ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริให้ตัดถนนกว้างๆ อย่างตะวันตกขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2404 ถนนเจริญกรุงกลายเป็นย่านการค้าที่ทำให้บางกอกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ผู้คนต่างชาติต่างศาสนามากมายหลั่งไหลมาใช้ชีวิตที่นี่
ตึกแถวแบบสิงคโปร์ผุดขึ้นริมถนน โคมไฟฟ้าปักเรียงตามรายทาง ตลอดเส้นทางนี้ยังมีมัสยิดและกุโบร์ (สุสานมุสลิม) อยู่ใกล้ชิดกับวัดและโบสถ์ฝรั่งมาโดยตลอด สถาปัตยกรรมอิสลามเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อชาวมุสลิมต่างอพยพมาอาศัยหรือทำธุรกิจที่ย่านบางรัก ไม่ว่าจะเป็นชาวอินเดียที่เข้ามาขายผ้าหรืออัญมณี ชาวชวาเข้ามาต่อเรือหรือจัดสวน พวกเขาอาศัยอยู่ในย่านนี้มามากกว่า 100 ปี แต่หลายคนอาจไม่เคยได้สัมผัสประวัติศาสตร์บทนี้ของกรุงเทพฯ
The Cloud จับมือกับเครื่องดื่ม 100PLUS ในช่วงเดือนเราะมะฎอน เดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาสำคัญประจำปีของศาสนาอิสลาม เพื่อชักชวนทุกท่านไปเดินชมศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบอิสลามผ่านมัสยิดอายุ 100 กว่าปี กุโบร์ และอาคารเก่าย่านเจริญกรุง โดยวิทยากรจากสถาบันศิลปะอิสลามแห่งประเทศไทย อาจารย์อิ๊น-วรพจน์ ไวยเวทา เลขานุการสถาบันศิลปะอิสลาม และ อาจารย์ซี-สุนิติ จุฑามาศ นักวิจัยด้านโบราณคดีอิสลาม จะพาเราเข้าไปทำความรู้จักปรัชญา ขนบวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมในย่านนี้
ขอเชิญสัมผัสความงดงามของโลกอิสลาม ที่สร้างเจริญกรุงให้มีชีวิตชีวามาตลอด 100 กว่าปีที่ผ่านมา
คุณคิดว่าศิลปะอิสลามคืออะไร?
ศาสนาอิสลามแตกต่างจากศาสนาเทวนิยมอื่นๆ ส่วนหนึ่งเพราะอิสลามห้ามมีรูปเคารพหรือสัญลักษณ์แทนตัวพระผู้เป็นเจ้า เอกลักษณ์จึงอยู่ในรูปทรงและลวดลาย ชาวมุสลิมได้ชื่อว่าเก่งด้านพีชคณิตและการคำนวณ ทำให้มี 3 องค์ประกอบศิลป์หลักๆ นั่นคือ Geometry การใช้เรขาคณิตในการออกแบบและสร้างสรรค์ Calligraphy การเขียนตัวอักษรให้กลายเป็นลวดลาย และ Arabesque หรือแพตเทิร์นลายเถาไม้อย่างอาหรับนั่นเอง
องค์ประกอบเหล่านี้นิยมใช้กันในชุมชนอิสลามมาก งดงามสูงสุดตอนศตวรรษที่ 8 จนคนเรียกกันว่าสิ่งเหล่านี้คือศิลปะอิสลาม แต่หากมองจากในนิยามแบบโมเดิร์นแล้ว จะพบว่าความเป็นศิลปะอิสลามไม่ตายตัว ขนาดที่ว่าศิลปะใดๆ ซึ่งผลิตด้วยหลักคิดหรือปรัชญาแบบอิสลาม ก็ล้วนแล้วแต่นับว่าเป็นศิลปะอิสลามด้วยกันทั้งนั้น
จะเห็นได้ว่านิยามของศิลปะอิสลามขยายออกไปได้กว้างไกลจนเกินอธิบายในหนึ่งหรือสองประโยคสั้นๆ แต่เพราะว่ากำเนิดมาจากรากฐานแนวคิดเดียวกัน จึงทำให้ยังมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
‘อนันตภาพ’ (Infinity) และ ‘เอกภาพ’ (Unity) คือสองแนวคิดซึ่งคู่ขนานกันอยู่ในใจกลางของความเป็นอิสลาม และนี่คือสิ่งที่เราอยากนำเสนอผ่านการตามรอยโลกศิลปะอิสลามในย่านเจริญกรุงครั้งนี้
เมื่อชาวมุสลิมโยกย้ายมาอยู่บนถนนเจริญกรุงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ก็พาวัฒนธรรมของตนเข้าไปร่วมผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่น จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา นี่เองคืออนันตภาพของศิลปะอิสลาม ในขณะเดียวกัน แต่ละสถานที่ก็มีบางอย่างคล้ายคลึงเชื่อมโยงกัน ทำให้ยังคงสภาวะเอกภาพได้
มัสยิดเหล่านี้เปิดให้ทั้งคนมุสลิมและคนศาสนาอื่นเข้าไปเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่ละหมาดครั้งแรกของวัน คือช่วงตี 4 จนกระทั่งละหมาดครั้งสุดท้ายของวัน คือช่วง 2 ทุ่ม ถ้าอยากเห็นว่าความเป็นหนึ่งในความหลากหลายที่ว่าเป็นเช่นไรในทางปฏิบัติ ต้องลองไปดูของจริงกัน
สมาคมอันยุมันอิสลาม
ศูนย์รวมมุสลิมแห่งเจริญกรุง
คำว่า ‘อันยุมัน’ มาจากภาษาอูรดู มีความหมายว่า สภา ที่แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2461 เมื่อกลุ่มพ่อค้านายห้างชาวมุสลิมอินเดียในพื้นที่มีความเห็นร่วมกันว่าควรมีศูนย์รวมชุมชน จึงลงขันกันสร้างสมาคมอันยุมันอิสลามแห่งกรุงเทพฯ ขึ้น ภายหลังนายห้างอะหมัด อิบราฮีม นานา (Ahmed Ebrahim Nana) หรือ เอ อี นานา ทายาทรุ่น 3 ของตระกูลนานา ซื้อที่ดินผืนนี้ไว้ทั้งหมดเพื่ออุทิศให้ศาสนาอิสลามและสาธารณชน
หลังจากนั้น สภาก็ขยับขยายมาเปิดโรงเรียนอันยุมันอิสลาม ตัวอาคารสร้างด้วยไม้จากตระกูลมุขตารี กลุ่มมุสลิมค้าไม้เก่าแก่จากชุมชนบางอ้อ แม้จะมีจุดประสงค์หลักคือเป็นที่สอนศาสนาให้ลูกหลานของนายห้างชาวมุสลิม แต่ก็มีโครงสร้างตามมาตรฐานโรงเรียนการศึกษาขั้นต้นทั่วไป เยาวชนต่างศาสนิกจึงมาเรียนร่วมกันได้ ในเวลาปกติโรงเรียนจะสอนวิชาสามัญ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แม้แต่พระพุทธศาสนา และในตอนเย็นเด็กๆ มุสลิมก็จะอยู่ต่อเพื่อเรียนศาสนา รวมถึงละหมาดใหญ่รวมกันทุกวันศุกร์ที่มัสยิดฮารูณ
โรงเรียนอันยุมันมีความสัมพันธ์อันดีกับโรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อเปิดโรงเรียนมีการเชิญอาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ เจษฎาจารย์แห่งโรงเรียนอัสสัมชัญมาให้โอวาท และมีหลักฐานจากคำบอกเล่าว่าทั้งสองโรงเรียนเคยแลกข้อสอบกันตรวจด้วย
บุคคลสำคัญของโรงเรียนแห่งนี้คือ อาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ หรือ ‘ครูต่วน’ ผู้โด่งดังจากการแปลพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย ฉบับพระราชทาน ท่านเรียนศาสนาจากซาอุดิอาระเบีย ได้รับเชิญมาเป็นอาจารย์ใหญ่ผู้ดูแลการเรียนการสอนของโรงเรียนอันยุมัน และยังรับหน้าที่สอนศาสนาและภาษาอาหรับ ต่อมาอาจารย์ต่วนได้รับตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลามคนที่ 15 ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2490 บ้านพักสีเขียวของท่านที่อยู่ติดกับโรงเรียนจึงกลายเป็นสำนักจุฬาราชมนตรีไปโดยปริยาย
ชั้นล่างของบ้านไม้อายุร่วม 100 ปีนี้เคยเป็นที่ประชุมปรึกษาหารือทางศาสนา ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักของอาจารย์ต่วนและห้องพักครู บ้านหลังนี้ยังเป็นที่อยู่ของท่านผู้หญิงสมร ภูมิณรงค์ บุตรสาวของอาจารย์ต่วน ผู้รับตำแหน่งผู้จัดการโรงเรียน และดูแลโรงเรียนนี้ต่อแม้บิดาเสียชีวิตลง
น่าเสียดายที่อาคารเรียนที่สร้างจากไม้ผุพังไปตามการใช้งาน จึงต้องรื้อถอนไปในปี พ.ศ. 2507 ชาวมุสลิมและศิษย์เก่าโรงเรียนได้รวบรวมเงินมาสร้างอาคารคอนกรีตทดแทนในปี พ.ศ. 2508 ภายหลังโรงเรียนรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวจึงต้องเลิกกิจการ อาคารหอประชุมกลายเป็นสำนักงานของสำนักอภิธรรม มูลนิธิต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรี และชมรมวิทยุภาคมุสลิม ส่วนบ้านไม้หลังเล็ก ท่านผู้หญิงสมรคืนให้ตระกูลนานาแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อนเสียชีวิต บ้านเขียวหลังนี้จึงปิดมาโดยตลอด
บทบาทใหม่ของบ้านเขียวอันยุมันเริ่มขึ้น เมื่อสถาบันศิลปะอิสลามแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับศิลปะอิสลาม โดยเฉพาะศิลปะอิสลามในประเทศไทย ตระกูลนานาเอื้อเฟื้อสถานที่ในสมาคมฯ ให้เป็นสำนักงาน และตกลงให้ปรับปรุงบ้านเขียวเป็นแหล่งความรู้ของอิสลามอีกครั้ง โดยสถาบันศิลปะอิสลามแห่งประเทศไทยตั้งใจจะปรับตัวบ้านสองชั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าประวัติศาสตร์ของสมาคมอันยุมันอิสลาม โรงเรียน และตระกูลนานา ผสมกับเป็นห้องสมุดและแกลเลอรี่เล็กๆ ใครสนใจเรื่องศาสนาอิสลาม ศิลปะอิสลาม สถาปัตยกรรมอิสลาม วัฒนธรรมอิสลาม ก็มาที่นี่ได้ และจะจัดกิจกรรมเป็นประจำให้นักวิชาการและคนทั่วไปมาเข้าร่วมด้วย
ที่ตั้ง: 29 ซอยเจริญกรุง 36 แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: สมาคมอันยุมันเปิด 10.00 – 18.00 น. ส่วนบ้านเขียวอันยุมันกำลังจะปิดปรับปรุง
มัสยิดฮารูณ
มัสยิดแหล่งรวมมุสลิมหลากหลายสัญชาติ
แต่ก่อนมัสยิดแห่งนี้เรียกว่า ‘มัสยิดวัดม่วงแค’ เป็นมัสยิดไม้ทั้งหลัง และอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้ตั้งโรงภาษีริมน้ำเพื่อความสะดวกต่อการค้าขาย จึงทรงแลกที่ดินกับชุมชนด้านใน และพระราชทานเงินเพื่อสร้างมัสยิดใหม่ใน พ.ศ. 2441 เมื่อมีกฎหมายให้จดทะเบียนมัสยิดเป็นนิติบุคคล ที่นี่จึงเปลี่ยนชื่อเป็นมัสยิดฮารูณ ตามชื่อของโต๊ะฮารูณ อิหม่ามชาวชวาเชื้อสายเยเมน ผู้นำในการสร้างมัสยิดแห่งนี้
มัสยิดต้องประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ส่วนที่หนึ่งคือ ที่อาบน้ำละหมาด เป็นบริเวณให้ชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนเข้ามัสยิดไปละหมาด ส่วนที่สองคือ โถงละหมาด ซึ่งไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นห้องหน้าตาอย่างไร ขอเพียงสงบ สะอาด และกว้างพอจะบรรจุคนได้มาก ส่วนที่สามคือ มิห์รอบ เป็นซุ้มสำหรับบอกทิศที่ชี้ไปยังนครเมกกะ ให้ชาวมุสลิมหันหน้าไปทิศนั้นเวลาละหมาด (ของเมืองไทยจะหันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือนิดๆ) กับส่วนที่สี่คือ มิมบัร เป็นธรรมาสน์สำหรับให้อิหม่ามขึ้นไปยืนเทศน์ ปราศรัย หรือแจ้งข่าวสารในวันศุกร์
นอกจากนั้น มัสยิดอาจมีส่วนประกอบอื่นๆ อีก เช่น กุโบร์ หรือสุสานแบบอิสลาม พิธีศพของอิสลามเป็นไปอย่างเรียบง่าย และต้องจัดการให้เสร็จสิ้นใน 24 ชั่วโมงหลังพบศพ เริ่มจากนำศพมาอาบน้ำทำความสะอาด ห่อด้วยผ้าขาว 3 ชั้น พาไปละหมาด แล้วฝังในกุโบร์ โดยให้ตะแคงหันหน้าไปทางนครเมกกะ เป็นอันจบพิธี อาจมีโลงหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นดินที่ฝัง เนื่องจากไม่นิยมสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรเหนือหลุมศพ หน้าหลุมอาจมีแค่ป้ายชื่อเล็กๆ หรือไม่มีป้ายใดๆ
กุโบร์ถือเป็นพื้นที่สาธารณะของชาวมุสลิม ห้ามซื้อขาย ห้ามจอง หากกุโบร์เต็มก็อาจถมดินทับที่เดิม เช่น กุโบร์ของมัสยิดแห่งนี้ที่สูงกว่าพื้นถนน เพราะถมทับมาหลายรอบแล้ว หลุมศพที่นี่มีทั้งคนมุสลิมไทยและต่างชาติ หลุมศพสำคัญเป็นของอาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรีคนที่ 15, ท่านผู้หญิงสมร ภูมิณรงค์ บุตรสาวของอาจารย์ต่วน ผู้จัดการและครูใหญ่โรงเรียนอันยุมันอิสลาม และอีก 4 หลุมศพของทหารชาวมุสลิมที่ไปร่วมรบในสงครามเกาหลี
การล้อมรอบไปด้วยชุมชนคนไทยและคนต่างชาติ ทำให้ที่นี่เป็นมัสยิดแห่งเดียวในไทยที่เทศน์วันศุกร์ 3 ภาษา รอบแรกเป็นภาษาไทยกับอาหรับเหมือนที่อื่นๆ ส่วนรอบที่สองแทนที่จะเป็นการสวดดุอาอ์ตามปกติ อิหม่ามจะเทศน์เป็นภาษาอังกฤษซ้ำอีกรอบแทน
ความพิเศษทางศิลปะของมัสยิดฮารูณอยู่ในลวดลายประดับห้องละหมาด ซึ่งเป็นสไตล์ ‘มูซันนา’ (Musanna) คือ Calligraphy ที่เขียนสะท้อนสองด้านอย่างสมมาตรกัน เนื่องจากภาษาอาหรับอ่านจากขวาไปซ้าย ด้านที่อ่านตามปกติจึงอยู่ทางด้านซ้าย โดยตัวอักษรใหญ่บนผนังที่ชิดเพดานเล่าช่วงต้นของ ‘ปฐมบท’ ในคัมภีร์อัลกุรอาน สร้างสรรค์โดยช่างฝีมือชาวชวา
การสะท้อนภาพคู่ขนานเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยในศิลปะอิสลาม เช่น ทัชมาฮาลก็มีผืนน้ำเบื้องหน้าที่สะท้อนเงาอาคารทั้งหลัง เป็นการสื่อถึงโลกหลังความตายหรือโลกของวิญญาณ ซึ่งอยู่เคียงข้างโลกของคนเป็น
ที่ตั้ง: สุดซอยตรงข้ามสถานทูตฝรั่งเศส 25 ซอยเจริญกรุง 36 แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพฯ
มัสยิดบ้านอู่
มัสยิดแห่งศรัทธาของมุสลิมอู่ต่อเรือ
ใน พ.ศ. 2490 มัสยิดเก่าแก่ของย่านอู่ต่อเรือนี้ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลามเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ชื่อบ้านอู่มาจากสมัยก่อนที่บริเวณนี้เป็นอู่ต่อเรือมาก่อน คนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิมเชื้อสายชวา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือ
ปัจจุบันการขยายตัวของโรงแรมและห้างสรรพสินค้าทำให้ชุมชนเก่าแก่นี้หดเล็กลง แต่มัสยิดยังคงอยู่เหมือนเดิม รวมถึงบ้านเก่าหลังสุดท้ายที่ตั้งอยู่ตรงข้ามทางเข้าของมัสยิดด้วย บ้านไม้ทรงปั้นหยานี้เคยเป็นที่พักของ อาจารย์รังสฤษดิ์ เชาวน์ศิริ ท่านเคยรับหน้าที่เป็นอิหม่ามประจำมัสยิดแห่งนี้ รวมถึงเคยเป็นทั้งอธิบดีกรมการศาสนาและปลัดกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย ปัจจุบันศพของท่านฝังอยู่ในกุโบร์ของมัสยิดบ้านอู่
ความพิเศษของมัสยิดแห่งนี้คือน่าจะเป็นแห่งเดียวในไทยที่มีลวดลายเขียนชื่อสาวกทั้งสิบ อะชะเราะฮ์ อัลมุบัชชิรีน (Asharah al-Mubashireen) ที่ท่านนบีมุฮัมหมัดรับรองว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ อยู่ตามผนังเหนือช่องหน้าต่าง โดยผู้เขียนเป็นช่างทำสีเรือประจำอู่ต่อเรือในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีกลองหนังสัตว์เก่าแก่ที่ใช้ตีเรียกชุมนุม บอกเวลาละหมาด และแจ้งข่าวเมื่อมีผู้เสียชีวิตในชุมชน เป็นเอกลักษณ์ของมุสลิมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่ตั้ง: หลังโรงแรมแชงกรี-ลา ซอยเจริญกรุง 46 แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพฯ
มัสยิดยะวา
มัสยิดชวาที่อยู่ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ในย่านสาทรใต้ นอกจากจะมีทั้งวัดฮินดู วัดจีน วัดมอญ โบสถ์คริสต์ ก็ยังมีมัสยิดอีกด้วย คำว่า ยะวา (ซึ่งคนในพื้นที่ออกเสียงว่า ยะ-หวา) ได้ชื่อมาจากชุมชนชวาที่อยู่รอบๆ
แต่เดิมบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของชาวมุสลิมมลายูที่ถูกกวาดต้อนมาจากปัตตานีตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสชวาถึง 3 ครั้ง ทรงโปรดปรานสวนแบบอิสลามที่จาการ์ตา จึงทรงพาชาวชวาที่เชี่ยวชาญการทำสวนกลับมาสยามด้วย คนชวาและคนมลายูร่วมกันตั้งมัสยิดแห่งนี้ใน พ.ศ. 2437 และแต่งตั้งอิหม่ามเป็นเชื้อสายชวากับมลายูสลับกันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
มัสยิดแห่งนี้มีความพิเศษที่หลังคาเป็นแบบซ้อน 2 ชั้น รูปแบบนี้คลี่คลายมาจาก ‘จันทิ’ ศาสนสถานของฮินดู ซึ่งมีขนาดเล็กเพราะใช้ประดิษฐานเทวรูป ต่างกับอิสลามที่ไม่มีรูปเคารพ มีเพียงสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจเท่านั้น เมื่อปรับมาเป็นมัสยิดจึงขยายขนาดให้ใหญ่พอที่คนจะเข้าไปอยู่ข้างใต้ได้ มัสยิดรูปแบบนี้หาดูง่ายในชวา แต่พบยากมากในไทย การทำเช่นนี้ก็เพื่อรักษาอัตลักษณ์ชาวชวาไว้ ในขณะเดียวกันก็เหมาะกับภูมิอากาศเมืองร้อนด้วย เพราะหลังคาทรงนี้ช่วยระบายอากาศร้อนได้ดี หลักฐานอีกอย่างว่ามัสยิดนี้ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของมุสลิมอาเซียน คือมีกลองหนังสัตว์ขนาดใหญ่เช่นเดียวกับมัสยิดบ้านอู่
ปัจจุบัน เรายังเห็นวัฒนธรรมแบบอินโดนีเซียได้ทั่วไปในชุมชนนี้ ทั้งการแต่งกายด้วยเสื้อปาเต๊ะ ภาษาชวาที่หลายคนยังพูดได้ รวมถึงอาหารชวาที่แปลกทั้งชื่อทั้งหน้าตา แม้จะผูกพันกับรากเดิมอย่างเหนียวแน่น ชุมชนชวาก็อยู่ร่วมกับชาวศาสนาอื่นได้สบาย แม้แต่กุโบร์หรือสุสานมุสลิมที่นี่ยังมีผนังด้านหนึ่งติดกับสุสานแต้จิ๋วด้วยซ้ำ กุโบร์ที่นี่สวยงามและมีขนาดใหญ่ ยินดีรองรับชาวมุสลิมทั้งไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังจัดสวนได้เรียบร้อยสวยงาม สมกับอยู่ภายใต้การดูแลของลูกหลานชาวสวนชวา
ที่ตั้ง: ซอยเจริญราษฎร์ 1 แยก 9 แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ
มัสยิดดารุ้ลอาบิดีน
มัสยิดที่แสดงพลังของสถาปนิกแห่งโลกมุสลิม
เพราะตั้งอยู่บนถนนจันทน์ หรือที่คนสมัยก่อนเรียกกันว่าตรอกจันทน์ เนื่องจากเคยเป็นซอยเล็กเพียง 2 เลน หลายคนจึงเรียกมัสยิดแห่งนี้ว่า ‘มัสยิดตรอกจันทน์’ มองไกลๆ จากริมถนนแล้วหน้าตาอาจคล้ายปราสาทขนาดเล็ก เพราะมีหออาซาน 4 ด้าน ถ้าลองสังเกตที่มุมภายในมัสยิด จะเห็นประตูลับซ่อนอยู่ 4 มุม เปิดเข้าไปเป็นบันไดวนเดินขึ้นสู่หอคอยได้ มีไว้สำหรับประกาศบอกเวลาละหมาด รวมถึงเป็นที่สังเกตการณ์เวลาไฟไหม้อีกด้วย
มัสยิดแห่งนี้ยังมีพื้นที่ด้านในโล่งกว้างเพราะไม่มีเสาเข็มแม้แต่ต้นเดียว แต่ตั้งอยู่บนดินเหนียวได้ด้วยการนำโอ่งใส่ทรายมาวางเรียงต่อกันแทนรากฐาน แล้วคำนวณให้ผนังอาคารรับน้ำหนักได้พอดี แม้มีรถวิ่งผ่านหรือเคยเกิดไฟไหม้ มัสยิดก็ไม่เคยพังหรือล้มเลยสักครั้ง
มัสยิดแห่งนี้สร้างใน พ.ศ. 2455 โดยสถาปนิกชื่อดัง รองอำมาตย์ตรี เอ็ม.เอ.กาเซ็ม หรือที่คนในชุมชนรู้จักกันในนาม กาเซ็ม-แปลน ส่วนคนไทยรู้จักในนาม เกษม อิทธิเกษม ส่วนโมเสกนั้นมาประดับทีหลังใน พ.ศ. 2529 คาดว่าเพื่อกันไม่ให้ปูนล่อน แต่โมเสกจะติดห่างกันเล็กน้อยเพื่อเว้นช่องว่างสำหรับระบายความร้อน มีรายละเอียดเก๋ไก๋คือลูกทับทิมกับพระนามอัลเลาะห์ ซึ่งประดับอยู่ด้านนอกอาคารบริเวณเหนือช่องหน้าต่าง ทับทิมเป็นผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงในมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ในฐานะสัญลักษณ์แทนความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
ความพิเศษอีกอย่างของมัสยิดแห่งตรอกจันทน์คือ ในรั้วมัสยิดมีที่อยู่อาศัยด้วย และยังมีคนใช้ชีวิตอยู่จริงๆ เรียกว่าเป็นศาสนสถานที่สนิทกับชุมชนในระดับใช้รั้วร่วมกันเลยทีเดียว
ที่ตั้ง: บนถนนจันทน์ เกือบถึงแยกตรอกจันทน์ แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
มูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้าของสตรีไทยมุสลิมแห่งประเทศไทยฯ
ตึกยุคคอนกรีตที่สร้างจากความสัมพันธ์ของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก
ใน พ.ศ. 2505 คุณหญิงแสงดาว สยามวาลา นายกสมาคมสตรีไทยมุสลิมแห่งประเทศไทย ร่วมกับคณะกรรมการ ตัดสินใจตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้าโดยไม่แบ่งแยกชาติและศาสนา พื้นที่แห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับเงินสนับสนุนจากพี่น้องมุสลิมทั่วโลก ทั้งลิเบีย คูเวต โมร็อกโก อิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ กาตาร์ บาห์เรน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย รัฐบาลไทย และแม้แต่สมเด็จพระสันตปาปาจากกรุงวาติกันก็มีส่วนร่วมด้วย
ตึกในพื้นที่แยกเป็น 4 ตึกหลัก ได้แก่ ตึกอียิปต์-ซาอุ เป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุด ตึกคูเวตที่อยู่ด้านขวาหันหน้าตั้งฉากกับถนนเจริญกรุง ตึกมอรอคโคที่ซ่อนอยู่หลังตึกคูเวต และตึกลิเบียที่ด้านหน้า ทุกตึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนมูลนิธิสตรีไทยมุสลิม ที่ตั้งชื่อตามประเทศที่มอบทุนสนับสนุนหลัก
ตึกลิเบียสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2525 เป็นตึกที่โอ่อ่าและแสดงสถาปัตยกรรมแบบอิสลามได้ชัดเจนที่สุด ภายในตึกมีห้องเรียน ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องละหมาด และห้องประชุม เนื่องจากสร้างในช่วงยุค 60 ซึ่งเป็นยุคคอนกรีต จะสังเกตได้ว่าตึกออกแบบโดยการใช้ศิลปะอิสลามดัดแปลงทำให้คอนกรีตแข็งๆ กลายเป็นสิ่งที่ดูอ่อนช้อยงดงาม เห็นได้ชัดจากด้านนอกตึกลิเบีย ซึ่งตัดทอนมาจากแพตเทิร์นแบบ ‘มูก็อรอนัส’ (Muqarnas) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญหนึ่งในศิลปะอิสลามทั่วโลก
ที่ตั้ง: ระหว่างซอยเจริญกรุง 70 กับ 72 ติดถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เนื่องจากเป็นโรงเรียน เลยไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าด้านใน แต่เดินดูภายนอกอาคารได้
มัสยิดบางอุทิศ
มัสยิดซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนกระชับสัมพันธ์ไทย-ตุรกี
เนื่องจากอยู่เยื้องกับเอเชียทีค ทำให้นักท่องเที่ยวชาวมุสลิมหลากหลายเชื้อชาติมักแวะเวียนกันมาละหมาดที่มัสยิดแห่งนี้ คำว่า บางอุทิศ มาจากชื่อ แม่บาง นานา เจ้าของโรงเลื่อยไม้ที่เคยตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้อุทิศเงินให้สร้างมัสยิดแห่งนี้ใน พ.ศ. 2458 ก่อนหน้านั้นในบริเวณจะมีเพียงแต่มัสยิดอัลอะติ๊ก มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในเจริญกรุง แต่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เหล่าชาวมุสลิมเห็นพ้องต้องกันว่าควรร่วมกันสร้างมัสยิดที่ทุกคนเข้าถึงได้ไว้ด้วย
จุดเด่นของมัสยิดบางอุทิศคือ ตราสัญลักษณ์ของจักรวรรดิออตโตมันที่เด่นเป็นสง่าอยู่เหนือทางเข้า ตราประกอบด้วยธงสีแดงซึ่งแทนจักรวรรดิออตโตมัน ธงสีเขียวซึ่งแทนรัฐอิสลาม และอาวุธต่างๆ ของจักรวรรดิ สาเหตุที่สัญลักษณ์ของอีกซีกโลกมาปรากฏไกลถึงตรงนี้ คาดว่าเป็นเพราะตระกูลนานาเคยบริจาคเงินช่วยเหลือจักรวรรดิออตโตมันในยามที่เกิดโรคระบาด แล้วรัฐบาลออตโตมันก็ส่งจดหมายที่มีตราประทับนี้กลับมา
ส่วนความใหม่เอี่ยมและการตกแต่งที่ดูแตกต่างจากมัสยิดอื่นๆ ใกล้เคียง เกิดจากเมื่อ 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ตุรกีเริ่มกลับมาเป็นชาติมุสลิมที่รุ่งเรืองอีกครั้ง และนิยมนำมัสยิดสไตล์ออตโตมันไปปลูกสร้างตามที่ต่างๆ เพื่อกระชับสัมพันธ์กับชาวมุสลิมทั่วโลก มัสยิดแห่งนี้ทางตุรกีส่งทั้งช่างฝีมือและวัสดุมาบูรณะให้ การตกแต่งจึงเป็นแบบออตโตมัน มีลาย Arabesque เกี่ยวกระหวัดทั่วผนังและเพดาน มีมิห์รอบและมิมบัรนำเข้าจากตุรกี รวมถึงมีหอคอยและที่อาบน้ำละหมาดแบบตุรกีเพิ่มเข้ามา นอกจากนั้น ข้างมัสยิดยังมีศูนย์ TIKA ซึ่งเป็นศูนย์ของตุรกีโดยตรงอีกด้วย
ที่ตั้ง: ซอยเจริญกรุง 99 ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
มัสยิดและสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ แม้จะอยู่ในชุมชนต่างกัน และสร้างเพื่อจุดประสงค์หลากหลาย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งร่วมกัน นั่นคือคุณค่าของศิลปะอิสลามที่เป็นมากกว่าแค่ความงดงามในตัวมันเอง เพราะยังสะท้อนถึงการผสมผสานและเชื่อมโยงวัฒนธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนให้กลายเป็นหนึ่ง
นี่เองคือ ‘เอก’ ใน ‘อนันต์’ อันเป็นหัวใจของศาสนาอิสลาม
เกร็ดการเยี่ยมชมมัสยิด
- ในกรุงเทพฯ มีมัสยิดรวมกันมากถึงเกือบ 200 แห่งเลยนะ
- แต่ละที่ยินดีให้ทุกคนเข้าไปเยี่ยมชมโดยไม่เกี่ยงชาติหรือศาสนา เพียงแค่ขอให้แต่งกายสุภาพเรียบร้อย และผู้หญิงต้องไม่มีประจำเดือนอยู่ในขณะเยี่ยมชม
- ก่อนเข้ามัสยิด มุสลิมที่ดีควรทำ ‘เนียตเอียะติกาฟ’ คือการหยุดนิ่ง สำรวมสติและทำสมาธิเสียก่อน ส่วนคนศาสนาอื่น ขอให้รักษาอาการสำรวมในศาสนสถาน
- ในหนึ่งวันชาวมุสลิมจะละหมาด 5 เวลา ก่อนการละหมาดจะมีประกาศเรียก หรือ ‘อาซาน’ และหลังละหมาดก็จะประกาศ ‘ดุอาอ์’ คือการขอพรเพื่อขานรับเสียงเรียกละหมาดนั้น โดยการประกาศจะแจ้งก่อนเวลาละหมาดประมาณ 10 นาที (ถ้าเป็นรอบเช้าตรู่จะแจ้งก่อน 30 นาทีให้ตื่นมาเตรียมตัว)
- หากเดินเข้าไปในมัสยิดแล้วเห็นใครกำลังละหมาดอยู่ ก็ไม่ควรเข้าไปส่งเสียงดังรบกวน แบบเดียวกับเวลาคนกำลังไหว้พระอยู่นั่นแหละ
- ในแต่ละมัสยิดจะมีหมวกกะปิเยาะให้ผู้ชายยืมใส่สำหรับกันไม่ให้ผมปรกหน้าผาก เพราะเวลาทำละหมาด หน้าผากต้องแตะพื้นโดยตรง แต่ไม่ได้จำเป็นต้องใส่
- ส่วนสำหรับผู้หญิง จะมีชุดตะลากงหรือชุดคลุมสำหรับละหมาดแขวนไว้ให้ยืมใส่ เป็นชุด 2 ชิ้น เสื้อคลุมยาวและกระโปรงยาว ชุดตะลากงนี้พบเห็นได้แค่ในภูมิภาคอาเซียนเท่านั้นนะ
- คำว่า ‘โต๊ะ’ (ที่เราอาจเคยได้ยินในบริบท โต๊ะอิหม่าม) แท้จริงแล้วเป็นภาษาที่ชาวมลายูใช้เรียกยกย่องผู้อาวุโส หรือผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เช่นอาจารย์หรือผู้นำทางศาสนา หากเป็นภาษาอาหรับจะใช้คำว่า ชีค (หรืออาจออกเสียงว่า เชค)