเขาทำหนังแบบไหนใครๆ ก็ชอบ ก็เป็นรสมือเขา

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

หนังของคุณทุกเรื่องมีจุดร่วมอะไรไหม

มีอยู่เป็นประเด็นบางๆ ที่ไม่น่าจะมีใครเห็น คือเรื่องชนชั้น เช่นใน ฟ้าทะลายโจร ก็พระเอกจนนางเอกรวย เรื่อง เปนชู้กับผี ก็จะเป็นผู้หญิงต่างจังหวัดกับกรุงเทพฯ มาปะทะกัน หรือ หมานคร มันก็พูดเรื่องคนจนในกรุงเทพฯ เหมือนหมาตรงสี่แยกที่จะข้ามถนนแล้วก็ข้ามไม่ได้สักทีเพราะรถมันเร็วไปหมด

วิธีที่โตมามันทำให้เราเห็นความเหลื่อมล้ำเยอะ เราเห็นสิ่งที่คนกระทำกับคนจนชัดมาก กระทั่งคนจนด้วยกันเองก็ดูถูกกัน โลกนี้เขานับถือคนมีฐานะ คนรวย คนที่เรียนสูง จบนอก แต่คนอย่างเรามันยากที่เขาจะยอมรับ

ชนชั้นเป็นเรื่องที่คนเอาไว้กดกัน ความจนคือมึงเสือกเกิดมาจน นี่แหละคือเรื่องที่เราสัมผัสมาจริงๆ ไม่ได้ไปฟังใครมา เรารับรู้มันเอง

การใส่เรื่องชนชั้นลงไป ตั้งใจจะสื่อสารอะไร

เราไม่ได้ตั้งใจใส่นะ คนมาวิเคราะห์ทีหลังกันเอาเอง

ถ้าอย่างนั้น คุณตั้งใจจะให้คนดูได้อะไรจากหนังของคุณ

จริงๆ ก็อยากจะทำหนังสนุก คิดไว้ทุกครั้งว่าเรื่องนี้ต้องสนุก เราก็ชอบหนังฮอลลีวูด ไม่ได้คิดจะทำหนังอาร์ตนะ อยากเป็นแบบคริสโตเฟอร์ โนแลน อะไรแบบนี้ ทำหนังสนุกแต่มีอะไรใหม่ๆ ให้ตื่นเต้นตลอด

จากเด็กจนๆ คนหนึ่ง คุณได้ไปคานส์ นับว่าประสบความสำเร็จไหม

ก่อนไปก็ตื่นเต้น แต่พอผ่านไปแล้วมันก็ Nothing นะ มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากหรอก เราก็ทำหนังปกติทั่วไป ถ้าเป็นหนังอาร์ต สิ่งที่จะพิสูจน์ว่าสำเร็จก็คือรางวัล ส่วนถ้าเป็นหนังทั่วไปแบบเรา สิ่งที่จะพิสูจน์ความสำเร็จก็คือได้เงิน ทีนี้เราไม่ได้เงิน ก็เลยยังไม่เรียกว่าสำเร็จ

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

นั่นคือมาตรฐานในสังคม แล้วมาตรฐานของคุณเองล่ะ อะไรคือความสำเร็จ

ของเราคือคนดู เวลาเห็นเงินที่หนังทำได้ มันไม่ได้อะไรกับเงินหรอก แต่มันคือจำนวนคนดู เวลาเห็นเงินเยอะ แปลว่ามีคนดูเยอะขนาดนั้น มันน่าตื่นตะลึงนะ

เราเคยไปเทศกาล Locarno Film Festival ที่สวิตเซอร์แลนด์ มันเป็นเทศกาลหนังที่มีจอใหญ่ตั้งกลางจัตุรัสเมือง ขนาดใหญ่บะเร่งเท่าตึก 4 ชั้น แล้วรอบๆ ก็เป็นคาเฟ่ เป็นบาร์ คนก็นั่งกินข้าว กินเหล้า ดูไปด้วย วันนั้นฉาย หมานคร แล้วคนเต็มล้นจัตุรัส เขาปรบมือกัน บางคนหันมาชื่นชมว่าชอบมาก แค่นั้นก็รู้สึกอิ่มใจมาก หัวใจมันฟู

หรือตอนไปหลวงพระบาง อันนั้นฉายเรื่อง รุ่นพี่ ร่วมกับหนังไทยอีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นหนังผี ตอนฉายก็มีเด็กวิ่งเล่นตลอดเวลา พอผีออกมาเด็กก็กลัวที แล้วก็กลับไปวิ่งเล่นต่อ อันนั้นก็เป็นความประทับใจในบรรยากาศบ้านๆ ที่เหมือนตอนเราเด็กๆ

ความจนเป็นอดีตอันห่างไกลหรือเปล่า หรือยังเป็นสิ่งที่รู้สึกอยู่ทุกวัน

ยังรู้สึกอยู่ แต่ความเป็นจริงมันขมขื่น มันเจ็บปวด ก็เลยไม่อยากจะนึกถึงมัน พยายามลืมๆ รู้สึกว่ามันเหมือนฝันร้าย ไม่อยากให้มันกลับมาหลอกหลอนเราอีก แต่ก็ยังจำได้อยู่

แต่ก็มีเงินแล้วนี่

มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินในกระเป๋า สำหรับเรามันเหมือนอยู่ในยีน ใช้คำว่ายีนเพราะไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร สันดานเหรอ ไม่รู้สิ คือเรายังปรับตัวไม่ได้ ก็อยู่แบบเดิมๆ เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านก็ธรรมดาๆ เราไม่ถึงกับชอบนะ แต่ถ้าให้ไปอยู่ในอีกสภาพหนึ่งที่มันห่างไกลมาก เราไม่สบายใจ

ตอนหลังที่มาทำหนังเขาก็ให้เกียรติเรา อย่างสถานทูตฝรั่งเศสเชิญไปดินเนอร์กับท่านทูต เรารู้สึกอึดอัดมาก เขากินไวน์ดีๆ เราก็กินไม่ค่อยเป็น เข้าสังคมแบบเขาไม่เป็น คือไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้แอนตี้นะ แต่มันไม่เป็นตัวเราเอง หลังๆ เลยพยายามปฏิเสธ

เพื่อนบางคนที่มาจากสังคมคล้ายๆ เรา เขาก็ไม่เป็นนะ เขาดูชอบด้วยซ้ำที่จะก้าวข้ามและเปลี่ยนตัวเองเป็นชนชั้นสูง ซึ่งเขาก็เป็นได้นะ ส่งลูกไปเรียนนอกอะไรกันมากมาย แต่เราคิดว่าเรามีความสุขก็พอ พูดง่ายๆ คือเราไม่สามารถไปเป็นเศรษฐีได้ ต่อให้ได้เงินมามากมายก็ไม่รู้จะใช้ทำอะไร ซื้อรถแพงๆ ไม่เป็น ขับไปก็คงผื่นขึ้น

เงินดูไม่ใช่ปัจจัยที่กำหนดชีวิตคุณ

คือเราอาจจะเป็นคนที่ไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือย เป็นคนประหยัด ไม่ค่อยเที่ยว หลังๆ เลิกกินเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ก็เลยไม่รู้สึกอะไร อย่างตอนเงินเข้ามาในบัญชีก็ไม่ได้กรี๊ดกร๊าด อยากหามันมาอีก เพราะก็รู้สึกเท่าๆ เดิม เสียไปเราก็ไม่ได้จนลง เก็บไว้เราก็ไม่ได้รวยขึ้น

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากได้เงินนะ ยังอยากได้เงินอยู่ (หัวเราะ) ไม่ได้รังเกียจเงิน เพียงแต่ไม่อยากไปดิ้นรนเพื่อที่จะได้เงินเยอะๆ เราอยากทำงานแล้วได้เงินก็พอ ถ้าได้เงินเยอะก็ดี หรือถ้าได้ไม่เยอะแต่เราแฮปปี้ เราก็ทำ

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

แล้วมีกรณีไหนมั้ยที่ทำให้เสียดายว่าน่าจะมีเงินมากกว่านี้

บ่อย โดยเฉพาะเรื่องหนังเนี่ย เงินมันไม่พอสักเรื่อง เราพูดได้เต็มปากว่าไม่ได้ทำหนังเพื่อเงิน เพราะว่าเวลาทำหนังแล้วเจ๊งทุกเรื่อง ไม่เคยได้ตังค์ แถมยังเอาเงินลงไปอีก เพราะอยากให้มันดี

อาจจะเพราะว่าเราอยากได้สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ อย่าง Ten Years Thailand เขามีเงินให้น้อยมาก แต่เราดันอยากทำเรื่อง Catopia ที่ต้องใช้ CG ก็เลยออกเองก็ได้วะ ลงไป 600,000 พออยากทำเราก็ช่างมัน ถือว่างานมันเป็นชื่อเรา เก็บไว้เป็นผลงานเราได้

กลายเป็นว่าหาเงินมาทำหนัง ไม่ใช่ทำหนังเพื่อหาเงิน

แต่ก่อนเลยไม่ออกมาทำเป็นอาชีพไงฮะ สมัยก่อนทำโฆษณาเพราะเงินมันดีมาก แต่ทำๆ ไปสักพักเราก็เบื่อ เลยพักแล้วออกมาทำหนัง เอาเงินที่สะสมไว้มาลงกับการทำหนัง พอเงินหมดเราก็กลับไปทำโฆษณาต่อ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วนะ ออกมาเต็มตัว แต่ก็พอมีเงินเหลืออยู่บ้าง

แบบนี้คงเรียกว่าลงทุนกับหนังไม่ได้ เพราะไม่ได้กำไรกลับคืนเลย ถ้าอย่างนั้นที่ลงเงินไปเพื่ออะไร

เราอยากให้มันดี แล้ว ณ จังหวะนั้นมันบังคับให้เราต้องลง ถ้าไม่ลงก็ต้องหยุด เลยคล้ายกับหน้ามืด เหมือนตอน เปนชู้กับผี โปรดิวเซอร์ก็พาไปหา ATM ตามปั๊ม เอาไป 200,000 กดกันสดๆ เลย ทีละหมื่น ทีละหมื่น

เราว่ามันเป็นความสุขทางใจ เหมือนคนรวยเล่นเรือยอชต์หรือเล่นรถราคา 20 – 30 ล้าน เขาไม่ได้ลงทุนอะไร นอกจากได้ความสุข ของเราก็เป็นหนัง ถ้าเรารวย เราก็อาจจะลงเงินกับหนังเยอะกว่านี้ก็ได้

ควักเงินใช้กับหนังมาเรื่อยๆ ไม่กลัวจะกลับไปจนเหรอ

มันก็ไม่ได้ทุ่มเยอะขนาดนั้นด้วยน่ะนะ แต่เราก็ต้องคอยดูว่า เออ ต้องกลับไปทำโฆษณาแล้วนะ กลับไปหาเงิน เรารู้ว่าเราออกมาทำหนังอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอาจจะต้องยอมทำอะไรที่เน้นให้ได้เงิน หรือทำอะไรเร็วๆ เพื่อจะเอาเงินมากินมาใช้ แต่ของเราไม่เป็นไร เรารอได้ บางเรื่องเรารอตั้งสี่ห้าปี

จริงๆ แล้ว คือการวางแผนนะ ทั้งเราและ พี่ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง เป็นเหมือนกัน คือรู้ว่าเราไม่ได้มีนิสัยการทำหนังที่โดนตลาดมาก ถ้าเราจะทำหนังตามใจเรา เราก็ต้องวางแผนให้เราอยู่ได้ด้วย เราก็เลยทำโฆษณามาเลี้ยงตัวเอง เวลาคนอื่นคุยกัน ก็จะคุยกันว่าหนังเรื่องนี้จะได้กี่บาท แต่เวลาเราคุยกับพี่ต้อม ก็จะคุยว่าเรื่องนี้จะลงกี่บาทดี (หัวเราะ)

คนพื้นเพแบบคุณมีจำนวนไม่มากที่จะมาถึงที่จุดคุณอยู่ เคยรู้สึกเซอร์ไพรส์บ้างไหม

เซอร์ไพรส์นะ บางทีขับรถอยู่ยังตกใจ คนอย่างกูมีรถขับด้วยเหรอวะ หรือเวลาไปเมืองนอก ไปฟรีตามเทศกาล ก็จะคิดว่าคนอย่างกูได้มาเมืองนอกด้วยเหรอ

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

ความจนในวัยเด็กสอนอะไรคุณบ้าง

สอนให้เราไม่หวัง เราไม่จำเป็นต้องให้เขายอมรับว่ารวย และการยอมรับไม่ได้แปลว่าเราต้องเหมือนเขา เราเป็นของเราอย่างนี้แหละ เขาจะยอมรับก็ได้ ไม่ยอมรับก็ได้ ข้อดีก็คือเราไม่ต้องไปวิ่งไล่สิ่งที่เขามี เรามีเท่านี้ เท่านี้พอแล้ว

แล้วสิ่งที่ไม่ดีมีบ้างไหม

เราไม่มีความเชื่อมั่นกับสถาบันครอบครัว ตอนแต่งงานเราก็ตกลงกับภรรยาว่าไม่มีลูกนะ ตั้งแต่สมัยนู้นที่ทุกคนแต่งงานแล้วต้องมีลูก เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เรากลับตกลงเลยว่าไม่มี ไม่จัดงานแต่งงาน ไม่อะไรเลย

อีกอย่างคือ ลึกๆ เราเป็นคนไม่ชอบเผชิญหน้าคน ตอนเด็กๆ เวลาวาดรูปชั่วโมงศิลปะ ครูเดินมาชมคือร้องไห้ เป็นบ้า ขี้ประหม่า ทุกวันนี้ก็ยังเป็น เวลาไปไหนแล้วต้องขึ้นโพเดียมจะกลัว เครียด จริงๆ อาชีพผู้กำกับไม่เหมาะกับเราเลย เพราะมันต้องคุยกับคนเยอะๆ ตอนออกกองนี่เป็นอะไรที่เกลียด เกลียดมาก แต่ถ้าเราอยากทำหนัง มันมาพร้อมกันเป็นแพ็กเกจ ถ้าจะปรุงอาหารก็ต้องออกไปหาวัตถุดิบที่ตลาด ถึงไม่ชอบตลาดก็ต้องไป

ทุกวันนี้คุณยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวไหม

เชื่อว่าคนทำหนังทุกคนมีความเป็นเด็กในตัวเอง หนังมันเป็นความประทับใจในวัยเด็ก ครั้งแรกที่ดูหนัง ยังจำได้เลยว่าไปดูในโรงที่เฉลิมไทย เป็นหนังไทยเรื่อง จงอางผยอง มันขี่ม้าแล้วถ่ายตอนม้าย่ำไปในโคลน โคลนกระเด็น เราเอามือปิดตา มันคือเวทมนตร์ที่เห็นระหว่างภาพกับความเป็นจริง มันทำให้ฝังใจแล้วก็ยังรู้สึกถึงตลอด

สปีลเบิร์กบอกว่า เด็กทุกคนมีความเป็นคนทำหนังอยู่ในตัว เหมือนเวลาเราเล็งตุ๊กตาทหาร แล้วเราจะก้มมองผ่านไหล่ตัวนี้ไปยิ่งตัวนู้น นั่นคือภาพยนตร์ สปีลเบิร์กเองก็ยังไม่โต ยังเป็นเด็กอยู่ตลอด เขาก็ยังมีไฟที่จะทำ เพียงแต่ว่าร่างกายเขาอาจจะไม่ไหว แต่ไอเดียเขายังมีอยู่

ในฐานะคนที่ผ่านการทำหนังมาเยอะ ทุกวันนี้มองหนังต่างจากแต่ก่อนไหม

เมื่อก่อนเราเป็นคนหนุ่มที่เพ้อฝัน ฟุ้งซ่าน จะเห็นหนังยิ่งใหญ่มาก ผู้กำกับดังๆ เป็นไอดอลที่มีผลต่อเรา แต่พอเริ่มทำเองแล้วเริ่มแก่ ก็เห็นว่ามันเป็นแค่อีกอาชีพหนึ่ง ทุกอาชีพมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ากัน เราแค่รู้สึกว่าเราซื่อสัตย์กับอาชีพเท่านั้น เราไม่ได้คิดถึงผลพลอยได้ของมันอยู่แล้ว ถ้าเราขับแท็กซี่ เราก็ซื่อสัตย์กับการบริการ เรียกไปไหนก็ไป ถือว่าประสบความสำเร็จ อันนี้ก็เหมือนกัน แค่ทำให้มันดี

ถ้านั่งดูหนังที่เป็นเรื่องชีวิตคุณ ในฐานะคนดู คิดว่าจะออกมาเป็นหนังประเภทไหน

คงเป็นหนังแบบ ชาร์ลี แชปลิน มั้ง เป็นหนังคนจน ไร้บ้าน แต่เขามองโลกในแง่ที่มีความสุข ชีวิตเราน่าจะเป็นอย่างนั้น เราเลยไม่ทำหนังเกี่ยวกับความยากจนในแง่มุมที่มันจริง เพราะว่าเราไม่อยากพูดถึงสิ่งนั้นในแง่ซีเรียส ทั้งที่จริงๆ มันซีเรียสมาก

ชาร์ลี แชปลิน ก็ชีวิตเศร้านะ เศร้ามาก แต่เขาทำออกมาในแง่ขบขัน ถ้าแชปลินทำหนังซีเรียส เขาก็คงไม่ได้รับการจดจำขนาดนี้ ชีวิตเราเองก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

Writers

ทรงกลด บางยี่ขัน

ทรงกลด บางยี่ขัน

ตำแหน่งบรรณาธิการโดยอาชีพ เป็นนักเดินทางมือสมัครเล่น แบ่งเวลาไปสอนหนังสือโดยสมัครใจ และชอบจัดทริปให้คนสมัครไป

Avatar

อลิษา ลิ้มไพบูลย์

นักอยากเขียนผู้เรียนปรัชญาเพื่อเยียวยาอาการคิดมาก เวลาว่างใช้ไปกับการร้องคอรัสเล่นๆ แบบจริงจัง และดูหนังอย่างจริงจังไปเล่นๆ

Photographer

Avatar

ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

ช่างภาพ นักออกแบบกราฟิก นัก(หัด)เขียน โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าไปเจออะไรน่าทำ IG : cteerapan