The Cloud x Qatar Airways

เพื่อนฝรั่งรายแรกของสยามคือโปรตุเกส ชนชาติที่อยู่ริมฝั่งตะวันตกสุดของยุโรป ความห่างไกลจากดินแดนอื่นๆ ทำให้โปรตุเกสเป็นชาตินักเดินเรือที่ล่องมหาสมุทรไปทั่วโลก

มิตรภาพระหว่างสยามและโปรตุเกสจึงเกิดขึ้นมานานกว่า 500 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โปรตุเกสเป็นชาติแรกที่ตั้งสถานเอกอัครราชทูตในบางกอกตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติก็เจริญงอกงามตลอดมา

เดือนกรกฎาคมนี้ The Cloud และ Qatar Airways จัดทริป Walk with The Cloud 19 : Portuguese Passage เชิญผู้สนใจไปแกะรอยเส้นทางโปรตุเกสในบางกอก 

เริ่มจากเยี่ยมสถานเอกอัครราชทูตแห่งแรกของกรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมวัดกาลหว่าร์ ชม ‘รูปพระตาย’ รูปไม้แกะสลักพระศพของพระเยซูเจ้า พร้อมฟังเรื่องราวการสืบประวัติรูปไม้เก่าแก่จากไอบีเรีย ที่ปกติจะนำออกมาให้สาธารณชนเห็นเพียงปีละครั้งเท่านั้น 

จากนั้นล่องเรือไปชมวัดซางตาครู้สและชุมชนกุฎีจีน ชุมชนชาวโปรตุเกสที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา เยี่ยมพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีนและรับประทานอาหารสไตล์สยามโปรตุเกส ก่อนจะชิมขนมฝรั่งแสนอร่อยแกล้มประวัติศาสตร์ที่ร้านขนมฝรั่งธนูสิงห์

โดยมีวิทยากรหลักๆ ได้แก่ เบญจรัศมี รุจน์รวีหิรัญ อาจารย์สอนภาษาและวัฒนธรรมโปรตุเกส และผู้หลงรักวัฒนธรรมของประเทศที่ใช้ภาษาโปรตุเกส อภิชาติ กิตติเมธาวีนันท์ นักประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาผู้โตมากับวัดกาลหว่าร์ เจ้าของคอลัมน์ ครุ่นคริสต์ ใน The Cloud และ รัฐนันท์ เจียมปัญญารัช มัคคุเทศก์ภาษาโปรตุเกส

เนื่องจาก Qatar Airways เพิ่งเปิดเส้นทางบินใหม่ไปลิสบอน เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศโปรตุเกส หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลกนี้ เคยเป็นศูนย์กลางของยุโรปในการค้าขายกับทั่วโลก ทั้งแอฟริกา ตะวันออกไกล รวมถึงราชอาณาจักรสยาม ผู้ร่วมทริปที่มางานนี้จึงได้สิทธิลุ้นตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปสัมผัสประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโปรตุเกสที่ลิสบอนด้วยตนเองด้วย

กลับจากการแกะรอยโปรตุเกสในกรุงเทพฯ มาหมาดๆ เราจึงขอเก็บเรื่องราวการสัมผัสร่องรอยวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวโปรตุเกส พร้อมทำความรู้จักเพื่อนฝรั่งรายแรกของสยามอย่างลึกซึ้งมาฝาก

จากโปรตุเกสถึงสยาม

หลังจาก วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) นักเดินเรือชาวโปรตุเกสค้นพบเส้นทางเดินเรือมาอินเดีย 13 ปีต่อมาใน พ.ศ. 2054 ชาวโปรตุเกสกลุ่มแรกก็เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยา อะฟงซู ดือ อัลบูแคร์คือ (Afonso de Albuquerque) ได้ส่ง ทูตดูอาร์เต เฟอร์นันเดส (Duarte Fernandes) มาที่ราชสำนักสยามเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ว่าการเข้ามายังประเทศราชของสยาม มิได้มีเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกรุงศรีอยุธยา ประวัติศาสตร์แห่งไมตรีจิตระหว่างโปรตุเกสและสยามจึงเริ่มต้นขึ้น 

ชาวโปรตุเกสหลายคนเริ่มตั้งรกรากในกรุงศรีอยุธยา บ้างเป็นพ่อค้า บ้างแบ่งปันความรู้เรื่องการทหาร โดยเฉพาะเรื่องปืนไฟซึ่งสำคัญในยุคสงคราม บ้างเผยแผ่ศาสนา โดยมิชชันนารีโปรตุเกสได้สร้างโบสถ์ขึ้น 3 หลัง และที่บ้านโปรตุเกสมีผู้คนอยู่รวมกันถึง 3,000 คน 

ถึงกรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงใน พ.ศ. 2310 แต่ชาวโปรตุเกสก็ยังรักษาความสัมพันธ์กับชาวสยามมาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยชาวโปรตุเกสดั้งเดิมได้อพยพมาสร้างชุมชนในบางกอก แม้เวลาผ่านมากว่า 500 ปี แต่ร่องรอยวิถีชีวิตและวัฒนธรรมจากยุโรป ยังคงหลงเหลืออยู่ในทุกวันนี้ที่กรุงเทพมหานคร 

สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกส

สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส

สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสคือสถานทูตแห่งแรกในบางกอกก่อตั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 สถานที่แห่งนี้ยังคงได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้เวลาจะผ่านมากกว่า 150 ปี

กำแพงด้านนอกของสถานทูตมีภาพสตรีทอาร์ตหน้าคน ฝีมือศิลปินสตรีทอาร์ตชาวโปรตุเกสรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง วีลส์ (Vhils) ที่ลงมือตระเวนถ่ายรูปคนในชุมชน และนำมาเจาะบนกำแพงจนเป็นภาพจำสวยๆ ของย่านเจริญกรุง

สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส
สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส

ทำเนียบทูตโปรตุเกสที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหลังกำแพงก็สวยเด่นไม่แพ้กัน อาคารทรงโคโลเนียลอย่างโปรตุเกสผสมผสานความเป็นไทยได้อย่างลงตัว เดิมทีวัสดุที่ตั้งใจนำมาก่อสร้างเป็นวัสดุที่ส่งตรงมาจากโปรตุเกส แต่เรือขนส่งล่มเสียก่อน ทำเนียบโปรตุเกสจึงก่อสร้างขึ้นด้วยวัสดุในท้องถิ่น กลมกลืนเข้ากับชุมชนโดยรอบเป็นอย่างดี

ภายในอาคารถูกออกแบบและจัดวางได้อย่างดีจนคาดไม่ถึงว่าในอดีตของอาคารที่สวยงามสะดุดตาแห่งนี้ถูกใช้งานมาหลากหลายรูปแบบ เป็นทั้งคุกและอาคารเก็บอาวุธ ทำให้ในปัจจุบันอาคารแห่งนี้ยังคงมีปืนใหญ่เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของประวัติศาสตร์ประดับไว้ให้ชม

หากสังเกตให้ดี บนปืนใหญ่แต่ละกระบอกจะมีตราประทับของกษัตริย์และแผ่นดินโปรตุเกสอยู่ ภายในอาคารก็ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ทำให้ภายในอากาศถ่ายเท ลมพัดเย็นสบายตลอดวัน

สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส
สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส

สำนักงานทูต และบรรยากาศสวนร่มรื่น

อาคารปูน 2 ชั้นสีเหลืองนวลนี้ เดิมเป็นโกดังเก่าอายุกว่า 100 ปี สำหรับเก็บสินค้าที่ขนส่งมาทางเรือ เมื่อการขนส่งทางบกและยุคสมัยเปลี่ยนไป โกดังเก่าที่เคยอัดแน่นไปด้วยสินค้าหลากหลายประเภทจึงถูกทิ้งให้ว่างเปล่า

ก่อนที่สถานทูตจะจับมือกับสถาปนิกและวิศวกรชาวโปรตุเกสร่วมกันเปลี่ยนโกดังร้างให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง จนกลายเป็นสำนักงานทูตสุดทันสมัยอย่างทุกวันนี้

สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส
สถานเอกอัครราชทูต โปรตุเกส

ไม่เพียงแต่สถาปัตยกรรมที่สวยงาม บรรยากาศโดยรอบสถานทูตก็ร่มรื่นน่ามองไม่เป็นรอง เพราะแวดล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสงบร่มเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต้นไม้เขียวขจีและสัตว์นานาชนิด โดยเฉพาะนกยูงที่เดินเฉิดฉายอวดความสวยงามได้อย่างอิสระ นับเป็นสถานที่แสนพิเศษในย่านเจริญกรุง

ที่ตั้ง : ซอยถนนเจริญกรุง 30 แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพฯ

เปิดวันจันทร์-ศุกร์ สำหรับผู้ติดต่อสถานเอกอัครราชทูตเท่านั้น

เวลา 08.30 – 12.30 น. และ 13.30 – 16.30 น.

วัดกาลหว่าร์

วัดกาลหว่าร์

โบสถ์งดงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในชุมชนตลาดน้อย เป็นอีกร่องรอยที่แสดงถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวโปรตุเกสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

ชาวโปรตุเกสผูกพันกับคริสต์ศาสนาอย่างลึกซึ้ง ในอดีตมิชชันนารีโปรตุเกสได้รับอภิสิทธิ์ ‘ปาโดรอาโด’ (Padroado) ให้เผยแผ่คำสอนต่างๆ ในต่างแดน ต่อมาเกิดปัญหาระหว่างโปรตุเกสกับมิชชันนารีประเทศอื่น สันตะสำนักแห่งกรุงโรมทราบถึงความขัดแย้งนี้ จึงจัดตั้งสมณกระทรวงการเผยแพร่ความเชื่อ ‘โปรปากันดา ฟีเด’ (Propaganda Fide) เพื่อทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมโดยตรง และแต่งตั้งชาวฝรั่งเศสเป็นประมุขมิสซังสยาม ทำให้ชาวโปรตุเกสรู้สึกไม่พอใจที่ชาวฝรั่งเศสมาเป็นผู้ปกครอง 

เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่อพยพมายังบางบอก และเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี ชาวโปรตุเกสจึงได้มาอาศัยรวมกัน ณ ค่ายซางตาครู้ส แต่ด้วยความขัดแย้งที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา เมื่อทราบว่าวัดซางตาครู้สจะถูกปครองโดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ชาวโปรตุเกสกลุ่มหนึ่งจึงแยกตัวออกมาตั้งชุมชนใหม่และนำของมีค่าอย่างยิ่งมาด้วย นั่นคือรูปแม่พระลูกประคำและรูปพระศพของพระเยซูเจ้า 

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานที่ดินให้ชาวโปรตุเกสสร้างวัด และสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2330 ด้วยโครงสร้างไม้ เพื่อให้ชาวคริสตังได้ประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมกับนำรูปแม่พระลูกประคำและรูปพระศพของพระเยซูเจ้าจากกรุงศรีอยุธยามาประดิษฐานไว้ที่นี่ โดยตั้งชื่อว่า ‘วัดกาลหว่าร์’ ตามชื่อรูปพระตาย

วัดกาลหว่าร์
วัดกาลหว่าร์

นอกจากนี้ยังมีห้าง Falck & Beidek Department Store ที่ก่อตั้งโดยชาวยุโรป เป็นอาคารที่เก่าแก่กว่า 1 ศตวรรษและยังคงสภาพไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาคารปูนสีขาวที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและตะวันตกอย่างอลังการนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ห้างสิงโต’ ที่ผู้คนเรียกกันอย่างนี้เพราะว่าตัวอาคารถูกประดับด้วยปูนปั้นรูปหัวสิงโตขนาดใหญ่ ก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันยังคงเป็นห้างโบราณที่เปิดให้เข้าชมอยู่ในชื่อว่า O.P Place ภายในมีทั้งลิฟท์เก่าแก่ที่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ โคมระย้าขนาดยักษ์ และมีงานฝีมือแขนงต่างๆ เช่น อัญมณี ผ้าไหม และโบราณวัตถุขายอีกด้วย

อาคารโบสถ์ของวัดกาลหว่าร์ได้รับการสร้างใหม่ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเป็นโบสถ์ไม้ ตลอดระยะเวลา 50 ปีแรกไม่มีมิชชันนารีมาปกครองดูแลที่นี่ เนื่องจากชาวโปรตุเกสไม่ยอมรับชาวฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นก็เริ่มปรับตัวและยอมรับในที่สุด ต่อมาโบสถ์ไม้แห่งนี้ทรุดโทรมลง ใน พ.ศ. 2380 บาทหลวงอัลบรังค์ (Albrand) มิชชันนารีคณะมิสซังต่างประเทศประจำกรุงปารีสองค์แรกที่ได้เข้ามาปกครองวัดกาลหว่าร์จึงได้สร้างโบสถ์หลังใหม่ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น และทำพิธีเสกขึ้นในวันฉลองแม่พระ ที่นี่จึงได้รับชื่ออีกหนึ่งชื่อว่า ‘วัดแม่พระลูกประคำ’ 

วัดกาลหว่าร์

ต่อมาใน พ.ศ. 2433 คุณพ่อแดซาลส์ (Dessalles) เจ้าอาวาสวัดกาลหว่าร์คนสำคัญได้รื้อโบสถ์หลังที่ 2 และระดมทุนสร้างโบสถ์หลังปัจจุบันขึ้นจนเสร็จสิ้นใน พ.ศ. 2440 คุณพ่อได้บันทึกไว้ในจดหมายระหว่างก่อสร้างโบสถ์หลังนี้ว่า 

“โบสถ์หลังใหม่จะกลายเป็นอนุสรณ์สถานที่น่าจดจำ และเป็นความภาคภูมิใจของชาวสยาม” 

โบสถ์สไตล์โกธิครีไวเวิล (Gothic Revival) ที่ใหญ่โตโอ่อ่าและสวยงาม มีลักษณะเป็นยอดสูงขึ้นสู่ฟ้า โครงสร้างภายในโอ่โถง เพดานโค้งสัน ยอดหลังคาแหลม พร้อมระฆังกังวานจากประเทศฝรั่งเศสที่เรียกผู้คนให้มาร่วมพิธี

แม้โบสถ์หลังนี้จะมีอายุกว่าร้อยปี แต่คริสตศาสนิกชนวัดกาลหว่าร์ก็ดูแลรักษาวัดไว้อย่างดี ทำให้มีหลายส่วนที่นับได้ว่าเป็นของเก่าแก่หลงเหลือให้คนรุ่นใหม่ได้เชยชม ไม่ว่าจะกลไกการตีระฆังแบบดั้งเดิม พื้นกระเบื้องหรือว่ากระเบื้องหลังคาที่มีส่วนผสมของทองแดงทำให้มีความสวยงามและทนทานผ่านสภาพอากาศและกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน

วัดกาลหว่าร์

ประติมากรรมและจิตรกรรมภายในโบสถ์ ทุกองค์ประกอบล้วนเต็มไปด้วยความหมาย ไม่ว่าจะฝ้าเพดานที่มี 8 ช่อง ซึ่งมีความหมายในทางดาราศาสตร์โบราณถึงดาวศุกร์ที่เป็นดาวประจำรุ่งของแม่พระลูกประคำ ต้นและเถาองุ่นซึ่งหมายถึงพระเยซูกับพระศาสนจักร หน้าต่างประดับกระจกสีที่แสดงเรื่องราวต่างๆ ของข้อรำพึงแห่งสายประคำ

วัดกาลหว่าร์

รูปพระตายของพระเยซูเจ้าและรูปแม่พระลูกประคำเป็นสิ่งที่อยู่กับคริสตชนวัดกาลหว่าร์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจวบจนปัจจุบัน วัดกาลหว่าร์ยังคงนำรูปพระตายที่อายุกว่า 300 ปีมาประกอบพิธีใน ‘คืนวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์’ ของทุกปี โดยเชิญรูปพระตายที่ประดิษฐานอยู่ในบุษบกประดับด้วยดอกไม้ และแห่ออกไปรอบวัดกาลหว่าร์ ส่วนรูปแม่พระลูกประคำก็ยังคงประดิษฐานไว้ภายในโบสถ์ ให้คนสวดภาวนาจวบจนทุกวันนี้

ที่ตั้ง : ซอยวาณิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

เปิดทุกวัน

เวลา 08.30 – 16.30 น.

0 2266 4849

วัดซางตาครู้ส

ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบรรยากาศสงบร่มเย็น เป็นที่ตั้งของวัดเก่าอันมีสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เป็นที่พักพิงใจของผู้คนมากหน้าหลายตา แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปแต่ผู้คนก็ยังคงแวะเวียนมาที่วัดนี้เสมอ

วัดกาลหว่าร์

หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงใน พ.ศ. 2310 ชาวคริสตังหลายชนชาติที่ยอมรับการปกครองของชาวฝรั่งเศสได้อพยพมายังบางกอกพร้อมกับ คุณพ่อกอร์ (Corre) มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสที่ขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อขอพระราชทานเงินและเรือพายสำหรับดำรงชีพ 

ต่อมาวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้พระราชทานที่ดินให้คุณพ่อกอร์ เนื่องจากวันนั้นตรงกับวันฉลองเทิดทูนไม้กางเขนและเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงตั้งชื่อวัดและที่ดินผืนนี้ว่า ‘ซางตาครู้ส’ หมายถึงไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ในภาษาโปรตุเกส วัดแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของคริสตชนหลากหลายเชื้อชาติ 

ในขณะนั้นวัดซางตาครู้สเป็นเพียงวัดเล็กๆ ไม่มีแม้แต่ข้างฝา มีเพียงแค่เสาและหลังคา ก่อนที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะพระราชทานเงินช่วยเหลือ เวลาผ่านมากว่า 65 ปีในสมัย พระสังฆราช ฌอง ปอล กูร์เวอซี (Jean Paul Courvezy) ได้มอบหมายให้ คุณพ่อฌอง บัปติส ปัลเลอกัวส์ (Jean Baptiste Pallegoix) สร้างวัดหลังใหม่ขึ้นแทนที่วัดหลังเดิม โบสถ์หลังนี้จึงสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2379 ด้วยสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 รูปทรงประยุกต์ไทยจีนและผสมผสานศิลปะฝรั่ง วัดแห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘วัดกุฎีจีน’

วัดกาลหว่าร์

ใน พ.ศ. 2456 คุณพ่อกูเลียลโม กิน ดา ครู้ส (Gulielmo Kinh Da Cruz) เห็นว่าวัดหลังนี้ทรุดโทรมมากแล้ว จึงดำริสร้างวัดหลังใหม่ขึ้น ทำให้ทั้งภายในและภายนอกของวัดซางตาครู้สเป็นสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ผสมนีโอคลาสสิก ใช้ประกอบศาสนกิจเรื่อยมาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ 

วัดกาลหว่าร์

โบสถ์ซางตาครู้สมีโถงสูงโปร่ง โครงสร้างแบบอาคารโบราณ ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือวิธีการใช้ผนังทั้งสองด้านเป็นจุดรับน้ำหนังจากหลังคาและใช้เสาลอยเป็นส่วนรับน้ำหนังของฝ้าเพดาน ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีแสดงถึงเหตุการณ์ต่างๆของศาสนาคริสต์รวมถึงภาพพระเยซูเจ้าในอิริยาบทต่างๆ มียอดโดมรูปแบบอิตาลีคล้ายกับโดมแห่งมหาวิหารฟลอเรนซ์ ดูหรูหราและสวยงามตระการตา

ที่ตั้ง : 1 ซอยกุฎีจีน ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

เปิดเวลาประกอบพิธีมิสซา

0 2472 0153

พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน

พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน

แม้พิพิธภัณฑ์จะซ่อนตัวอยู่ภายในซอยชุมชนกุฎีจีน แต่ผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้ามาชมบ้านหลังนี้อย่างสม่ำเสมอ เพราะชุมชนกุฎีจีนเป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวสยามเชื้อสายโปรตุเกส ที่เก็บวัฒนธรรมและวิธีชีวิตแบบผสมผสานไว้เต็มเปี่ยม ภายในชุมชนยังมีวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการประดับตกแต่งบุษบกด้วยดอกไม้ การร้อยตาข่ายดอกไม้สำหรับห่มรูปพระตาย การแสดงละครในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่สูตรอาหารโปรตุเกสต่างๆ ที่หากินได้ยากในปัจจุบัน ชุมชนกุฎีจีนยังคงเก็บงำสูตรลับความอร่อยไว้อย่างดี

พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน

บ้านไม้ 3 ชั้นถูกปรับเปลี่ยนการใช้งานจากบ้านที่ถูกทิ้งให้ว่างเปล่า กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมข้อมูลของชาวโปรตุเกสไว้มากมาย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นการเข้ามาของชาวโปรตุเกส วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมอาหาร คำศัพท์โปรตุเกสที่ประเทศไทยรับมาใช้ การแต่งกาย รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น แถมยังคงขายขนมปังสัพแหยกสูตรดั้งเดิมที่ชวนให้คนรุ่นใหม่ได้มาลิ้มลองความอร่อยด้วย 

พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน

บนชั้น 3 ของพิพิธภัณฑ์ตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อน ทั้งสำหรับการดำรงชีวิต เครื่องครัว อุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมรวมถึงกุศโลบายอันเฉียบแหลมของชุมชนด้วย นั่นคือ ‘ผีหัวพริก’ หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ผีหนูเลี้ยบ’ ผีเด็กประจำหมู่บ้านกุฎีจีนที่มักถูกใช้เป็นกุศโลบายในการกำชับให้เด็กๆ ที่ออกไปวิ่งเล่นในชุมชนรีบกลับบ้านให้ทันก่อน 6 โมงเย็น เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกผีหนูเลี้ยบจับตัวไป 

ชั้นบนสุดถูกออกแบบให้ขึ้นไปชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและชุมชนโดยรอบได้อย่างสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย

ที่ตั้ง : ซอยวัดกัลยาณ์ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

เปิดวันอังคาร-อาทิตย์

เวลา 09.30 – 18.00 น.

08 1772 5184

ขนมฝรั่งธนูสิงห์

ขนมฝรั่งธนูสิงห์ โปรตุเกส

ในสมัยก่อนผู้คนนิยมใช้ไข่ขาวในการรีดผ้า ทำให้มีไข่แดงเหลือใช้เป็นจำนวนมาก จึงนำมาประยุกต์ทำเป็นขนมมากหน้าหลายตาสีสันเหลือนวลน่ากินตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ขนมจากโปรตุเกสที่ตกทอดมายังแดนสยามก็ไม่ได้มีเพียงแค่ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองเท่านั้น แต่ยังมี ‘ขนมฝรั่ง’ แสนอร่อย เนื้อเนียนนุ่ม กลิ่นหวานหอมนี้อีกด้วย

หากเดินเข้ามาภายในชุมชนกุฎีจีนจะพบ ‘ร้านธนูสิงห์’ ร้านขนมฝรั่งสูตรเก่าแก่ของชุมชนโปรตุเกสที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานกว่า 200 ปี ในอดีตขนมฝรั่งเป็นขนมที่นิยมกินพร้อมน้ำชาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีในโบสถ์ จึงนับเป็นขนมที่ช่วยสร้างและกระชับความสัมพันธ์ของคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น 

ร้านแห่งนี้ยังคงยึดมั่นใช้สูตรโบราณ สูตรต้นตำหรับแท้ๆ ความพิเศษของขนมฝรั่งเนื้อเนียนนุ่มนี้คือการใช้วัตถุดิบที่บรรจงคัดสรรมาเป็นอย่างดีแค่ 3 อย่างเท่านั้น นั่นคือ แป้ง น้ำตาล และไข่ นำมาตีให้ขึ้นฟู ทำสดใหม่วันต่อวัน ทำให้ได้ขนมฝรั่งกรอบนอกนุ่มในที่ติดอยู่ในใจของผู้คนชุมชนกุฎีจีนและนักท่องเที่ยวหลายชนชาติมานับร้อยปี

ความพิเศษของร้านขนมร้านนี้ไม่ได้มีเพียงแค่วัตถุดิบเท่านั้น แต่พวกเขาบรรจงและตั้งใจในทุกอณู ทั้งทำพิมพ์ใส่ขนมขนาดพิเศษที่ขึ้นรูปและจับจีบด้วยมือเองทุกชิ้น เตาที่ถูกออกแบบมาอย่างพิเศษให้เหมาะกับเนื้อขนมฝรั่งสูตรพิเศษนี้เท่านั้น รวมทั้งไม้พายไม้สักที่ตกทอดมารุ่นสู่รุ่น

ปัจจุบันร้านธนูสิงห์จำหน่ายขนมฝรั่ง 2 รูปแบบ ทั้งแบบดั้งเดิมที่เป็นขนมเค้กเนื้อนุ่ม และแบบโรยหน้าด้วยลูกเกดหรือฟักเชื่อม ซึ่งเป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาของชาวจีน แสดงถึงความผสมผสานทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนกุฎีจีนไว้ด้วย

ที่ตั้ง : ซอยกุฎีจีน 7 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

ตารางเวลามิสซา วัดซางตาครู้ส

วันจันทร์-เสาร์ เวลา 19.00 น.

วันอาทิตย์ เวลา 06.00 น., 08.30 น. และ 19.00 น.

ติดต่อสำนักงานวัด โทร 09 0415 3728 เจ้าหน้าที่วัด

โปรตุเกส

Writer

Avatar

นิธิตา เอกปฐมศักดิ์

นักคิดนักเขียนมือสมัครเล่น ผู้สนใจงานคราฟต์ ต้นไม้และการออกแบบเป็นพิเศษ แต่สนใจหมูสามชั้นย่างเป็นพิเศษใส่ไข่

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล