ตาม The Cloud ไปเยี่ยมชมบ้านไม้สีขาวอายุ 100 กว่าปี ในสวนเขียวขนาด 22 ไร่ ใจกลางถนนวิทยุ ที่ตั้งของทำเนียบเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ผ่านคำบอกเล่าของ ท่านทูตกลิน ที. เดวีส์ เจ้าบ้านผู้กำลังจะอำลาประเทศไทยกลับสู่สหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน
พร้อมรับฟังเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ที่มีมายาวนานกว่า 200 ปี จาก ผศ. ดร.พีรศรี โพวาทอง อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสถาปัตยกรรมโบราณ
ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังท่านทูตเล่าเรื่องราวเก่าแก่ให้ฟังกันเถอะ
- ปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ 200 ปี ไทย-สหรัฐอเมริกา โดยความสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 4 จากสนธิสัญญาเบาว์ริง เพื่อส่งเสริมการค้าและความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ใน พ.ศ. 2398 ต่อมาได้มีการตั้งสถานกงสุลสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยขึ้น เพื่อดูแลผลประโยชน์ของนักธุรกิจและพลเมืองอเมริกัน ในยุคแรก สหรัฐอเมริกามอบหมายให้มิชชันนารีที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วดำรงตำแหน่งกงสุล ที่คนไทยเรียก ‘หมอมัตตูน’
- ทำเนียบหลังนี้สร้างขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 หรือ 103 ปีก่อน เป็นอาคารยกพื้นสูง มีใต้ถุน หลังคาปั้นหยาใหญ่ มีห้องอยู่ตรงกลาง และมีระเบียงล้อมรอบ บ้านแบบนี้เรียกว่า ‘บังกะโล’ เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คนยุโรปสร้างในเขตร้อนชื้น เช่น แอฟริกา อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกแบบมาอย่างรอบคอบให้ไม่มีแดดส่อง แต่มีลมพัดผ่าน เพื่อให้ชาวยุโรปรอดปลอดภัยต่อโรคและความชื้นทางสภาพอากาศ
3. ผู้สร้างบ้านหลังนี้ที่ต่อมาถูกใช้เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย คือ นายโฮเรชีโอ เบลีย์ วิศวกรชาวอังกฤษผู้เกิดในช่วงกลางรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นนักเผชิญโชค เขาย้ายข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำงานที่บริษัท Bangkok Dock Company ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทอเมริกันแรกๆ ที่ดำเนินกิจการในสยาม จากนั้นย้ายมาทำงานที่โรงกษาปณ์ และสุดท้ายเปิดบริษัทชื่อ Siam Import นำเข้าสินค้าที่ผลิตในยุโรปและอเมริกาเข้าสู่พระนคร นอกจากนั้นยังรับราชกาลกรมมหาดเล็ก และได้รับพระราชทานราชทินนามจากรัชกาลที่ 6 ว่า ‘พระปฏิบัติราชประสงค์’
4.สมัยแรกก่อสร้าง บ้านหลังนี้ถือว่าอยู่บ้านนอก เนื่องจากไกลจากย่านการค้าเจริญกรุง และเป็นบ้านหลังแรกๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ ที่ถูกจัดสรรเป็นที่ดินสำหรับสร้างบ้านผู้มีอันจะกินและวังเจ้านายแต่ละพระองค์ เมื่อข้ามคลองขนาดเล็กที่ถูกขุดรอบรั้ว จะพบความอลังการของถนนที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวบ้าน เป็นลักษณะการออกแบบพื้นที่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งความเป็นวังและความเป็นบ้านเริ่มผนวกเข้าหากัน
ปัจจุบันทำเนียบหลังนี้ทำหน้าที่บ้านพักเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกามา 71 ปี ได้รางวัลอาคารควรค่าแก่การอนุรักษ์ จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2527
5. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้ยึดบ้านหลังนี้ แต่ไม่มีหลักฐานบันทึกว่าญี่ปุ่นใช้บ้านหลังนี้ทำอะไร นอกจากเป็นที่พักของทหาร ในปัจจุบันยังมีคราบน้ำมันที่เปื้อนกระเบื้องปูนอกชานและรอยไหม้จางๆ จากเตาถ่าน 1 – 2 รอยบนพื้นไม้สักอยู่
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นายเอ็ดวิน สแตนตัน เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยคนแรก คือผู้เข้ามารื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และท่านทูตสแตนตันคือผู้มาเลือกบ้านหลังนี้เป็นทำเนียบ ที่ดินผืนนี้ปัจจุบันเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการ และสถานทูตสหรัฐอเมริกาเช่าอีกทีหนึ่ง
6. ท่านทูตกลิน ที. เดวีส์ ชี้ให้ดูบานประตูด้านหลังห้องรับประทานอาหารบนชั้นสองของบ้าน มีการขูดสีออกให้เห็นสีเนื้อไม้ดั้งเดิมบางส่วน และยังร่องรอยสีฟ้าที่นางโจเซฟิน สแตนตัน ภริยาของนายเอ็ดวิน สแตนตัน เป็นผู้ผสมสีเพื่อทาลงบนบานไม้
ภาพจิตรกรรมส่วนใหญ่ที่เห็นในบ้านเป็นของสะสมของภริยาท่านทูตกลิน ที. เดวีส์ เช่น ภาพสีชอล์กของแมรี เคแซต (Mary Stevenson Cassatt) ศิลปินหญิงชาวอเมริกัน นอกจากนี้ยังมีของสะสมอื่นๆ ที่น่าสนใจของท่านทูต เช่น หนังสือพิมพ์เก่าของ Chicago Daily Tribune ที่ลงพาดหัวผิดว่า Dewey Defeats Truman ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
7. มีความเป็นไทยซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ของตัวบ้าน เช่น บันไดขึ้นชั้นสองที่สร้างในลักษณะเหมือนเจาะพื้นแล้วเอาบันไดพาดเอาดื้อๆ แบบบ้านคนไทยสมัยก่อนเปี๊ยบ บ้านหลังนี้จึงถือเป็นบ้านฝรั่งที่มีความเป็นไทยอยู่ นายโฮเรชีโอ เบลีย์ เจ้าของบ้านคนแรก เป็นคนมีอารมณ์ขัน เขาจึงใส่อารมณ์ขันเข้ามาในบ้าน สังเกตได้จากงานปั้นหน้าคนอยู่ตรงโค้งเหนือหน้าต่าง ทุกหน้ามีจมูกแบบฝรั่งแต่มีตาแบบไทย แล้วก็มีใบหน้าที่แตกต่างกันหมด
8. ความโดดเด่นในแง่สถาปัตยกรรมของบ้านหลังนี้อีกอย่างหนึ่งคือความโปร่ง หน้าต่างทุกบานสามารถเปิดได้จนจรดพื้นเพื่อรับลม แต่ต่อมามีการติดกระจกรอบบ้าน และกั้นห้องใหม่ทั้งหมดเพื่อติดเครื่องปรับอากาศใน พ.ศ. 2516 โครงสร้างพื้นฐานของบ้านหลังนี้เป็นแบบเรือนไม้เขตร้อนดั้งเดิม ใช้ระบบเสาโครงค้ำยัน หนุนหลังคาและพื้นทั้งหมดด้วยโครงและเสา พอเวลาผ่านมา 1 ศตวรรษพื้นจึงเริ่มไม่ค่อยตรงเท่าไหร่
9. Guest House หลังเล็กที่ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกันได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเช่นเดียวกับทำเนียบหลังใหญ่ ออกแบบโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง สร้างโดยกระทรวงการต่างประเทศ ในช่วงต้นรัชกาลที่ 9 ใช้เป็นที่รับรองเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาเมื่อเดินทางมาเยือนประเทศไทย
10. ที่ดินทั้งแปลงนี้มีคูน้ำล้อมรอบ ศาลาหลังนี้เดิมเป็นศาลาสำหรับว่ายน้ำ และจัดงานปาร์ตี้ของนายโฮเรชีโอ เบลีย์ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่สีเขียวในรั้วทำเนียบทูตสหรัฐอเมริกา ทำให้มีสัตว์อาศัยอยู่มากมายตามธรรมชาติ ทั้งนก เต่า ปลา และงูเหลือม ซึ่งเลื้อยข้ามไปมาระหว่างที่นี่และสถานทูตดัตช์เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน
ส่วนสัตว์เลี้ยงประจำสถานทูตคือแมวขาวดำอายุประมาณ 13 ปี ชื่ออิซาเบล หรือเบลเบล ซึ่งภริยาท่านทูตรับมาเลี้ยงไว้นั่นเอง