ย้อนไปสัก 25 ปีก่อน หลายคนจดจำ เจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน ได้จากเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ทั้งเวอร์ชันของวงที-โบนและเวอร์ชันที่เธอขับร้องเอง ตามมาด้วยอีกหลายบทเพลงที่เธอแต่งให้อีกหลายศิลปิน อาทิ สบตา ของ แอนเดรีย สวอเรซ และ เธอยังคงมีฉัน ของ ยุ้ย-ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี ฯลฯ ผลงานเหล่านี้ทำให้เธอเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้อง-นักแต่งเพลงฝีมือดี เธอมีอัลบั้มของตัวเองออกมาหลายชุด และมีเพลงดังค่อนข้างสม่ำเสมอ (คุณน่าจะจำเพลง 10 Things ที่มีประโยคว่า “ร่างกายต้องการทะเล” หรือเพลง วัน เดือน ปี ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ หรือเพลง เพราะใจ ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก ก็อาจจะยังเป็นเพลงโปรดของคุณอยู่)

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

จนเมื่อ 8 ปีก่อน คู่ชีวิตของเธอ กบ-นิมิตร จิตรานนท์ เสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เหตุการณ์นั้นทำให้เธอกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงลูก 2 คนด้วยตัวเองโดยไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและวันเวลาที่ทำหน้าที่อย่างไม่เคยเกรงใจใคร มาถึงวันนี้ คนในแวดวงบันเทิงรู้กันว่า เจี๊ยบ วรรธนา กลายเป็นคนเขียนบทละครฝีมือดีที่มีผลงานละครโทรทัศน์อย่าง เมีย 2018 และ ใบไม้ที่ปลิดปลิว หรือละครเรื่องล่าสุดอย่าง รักแลกอุ้ม ทางช่องวัน 31 เป็นคำยืนยันอย่างหนักแน่น

นับจากวันนั้น มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเธอบ้าง โลกของละครที่เธอค้นพบ การมองโลกที่เปลี่ยนไป

ท้องฟ้าที่เธอเก็บเอาไว้ในวันนี้ ยังมีสีสันเดิมเหมือนวันเก่าก่อนหรือเปล่า

ก่อนจะอ่านบทสนทนาชิ้นนี้ ขอชวนให้คุณหันมองท้องฟ้าวันนี้สักครั้ง ก่อนที่จะฟังเธอเล่าถึงท้องฟ้าของเธอไปพร้อมกัน

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

สรุปว่าตอนนี้คุณทำงานอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้เขียนบทอย่างเดียว แต่พยายามบาลานซ์ชีวิตด้วยการทำอย่างอื่นที่เกี่ยวกับดนตรีด้วย ก็คือการทำคอนเสิร์ต อย่างทำบุญหวังผล แต่อะไรที่เกี่ยวกับดนตรี เราพยายามจะให้เป็นการทำบุญหมดเลย เป็นการบาลานซ์ตัวเอง ไม่อย่างนั้นการเขียนบทอย่างเดียวมันอาจทำให้เราหลุดจากสังคมไปเรื่อยๆ เพราะช่วงหลังๆ เราก็ไม่ได้สนุกกับการไปงานปาร์ตี้อยู่แล้ว วันก่อนไปงานอะไรสักอย่าง ก็รู้สึกว่าระหว่างที่เราอยู่ในสถานที่ที่มันอึกทึกนั้น มีแสงสีเสียง แต่ใจก็นึกถึงการนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงที่บ้าน นึกถึงการทายาหม่องแก้ปวดขา (หัวเราะ)

ทำไมถึงต้องให้งานดนตรีกลายเป็นงานบุญ

เรากลัวว่าเดี๋ยวชาติหน้าจะแต่งเพลงไม่เก่ง (หัวเราะ) มันดูเป็นหลักการไหมนะ คือเรามีความรู้สึกว่าชีวิตเราเหมือนมันถูกส่งมาให้มีพรสวรรค์บางอย่างที่มันมาเป็นระลอก อย่างช่วงที่เขียนเพลงน่ะ การเขียนเพลงมันมายังไงเราก็ไม่รู้นะ เหมือนเพลงมันมาหาเรามากกว่าที่เราสร้างมัน แล้วชีวิตเราก็เป็นแบบนี้ เหมือนพรสวรรค์พวกนี้มันมาเพื่อที่จะดันเราไปทางหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็จะมีบางอย่างเข้ามาใหม่ เพื่อดันเราไปอีกทางหนึ่ง

มาถึงวันนี้คิดว่าอยู่มือกับการเขียนบทละครหรือยัง

ก็ยังนะ แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกดี เมื่อก่อนเราเป็นคนที่อี๋ละครมากเลยนะ (หัวเราะ) แล้วโดยวัยที่คนอื่นๆ เขาดูละครกัน เราก็ไปอยู่ในห้องอัด นึกออกไหม มันไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย แต่พอมาเริ่มเขียน มันก็จะพบว่าเจตนาของคนทำละครทุกคนเขาก็ตั้งใจสร้างงานของเขานะ แต่ว่ามันเป็นศิลปะองค์รวมที่ใช้คนเยอะมาก กระบวนการก็เยอะ มันไม่เหมือนทำเพลงน่ะ เราเลือกได้ว่าเราจะทำแบบนี้ ดนตรีแบบนี้ คือเราคอนโทรลมันได้จนสุดปลายทาง แต่ว่าจะทำเป็นละครเรื่องหนึ่ง

มันต้องพึ่งพา ต้องเชื่อมั่นในตัวผู้ร่วมงานกันเยอะมาก เขาก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ในเรื่องนั้นๆ จะทำไปได้ แต่ถามว่าสนุกไหม มันเป็นงานที่เราเหมือนรู้สึกว่าเราเตรียมตัวมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะทำอันนี้เลยนะ (หัวเราะ)

เราสนุกกับมันมาก ตื่นเช้ามาก็อยากทำงาน อยากทำงานทุกวันเลย ไม่มีขี้เกียจ แล้วเรารู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาทำงานที่ตัวเองชอบตอนอายุสี่สิบสอง (หัวเราะ) แล้วตั้งใจจะทำจนสักอายุหกสิบห้าอะไรอย่างนี้เลยนะ

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

ถ้าเทียบเพลงของคุณกับละครที่คุณเขียน ดูเหมือนอารมณ์จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

จำได้ไหมว่ามีช่วงหนึ่งที่วงการเพลงต้องขายริงโทนหรือคอลลิ่งเมโลดี้น่ะ พวกเพลงรอสายที่ร้องประมาณว่าโทรไปเธอไม่รับ เธออยู่กับใคร มันจะได้ดาวน์โหลดเยอะมากเลยนะ จำได้ว่าประชุมกันในห้องประชุมที่แกรมมี่ (GMM Grammy) พี่เขาบอกว่าให้เราแต่งเพลงแบบนั้นสิ เราก็บอกเขาว่า ‘หนูไม่เขียนหรอก หนูไม่ใช่คนแบบนั้น ทำไม่ได้’ (หัวเราะ) ตัดภาพมา วันนี้ฉันเขียนละครตบกันเลย (หัวเราะสนุก)

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนได้ยังไงนะ รู้แต่ว่าเรื่องที่เราเคยเห็นจากรอบๆ ตัวมันได้เอามาใช้หมดเลย เราได้เห็นคนหลากหลาย เจอคนมาเยอะ แล้วมันก็ช่วยได้มาก แล้วมันก็อาจจะมีความท้าทายด้วย ประมาณว่าเราจะทำเรื่องแบบนี้ให้ออกมาดีที่สุดได้ยังไงนะ เราจะทำเรื่องผู้หญิงข้ามเพศคนหนึ่งที่กำลังจะต้องแย่งเมียแย่งผัวอาแล้วให้มันออกมาสวยงามได้ยังไงนะ เราควรจะมองเขาแบบไหน เราเข้าไปนั่งดูวิธีคิดเขาได้ไหม เขาเจออะไรมา บทสรุปเขาคืออะไร มันเหมือนเราได้ทำความเข้าใจมนุษย์มากขึ้น เราได้พยายามเอ็นดูคนที่เราน่าจะเกลียด 

ในด้านหนึ่งมันก็เป็นงานที่สอนธรรมะเราเหมือนกันนะ เพราะทำให้เราได้พิจารณาคนจากข้างในจริงๆ เมื่อก่อนเจอใครที่เรารู้สึกว่าไม่ชอบเดินเข้ามา เราก็ไม่คุย ไม่เสวนา แต่พอเราต้องเขียนละคร เราก็ต้องมองคนรอบๆ ว่าอะไรที่ทำให้เขามีปฏิกิริยาแบบนั้น อะไรทำให้เขาคิดแบบนั้น มองลึกลงไปแล้วรู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนมีความน่าสงสาร มันมีเหตุและปัจจัย แล้วทุกอย่างมันก็กลายเป็นธรรมะสำหรับเรานะ

แต่ว่าผู้ใหญ่ก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปลึกมาก เดี๋ยวละครจะจืดนะ (หัวเราะ) เหมือนพอเราเข้าใจตัวละครมาก เรื่องมันจะไม่แซ่บ เอาเป็นว่าใครอยากให้มีตบกันในละครตอนไหนก็โทรมาบอกเราแล้วกัน เดี๋ยวเราเขียนในบทให้ ตอ บอ …ตบ! (หัวเราะ)

จริงๆ เราไม่เชื่อเรื่องการใช้กำลังนะ คือนึกไม่ออกว่าคนที่จะลุกขึ้นตบมันต้องยังไงวะ (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าง่ายมากเลย ไปหาคลิปเด็ก ม.3 ดูสิ เราก็ไปเปิดดู พอตอนนั่งดูก็ อะไรวะ (หัวเราะ) ก็พยายามวิเคราะห์นะ (หัวเราะ)

เวลาเขียนบทก็พยายามจะไม่ให้มี ต้องคิดก่อนว่ากำลังจะบอกอะไร แล้วมันจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ไหม จริงๆ เราต่อต้านการตบจูบหรือการข่มขืนในละครมาก แต่ว่าพอเราไปคุยกับคนทำละครลึกๆ เขาก็พูดว่ามันเป็นวรรณคดีเว้ย ขุนช้าง ขุนแผน เว้ย วันทองมันถูกทั้งขุนช้างและขุนแผนปล้ำน่ะ แล้วเรารู้สึกว่าละครไทยมันเป็นเหมือนสังคมไทย มันสอนให้ผู้หญิงกระมิดกระเมี้ยน มันไม่ได้เสรีเหมือนประเทศอื่น เรื่องเซ็กซ์ของประเทศเรามันไม่ตรงไปตรงมา การมีเซ็กซ์ของผู้หญิงไม่ว่าจะวัยไหนก็ตามมันจะเป็นการสมยอมไม่ได้ ถ้าสมยอมนี่จะดูแรดทันที มันก็ต้องมีกระบิดกระบวน เพื่อให้ดูเป็นนางเอกละครได้ พอคิดแบบนี้เราก็พอเห็นภาพนะ (หัวเราะ) 

ก็กลายเป็นว่า ถ้าจะเข้าพระเข้านางผู้ชายจำเป็นจะต้องใช้กำลังพอเป็นพิธี เพื่อให้ผู้หญิงไม่ผิดกับการสมยอม ในแง่คนเขียนบทก็ อ๋อ… อะ กูเข้าใจแล้ว ต้องมีช่วยฝนตกนิดหน่อย เพื่อที่จะเข้ากระท่อมกันไป ไม่ให้ผู้หญิงรู้สึกแย่มากกับการที่ตัวเองสมยอม มันเหมือนเป็นวิธีคิดที่สั่งสมกันมาตั้งแต่ไหนไม่รู้ 

พอเราต้องมาทำละครในวันนี้เลยแตกเป็นสองเสียง กลุ่มคนเดิมๆ ก็อาจจะชินกับขนบนี้อยู่ เราก็เข้าใจได้ แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นแล้ว สังคมมันไปถึงไหนแล้ว แล้วการข่มขืนก็ควรจะเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืนโดยพระเอกชื่ออะไรก็ตาม เราว่าทุกอย่างมันก็ต้องปรับไปตามยุคสมัยนะ

เวลาเขียนบทละคร ปกติคุณเขียนทีละกี่เรื่อง

เขียนทีละเรื่อง หนึ่งปีอาจจะแพลนไว้ว่าต้องได้สองเรื่อง คือเทอมในการทำงานมันก็จะประมาณหกเดือนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ปีหน้ามันเหมือนจะวางแผนได้แล้วว่า เรื่องที่เราอยากเขียนมันจะไปในทิศทางไหนแล้ว ก็อาจจะทำงานง่ายขึ้น

ที่จริงน่ะ โลกของละครมันคือโลกของรักสามเส้านะ (หัวเราะ) โลกของความรักที่ถูกต้องกับไม่ถูกต้อง นี่คือความเป็นละครไทย แก่นของมันจะอยู่แถวๆ นี้ พอเราต้องทำเยอะๆ บางทีก็จะรู้สึกเหนื่อยนะ อย่างตอนที่เขียน เมีย 2018 ก็นึกไม่ออกว่าทะเลาะกันยังไงแล้ว เข้าใจไหม คือเราไม่ได้ทะเลาะกับใครในแบบเชิงชู้สาวอย่างนั้นมานานมากเลย เราก็เลยเข้าไปในเว็บ เมียหลวงเมียน้อย เป็นเพจเมียหลวงเมียน้อยในเฟซบุ๊ก แล้วก็เข้าไปดูเขาด่ากันอ่ะ โอ้โห ดุเดือดมากเลย ก็เข้าไปดูเพื่อที่จะเอาอารมณ์ตรงนั้นมา ให้รู้ว่าเขาหวงกันยังไง เขาหวงกันแบบไหน เราไม่ได้มีอารมณ์ตรงนั้นกันไปนานมากแล้ว บางทีมันเป็นเรื่องไกลตัวเหมือนกันที่จะนึก แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ของการเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์สามีภรรยาที่มันคอนฟลิกต์กันบ้างอะไรบ้าง อันนั้นเรานึกออก แต่อันนี้จิกหัวตบที่เรานึกไม่ออก ไปไม่เป็น (หัวเราะ)

ตอนที่เขียนบท ใบไม้ที่ปลิดปลิว เขียนถึงตอนหนึ่งพี่ผู้กำกับโทรมาบอกว่า ‘เราว่ามันต้องตบกันแล้วนะ พี่เจี๊ยบจะเขียนแค่ ‘ตบกัน’ ก็ได้ เดี๋ยวจัดการต่อเอง’ (หัวเราะ) แล้วเขาก็ไปตบกัน แล้วเรตติ้งก็ขึ้น (หัวเราะ) แต่จริงๆ ในใจลึกๆ เราตั้งใจว่าในละครของเราทุกเรื่องจะพยายามชี้นำการใช้ชีวิตในแบบหนึ่ง เท่าที่มันใส่เข้าไปในแนวทางของละครเรื่องนั้นๆ

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

เวลารับงานเขียนบทคุณเลือกรับงานอย่างไร

อย่างช่องวันเขาไม่ได้บอกว่าเราต้องทำแบบนี้หรอกนะ เขาให้เราเขียนเท่าที่เรานึกออก ให้เป็นมุมที่เราอยากนำเสนอ เราชอบช่องวันตรงที่เขาบอกว่า ในความโกลาหลของอารมณ์ละคร สุดท้ายต้องสรุปด้วยว่ามันสอนอะไร กำลังบอกอะไร แม้ว่าจะสรุปว่าธรรมะชนะอธรรมแบบโง่ๆ แบบเบสิกๆ ก็ต้องมีบ้าง ยังไงก็ต้องมี ให้เห็นถึงผลของการกระทำของตัวละครบางตัวอย่างชัดเจนอะไร 

มันเหมือนคนไทยเราเติบโตมากับวรรณคดีไทยนะ เติบโตมากับละคร ลิเก แล้วเรารากเหง้าเราเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แม้กระทั่งนิทานก่อนนอนที่เราเล่าให้ลูกฟัง มันก็ต้องมีความสรุปอะไรอยู่บ้าง บางทีมันก็ไม่เมกเซนส์เท่าไหร่หรอก เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่าในฐานะผู้เล่า เราต้องบอกใบ้คนดูนิดนึงว่า เรื่องมันกำลังจะบอกอะไรอย่างชัดเจน ประเด็นจริงๆ ของมันคืออะไร

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา งานเขียนบทละครของคุณถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย ตอนนี้มาถึงจุดที่เลือกรับงานได้หรือยัง

ก็เหมือนเริ่มมีออปชันได้ว่าถ้าเรื่องนี้อยากเขียนก็เขียนนะ หรือถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องเขียนนะ (หัวเราะ) เพราะลักษณะการเขียนละครของเรามันต่างจากคนอื่น คือวิธีเล่าหรืออะไรก็ตามแต่ เราก็เลยรู้สึกว่า เออ ปีหนึ่งทำงานสองเรื่องก็กำลังดีกับทุกอย่างเลย ก็คือยังพอมีเวลาส่งลูก ในช่วงสุดท้ายก่อนที่เขาจะโตเป็นวัยรุ่นอย่างแท้จริง 

เพราะตอนนี้เหมือนเนปาล (ลูกสาวคนโต) น่ะโตแล้ว ทำทุกอย่างเองได้ ดูแลเราได้ (หัวเราะ) ก็เหลือธิเบต (ลูกชายคนเล็ก) คนเดียว มันก็เลยคล้ายๆ ว่างานตอนนี้ที่ทำอยู่มันก็กำลังพอดีกับการส่งลูกไปในสเต็ปถัดไปของเขา แล้วเราก็เริ่มเก็บเงินสำหรับการเกษียณของตัวเอง เตรียมตัวไปเที่ยวแล้ว บอกตัวเองว่า ฉันจะป่วยให้น้อยที่สุด เพราะฉันไม่อยากเป็นภาระตัวเองและลูก ก็เริ่มมีความคิดที่แบบคนแก่ร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ เพราะปี 2563 นี่เราก็จะอายุห้าสิบแล้ว …ไม่น่าเชื่อเลยนะ (หัวเราะ)

รู้สึกอย่างไรบ้างที่อายุมาถึงเลข 5

อืม… รู้สึกว่าคนห้าสิบตอนนี้กับคนห้าสิบสมัยแม่เราพ่อเราไลฟ์สไตล์ต่างกันมาก เหมือนโลกวันนี้มันไม่ยอมดึงให้คนแก่เท่าไหร่ แล้วคนก็ไม่ยอมแก่กันเท่าไหร่นะ แต่เรามีความรู้สึกว่าความแก่น่ะ ดี!

เราว่าการที่เราต้องทำตัวให้หน้าเด็กอยู่ตลอดเวลา หรือไปดึงไปอะไรอย่างนี้ บางทีมันจะทำให้ลืมไปว่าจริงๆ เราควรจะต้องแก่แบบไหนในทางข้างในนะ เรารู้สึกว่าความแก่มันควรจะฉลาด คือมันเหมือนวัยวุฒิน่ะ เหมือนที่เราเคยนั่งคุยอะไรบางอย่างกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งเขาตอบอะไรมาสั้นๆ แล้วทำให้เรารู้สึกว่าทำไมมันจืดชืดเหลือเกิน แต่พอมาถึงวันนี้ เรากลับเก็ตคำตอบนั้นมากๆ 

เราว่าความแก่ทำให้เราช้าลง พอเราช้าลงเราก็รอบคอบ พอรอบคอบเราก็ผิดพลาดน้อยลง แล้วก็มีเวลาได้ไตร่ตรอง รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองพร้อมจะเป็นแม่มากๆ (หัวเราะ) ถ้ามีลูกใหม่ตอนนี้ เราจะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ด้วยความเข้าใจอย่างที่สุดเลย ด้วยวัยวุฒิ อายุมันก็ครึ่งร้อยแล้วน่ะ คือถ้าไม่เข้าใจก็จะรู้สึกเฟลตัวเอง (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองฉลาดปราดเปรื่องอะไรอย่างนั้น มันไม่ใช่ความฉลาดแบบรวดเร็ว แต่มันเป็นความฉลาดแบบที่ผ่านการพิจารณามาแล้ว เห็นความบกพร่องในตัวเองมาบ้าง 

เวลามองไปในอดีตก็รู้สึกว่า ‘เออ มึงยังโชคดีนะที่มีเพื่อนอยู่จนถึงตอนนี้ นิสัยแบบมึงนี่ไม่น่ารอดมาเนอะ’ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็คือแค่คิดว่าเรายังพอมีเวลาเหลือให้ใช้ความเข้าใจตรงนี้บ้างนะ แล้วก็คิดว่าจะล็อกตัวเองให้เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดแบบนี้ให้ได้

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

ถึงคุณจะบอกว่าตัวเองแก่ขึ้น แต่ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอเวลาได้พูดคุยกันคือความสนุกสนานแบบเด็กๆ คุณคิดว่าตัวเองยังมีความเป็นเด็กอยู่แค่ไหน

อันนี้เป็นเป้าหมายมากกว่านะ เราตั้งใจว่าเราจะเป็นคนแก่อายุแปดสิบที่ยังร่าเริงสดใสมากๆ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราคิดไว้แล้วว่าจะทำแน่ๆ คือเราจะปลูกมะม่วงในบ้าน แล้วเวลาเด็กๆ มาสอยมะม่วง เราก็จะหลอกผีมัน คือพี่จะทำเป็นผีแล้วแบบหลอก (ทำเสียงแฮ่!) อย่างนี่แหละ คือรู้สึกว่ามันเป็นความสุขของคนแก่ที่หวงมะม่วงนะ (หัวเราะ) ชีวิตแก่ๆ เราคงเป็นแบบนี้นะ คือก็ปล่อยให้เขาเอามะม่วงไปแหละ แต่ขอหลอกผีก่อน (หัวเราะ)

ทุกวันนี้เวลาเห็นเด็กๆ วิ่งเล่นกัน คุณรู้สึกหรือนึกถึงอะไร

รู้สึกว่า พวกแกต้องระวังเข่ามากๆ เลยนะเว้ย (หัวเราะ)

ตอนเด็กๆ เราชอบเล่นโดดยางอะ มันเป็นกีฬาเดียวที่เราฮอตมาก แต่เดือนที่แล้วเพิ่งไปหาหมอเข่ามา คือปวดเข่ามาก แล้วเราก็ถามหมอว่ามันเร็วไปไหมที่จะปวดเข่า หมอเขาก็บอกว่า ‘มันสมศักดิ์ศรีแล้วครับ’ (หัวเราะ) 

หมอเข้าใจพูดมาก เพราะการมีลูกมันก็ทำให้กระดูกพรุนนะ แล้วภาวะของผู้หญิงที่อายุเท่านี้ก็จะทำให้ไขข้อทุกอย่างฝืด ซึ่งเราไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองเลย เคยกลัวว่าตัวเองจะเส้นเลือดในสมองแตก หรือเป็นมะเร็งหรือเปล่า แต่ไม่เคยคิดว่าเข่าจะเสื่อมนะ (หัวเราะ) ดังนั้นพอเห็นเด็กๆ วิ่งกระโดดๆ กันก็จะอยากบอกว่า เดี๋ยวอายุห้าสิบมันจะปวดเข่านะลูก (หัวเราะ)

เราว่าจิตใจกับร่างกายมันสัมพันธ์กัน พอร่างกายมันบอกเราว่าเริ่มเสื่อม จิตใจที่มันเคยรวดเร็วมันก็จำเป็นต้องช้าลง เพื่อที่จะยังสัมพันธ์กันอยู่กับร่างกาย เมื่อก่อนเราเป็นคนเดินเร็ว ทำอะไรเร็ว เป็นคนเร็วทุกอย่าง ทำด้วยตัวเอง ฟึบฟับๆ พอช่วงที่พวกเข่าเสีย มันเหมือน อ๋อ! เราก็ต้องรู้จักฟังร่างกายที่เราใช้มานะ เหมือนเมื่อก่อนใจมันนำกาย ใจร้อนใจอะไร กายก็ตอบสนอง ตอบสนอง ตอบสนอง พอเราแก่ขึ้น กายเขาตอบสนองไม่ทันแล้ว เขาดึงใจให้ช้าลง เราเลยคิดว่าความแก่นี่มันดี คือมันทำให้สัมพันธ์กัน 

ก่อนหน้านี้เราเป็นใจนำกายมาโดยตลอด ตอนนี้มันเหมือนเราต้องให้กายนำแล้ว ต้องตามใจกายบ้าง อย่ากินขนมหวาน อย่านอนดึก ออกกำลังกายบ้าง โยคะบ้าง เพราะกายต้องการให้เราสปอยล์เขาคืนบ้าง แต่ที่น่าสนใจคือพอร่างกายเราเริ่มเสื่อม มันกลายเป็นว่าจิตใจเราได้พัฒนาแฮะ แปลกไหม พอกายถดถอยใจจะพัฒนา ซึ่งเราก็เพิ่งรู้เมื่อเข่าเสื่อมนี่แหละ (หัวเราะ) พอเข่าเสื่อมนี่รู้เลยว่าเราต้องเป็นคนยังไง ต้องดูแลตัวเองยังไง ทำไมธรรมะมันอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้นะ (หัวเราะ)

แล้วเวลามองดูลูกๆ ทุกวันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

เป็น…มันเป็นทั้งเจ้ากรรมนายเวรและกัลยาณมิตรในคนเดียวกัน (หัวเราะสนุก) เออ มันสนุกดีนะ คือเรารู้สึกว่าเขาก้าวข้ามเรื่องยากมากๆ มาได้โดยตัวเขาเอง เราให้เครดิตลูกๆ ในแง่ที่ว่าครอบครัวมันก็คงจะเว้าๆ แหว่งๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตลำบาก 

แล้วลูกเราก็เป็นเด็กตลกกันหมด ตลก กวนตีน มาครบ แต่ว่ามันมีความอุ่นใจน่ะ เวลามองกันก็รู้สึกเป็นทีมที่เราอุ่นใจ เรายังมีกันแบบนี้อยู่ ทุกวันนี้เราก็เฝ้ามองเขาเติบโตแล้ว แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เนปาลขับรถไปมหา’ลัย แล้วธิเบตก็ไปเข้าค่าย นอนบ้านเพื่อน อะไรแบบนี้ เราตื่นมาวันนั้นแล้วรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายน่ะ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าภารกิจของเราวันนั้นคืออะไรนะ (หัวเราะ)

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง
เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

ทุกวันนี้คุณอ่านข่าวเยอะแค่ไหน แล้วอ่านข่าวแบบไหนก่อน การเมือง กีฬา หรือบันเทิง

ไม่ค่อยอ่านข่าวนะ เรื่องการเมืองก็… ใช้คำว่าท้อใจ (หัวเราะ) เมื่อก่อนเรายังดุเดือดเลือดพล่าน เมื่อก่อนยังออกความเห็น แสดงความคิดเห็นนะ เดี๋ยวนี้มันเหมือนแบบ… บางอย่างมันเกินกว่าที่จะทำอะไรแล้ว เราคิดแบบนั้นนะ ส่วนเรื่องโซเชียลมีเดีย เราคิดว่าไม่ต้องเข้าไปดูก็ได้ มันเป็นโลกที่เราไม่ต้องเข้าไปก็ได้ แล้วมันก็ไม่ได้มีผลกับเราเลย ไปทำสวนดีกว่า ไปคุยกับหอยทากสบายใจกว่า เถียงก็ไม่เถียง หนีเราก็ไม่ได้ อยากบ่นไรมันก็ฟัง (หัวเราะ) มันเหมือนเราเลือกได้ที่จะสงบ ที่ไหนมันวุ่นวายเราก็ไม่เข้าไปดีกว่า

แล้วคุณคิดว่ามีอะไรที่จะเป็นความหวังของยุคนี้ได้

ความเป็นครอบครัวแหละที่เป็นความหวังของเรา หวังว่าพ่อแม่คนรุ่นใหม่ เมื่อมีลูก จะพร้อมมากกว่ารุ่นเรา เราเห็นรุ่นน้องเราหลายคนที่แต่งงานมีลูกกันไปน่ะ เหมือนเขาพร้อมที่จะเป็นพ่อเป็นแม่มากกว่าคนยุคเรา เดี๋ยวนี้บางคนแต่งงานไวมากเลย เขาไม่คิดว่าต้องรออะไร แล้วก็มีลูก ช่วยกันทำมาหากิน 

แล้วก็มีหลายครอบครัวที่เป็นอีโคแฟมิลี สนใจเรื่องการศึกษาที่เป็นทางเลือก รูปแบบของระบบการศึกษาแบบเก่าก็อาจจะทำให้พ่อแม่กลุ่มนี้ผลักดันลูกไปในทางที่ไม่ได้ไปเป็นทาสของการศึกษาแบบเก่า ซึ่งจะทำให้เกิดวิธีคิดอีกแบบ แล้วถ้ากลุ่มนี้ไปถึงระดับที่ดูแลประเทศได้ส่วนหนึ่ง เขาอาจจะเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ นี่แหละความหวังของประเทศ ซึ่งเราแค่รู้สึกว่าครอบครัวมันเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง

แล้วคุณเสียดายอะไรในวันเก่าๆ ที่ไม่มีอีกแล้วในยุคนี้บ้างไหม

เสียดายความอดทน การรอเป็นของคนรุ่นเรา คือเราอยู่ในยุคที่หกโมงเย็นถึงสองทุ่มต้องปิดไฟน่ะ (หัวเราะ) เล่าให้ลูกฟัง ลูกตื่นเต้นมากเลย สงสัยว่าทำอะไรกัน อินเทอร์เน็ตก็ไม่มี ไม่มีสักอย่าง ปิดมืดเลย คือทุกคนก็มานั่งคุยกัน จนถึงสองทุ่มไฟมาแล้วค่อยได้ดูข่าว เรารู้สึกเสียดายอะไรแบบนั้นน่ะ มันทำให้ความเชื่อมโยงมันน้อยลง 

เรารู้สึกว่าตอนนี้ครอบครัวมันห่างกันไปหน่อย สมาร์ทโฟนมันทำให้คนถดถอยทั้งเรื่องความสามารถและเรื่องความสัมพันธ์ ทั้งสุขภาพ เราป่วยเมื่อเรามีร้านสะดวกซื้อ เราป่วยเพราะอาหารที่มันเร็ว ป่วยเพราะไลฟ์สไตล์ นี่คือสิ่งที่เสียดาย เราว่าเรื่องนี้ทำให้มนุษยชาติเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง และน้อยคนที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างที่มันควรจะเป็น

ทุกวันนี้ความทุกข์ของคุณคืออะไร

คือการขับรถในกรุงเทพมหานครมั้ง (หัวเราะ) คือเราทำกรรมอะไรมา ไปทำอะไรกับใครมาถึงต้องเจอเรื่องนี้ บอกด้วย จะได้ไปแก้กรรม (หัวเราะ)

แล้วความสุขทุกวันนี้ของคุณคืออะไร

ไม่อยากพูดเลย (หัวเราะ) มันคือการปลูกต้นไม้ แล้วก็หยิบหอยทากออกจากต้นไม้ หยิบไปบ่นไป ตัดภาพไปตอนแม่เราอายุเท่านี้ก็เป็นแบบนี้แหละ (หัวเราะ) ความสุขวันนี้คือการปลูกต้นไม้ เปิดเพลง หรือการที่ไม่ต้องทำอะไรเลย หรือไม่ก็วันที่ท้องฟ้าเปิด อากาศดีๆ อย่างวันนี้ไง

เจี๊ยบ วรรธนา นักร้อง นักแต่งเพลง เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ในวันที่กลายเป็นนักเขียนบทละครมาแรง

Writer

Avatar

วิภว์ บูรพาเดชะ

บรรณาธิการ happening ที่เป็นสื่อด้านศิลปะ ซึ่งกำลังพยายามสื่อสารให้ผู้คนเห็นความสำคัญของศิลปะในหลายๆ มิติ FB: facebook.com/khunvip TWIT: @viphappening IG: @viphappening

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล