ยินดีต้อนรับกลับสู่พิพิธภัณฑ์คู่บ้านคู่เมืองแห่งเดิมที่เฉิดฉายภายใต้รูปโฉมใหม่
The Cloud ขอพาผู้อ่านเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พร้อมภัณฑารักษ์ชำนาญการ ศุภวรรณ นงนุช
พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า ที่ประทับของพระมหาอุปราชตั้งแต่สมัยอยุธยา เปิดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมายาวนานถึง 92 ปี จนกระทั่งปี 2555 กรมศิลปากรก็เห็นสมควรที่จะบูรณะนิทรรศการประวัติศาสตร์แห่งนี้ให้กลับมาเสนอภาพของความเป็น ‘วังหน้า’ อีกครั้ง
ผลลัพธ์ของการปรับปรุงใหญ่ครั้งล่าสุด ทุกองค์ประกอบ ทั้งภูมิสถาปัตย์ในบริเวณรอบอาคาร การออกแบบภายในเน้นความโล่งกว้างโอ่โถง การจัดไฟที่ขับชิ้นงานให้ดูโดดเด่นและขลัง รวมถึงการปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับงานแต่ละชิ้น ล้วนแล้วแต่รังสรรค์ภายใต้แนวคิดเน้นโชว์ ‘วัตถุ’ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่อาจเคยเห็นภายของสิ่งเหล่านี้เพียงบนหน้าหนังสือเรียน ได้เข้าถึงประวัติศาสตร์ในระยะประชิด รวมถึงสร้างบรรยากาศที่มีชีวิต ราวกับวัตถุต่างๆ เจ้าของเพียงแค่เก็บใส่ตู้ไว้ รอวันหยิบออกมาใช้ตามวาระที่เหมาะสม ของทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นงานประณีตศิลป์ นำเสนอให้คล้องจองกับประวัติศาสตร์ของวังหน้า ทั่วนิทรรศการจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับพื้นที่จัดแสดง
พื้นที่พิพิธภัณฑ์ประกอบไปด้วยหลายส่วน ส่วนที่เป็นนิทรรศการประกอบด้วย พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย (จัดนิทรรศการหมุนเวียน) เชื่อมต่อกับหมู่พระวิมาน (จัดนิทรรศการถาวร ปัจจุบันเปิด 4 ห้อง) อาคารทางเหนือ (แสดงงานยุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 18) อาคารทางใต้ (แสดงงานยุคหลังพุทธศตวรรษที่ 18) พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ (จัดนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระตำหนักแดง และโรงราชรถ
เมื่อนิทรรศการใหม่ใช้แนวคิดเน้นโชว์วัตถุเป็นตัวเอก และเปิดให้เข้าชมในปี 2561 เราจึงอยากชวนไปดู 10 สถานที่ปรับปรุงใหม่ที่น่าไปเยือน และชมสุดยอดคอลเลกชันลับระดับชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจจนต้องกลับมาเล่าแบ่งปัน
1
ชมมาสเตอร์พีซ 130 ชิ้นจากญี่ปุ่นในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
ปัจจุบัน พระที่นั่งศิวโมกขพิมานที่อยู่ด้านหน้าสุดของพิพิธภัณฑ์มีนิทรรศการพิเศษ หากเดินเข้าไปแล้วสงสัยว่าทำไมถึงเหมือนอยู่ญี่ปุ่นมากกว่าอยู่ไทย ก็อย่าสับสนไป เพราะในวาระความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-ญี่ปุ่นครบรอบ 130 ปี เมืองไทยให้ยืมโบราณวัตถุ 130 ชิ้น (แทนระยะเวลา 130 ปี) ไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่น แลกกับโบราณวัตถุญี่ปุ่น 130 ชิ้นมาจัดแสดงไว้ที่นี่แทน ในนิทรรศการมีวัตถุเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นหลายชนิด ตั้งแต่ประติมากรรมเก่าแก่ เช่น ตุ๊กตาโดกูจากยุคโจมอน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ตัวละครในการ์ตูนยุคใหม่หลายเรื่องก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าตัวนี้, ดาบซามูไรพร้อมฝัก ด้ามจับหุ้มด้วยหนังกระเบนนำเข้าจากอยุธยา ไปจนถึงชุดกิโมโน และเครื่องประดับที่คนชอบแฟชั่นทุกรายต้องระทวยเมื่อเห็น
ตามไปดูได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561
2
ไหว้พระพุทธรูป 11 องค์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
ถึงจะเรียกว่าพระที่นั่ง แต่ความโอ่โถงของพื้นที่ภายในชวนให้ความรู้สึกคล้ายพระอุโบสถวัดมากกว่า สาเหตุเพราะพระที่นั่งแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นหอพระประจำวังหน้าเสมอมา ในปัจจุบันประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์เป็นพระประธาน หากมองไปรอบๆ จะเห็นจิตรกรรมฝาผนังที่วาดโดยช่างอยุธยาในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ นี่เป็นหนึ่งในจิตรกรรมแบบอยุธยาไม่กี่ชิ้นที่ยังสมบูรณ์อยู่ เมื่อสังเกตจะพบว่าผ้าของเทวดาแต่ละองค์เป็นลายเก่าแก และไม่มีลายใดซ้ำกันเลย
ช่วงนี้ทางพิพิธภัณฑ์เชิญพระพุทธรูปจากที่ต่างๆ มาทั้งหมด 10 องค์ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองธรรมราชาพระองค์ใหม่ โดยทุกองค์ล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง หรือพระพุทธรูปที่ฉลองพระองค์แบบกษัตริย์ แสดงความเป็นสมมติเทพของมหากษัตริย์ไทย แม้แต่พระพุทธสิหิงค์องค์ใหญ่ ก็ได้อัญเชิญสายสังวาลย์ (สายสะพาย) ที่ปกติจะเก็บรักษาไว้ ออกมาสวมใส่ไว้ด้วย
ตามไปดูได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ.2561
3
แกะรอยศาสนาพุธจากอินเดียถึงสุวรรณภูมิที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย
ห้องนิทรรศการหมุนเวียนประจำพิพิธภัณฑ์ ในเวลานี้จัดงาน ‘พุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตะสู่สุวรรณภูมิ’ กระชับสัมพันธ์ยาวนาน 70 ปีระหว่างไทยกับอินเดีย เนื้อหาของนิทรรศการนำเสนออิทธิพลที่ศิลปะอินเดียมีต่อศิลปะไทย ที่นี่จึงเต็มไปด้วยโบราณวัตถุ เช่น ทับหลัง เสมา หรือพระพุทธรูปเก่าแก่ต่างๆ มาจากอินเดียและไทย เช่น พระศากยมุนีขัดสมาธิจากหุบเขาสวาต ใบเสมาพิมพาพิลาปที่แสดงสถาปัตยกรรมในยุคทวารวดี
ตามไปดูได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2561
4
เยี่ยมพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ที่ประทับเก่าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ประทับเก่าของผู้ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน เคียงคู่รัชกาลที่ 4 คืออาคาร 2 ชั้น ด้านล่างซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพารถูกปรับปรุงให้เป็นนิทรรศการเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ ส่วนด้านบนรักษาสภาพไว้ให้เหมือนครั้งใช้งาน นั่นคือมีทั้งห้องพระบรรทม ห้องสมุด ห้องทรงพระอักษร คล้ายกับว่าเจ้าของเพียงแค่ออกไปข้างนอก อีกไม่นานก็จะกลับเท่านั้น
5
หลงรักบ้านตุ๊กตาจิ๋วของเจ้าจอมเลียมในห้องมหรรฆภัณฑ์
ชื่อห้องอธิบายสิ่งของในห้องอย่างตรงตัว มหรรฆ แปลว่า สูงค่า และ ภัณฑ์ คือเหล่าข้าวของเครื่องใช้ ห้องนี้รวมเครื่องทองที่ได้จากการบูรณะวังหน้าเมื่อหลายปีมาแล้ว บางส่วนได้รับพระราชทานมา บางส่วนมาจากกรุเก่าในอยุธยา ด้วยความพิเศษของวัตถุจัดแสดงในห้อง นี่จึงเป็นห้องเดียวที่เก็บกุญแจลูกกรงไว้ที่กรมศิลปากร
คอลเลกชันแสนน่ารักที่นี่คือบ้านตุ๊กตาเจ้าจอมเลียม ด้วยความที่ท่านมีชีวิตอยู่ยาวนาน 3 แผ่นดิน ตั้งแต่ในรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ในบ้านตุ๊กตาของท่านจึงสะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยสมัยนั้น เพราะแม้ตัวบ้านจะเป็นของนำเข้า ออกแบบอย่างฝรั่ง แต่การตกแต่งภายในเป็นรูปแบบไทย รายละเอียดมากมายที่ซ่อนอยู่ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราว หากสังเกตในห้องพระของบ้านน้อยหลังนี้ จะเห็นพระบรมสาทิสลักษณ์รวมพระเจ้าอยู่หัว 7 รัชกาล ดูแล้วแปลกตาเมื่อเทียบกับโปสเตอร์รวม 9 – 10 รัชกาลที่เราคุ้นชินกันในปัจจุบัน
6
ชมหัวโขน หุ่นเชิด และเครื่องดนตรีโบราณ ในห้องนาฏดุริยางค์
พระที่นั่งทักษิณาภิมุขเป็นหนึ่งในห้องที่ปรับปรุงใหม่เสร็จแล้ว ภายในอัดแน่นไปด้วยเครื่องร้องรำทำเพลงจำนวนมากที่เล่าเรื่อง ‘มหรสพของหลวง’ บนตั่งมีปี่พาทย์เครื่องใหญ่ขนาบซ้ายขวาตู้กระจกที่จัดแสดงเศียรครูจำนวน 32 เศียร จัดเรียงโดยคำนึงถึงลำดับศักดิ์ของแต่ละชิ้นงานเป็นหลัก เช่น หุ่นละครพระนางต้องอยู่คู่กันด้านใน และหุ่นละครยักษ์กับลิงวางขนาบด้านนอก แสดงถึงจุดยืนของภัณฑารักษ์ ว่าจะต้องให้ความสำคัญของตัววัตถุมาก่อนเสมอ คอลเลกชันเด่นของห้องนี้คือ หนุมานหน้ามุก งานศิลปะเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ที่ทั้งเศียรทำจากเปลือกหอยมุก, หัวโขนชมพูพานที่มีใบหน้าเป็นหมี และหุ่นวังหน้าที่มีตัวละครน่ารักทั้งไทยและจีน
7
มองดาบ แพ และสารพัดโลหะวาววับ ในนิทรรศการโลหศิลป์
เมื่อเดินเข้าไปในพระที่นั่งปัจฉิมาภิมุขจะสัมผัสได้ถึงความแพรวพราวของงานแต่ละชิ้นที่เหนือชั้นกว่าห้องอื่นๆ เข้าไปอีก เพราะสิ่งที่จัดแสดงอยู่ในห้องคืองานศิลปะโลหะประเภทต่างๆ เช่น การบุทอง ถม คร่ำ ฯลฯ แต่ละแบบมีเทคนิคพิเศษและเอกลักษณ์ละเอียดอ่อนของตัวเอง สังเกตว่าแต่ละตู้ในห้องนี้จะมีระบบปรับอากาศในตัว เพราะโลหะเป็นวัสดุที่อ่อนไหวต่ออากาศ อาจขึ้นสนิมได้ง่าย จึงต้องปกป้องเป็นพิเศษ
คอลเลกชันดีเด่นในห้องนี้คือดาบอาญาสิทธิ์ ดาบหุ้มทองคำของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ มีอำนาจใช้ลงโทษคนโดยไม่ต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อนลงมือ และแพลงสรงจำลองของจริงที่ใช้ในพระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) ของเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระโอรสในรัชกาลที่ 5 และมกุฏราชกุมารพระองค์แรกของสยาม
8
ชื่นชมสารพัดผ้าแสนสวยในห้องอิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์
พระที่นั่งอุตราภิมุขนี้ดูเผินๆ แล้วคล้ายห้องแต่งตัวหลังโรงละคร เพราะเต็มไปด้วยเครื่องแต่งกายและผ้าลายเก่าแก่ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุที่เคยใช้งานในราชสำนัก พื้นที่ในห้องแบ่งเป็น 3 ส่วน คือผ้าฝ่ายหน้า (ผู้ที่ใช้คือคนในวังหน้า) ฉลองพระองค์ (ชุดของพระมหากษัตริย์และคนสนิท) และผ้าฝ่ายใน (ผู้ที่ใช้คือคนในวังหลวง) รวมถึงมีส่วนให้ลองเรียนรู้การผลิตและรีดผ้ายุคเก่าอีกด้วย
ไฮไลต์ของที่นี่คือฉลองพระองค์ทรงยุโรปสีครีมของรัชกาลที่ 4 ประดับลายใบและลูกโอ๊ก และฉลองพระองค์ครุยกรองทองของเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ หรือ ‘ฝ่ายหน้า’ ปักด้วยดิ้นทองทั้งตัว
9
ดูเสื้อยันต์ กลอง และสารพัดดาบและปืน ในนิทรรศการศัสตราวุธ
ตามธรรมเนียมเก่าแก่ ห้องทางตะวันออกเฉียงเหนือของห้องบรรทมจะนิยมใช้เก็บอาวุธ การบูรณะจึงเป็นโอกาสย้ายห้องศัสตราวุธกลับมาไว้ที่พระที่นั่งบูรพาภิมุข รวมถึงได้ฤกษ์เปลี่ยนวิธีการจัดแสดงให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยแบ่งประเภทชิ้นงานตามยศศักดิ์และการใช้งาน นั่นคือแบ่งราชศัสตราวุธ (ของเจ้าขุนมูลนาย) กับศัสตราวุธ (ของคนทั่วไป) และแบ่งอาวุธที่ใช้ประดับเพื่อแสดงยศ กับอาวุธสำหรับใช้งานจริง
คอลเลกชันน่าดูที่นี่คือเสื้อยันต์ลายหนุมานนั่งแท่น สำหรับแม่ทัพใส่ใต้เสื้อผ้าและเกราะในยามออกรบ ตัวที่จัดแสดงอยู่เป็นวัตถุเก่าแก่ตั้งแต่ พ.ศ. 2358 และกลองจากหอกลอง ของเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2325 สร้างพร้อมการตั้งเสาหลักเมือง ประกอบไปด้วยกลอง 3 ใบ เรียงจากใหญ่ไปเล็ก แต่ละใบใช้ในสถานการณ์ต่างกันไป ใบล่างสุดชื่อกลองย่ำพระสุริย์ศรี หนังทำจากหนังควาย ด้านในเขียนยันต์กันขโมย ใช้ตีบอกเวลาเช้ากับมืด ใบกลางชื่อกลองอัคคีพินาศ หนังทำจากหนังวัว ด้านในเขียนยันต์กันไฟไหม้ ใช้ตีเรียกคนมาดับไฟ ส่วนใบบนสุดชื่อกลองพิฆาตไพรี หนังทำจากหนังหมีกับหนังเสือ ด้านในเขียนคาถาพุทธคุณแบบเล่นกลบท เขียนด้วยภาษาบาลีเป็นตัวอักษรขอม ใช้ตีเมื่อศัตรูประชิดประตูเมือง
10
ชมราชรถและพระโกศต่างๆ ในโรงราชรถ
ปิดท้ายด้วยห้องนิทรรศการที่หลังคาสูงที่สุดและมีประตูใหญ่ที่สุด เพราะชิ้นงานประณีตศิลป์ในห้องนี้เป็นวัตถุโบราณซึ่งยังมีชีวิต จะนำออกใช้เมื่อมีงานพระราชพิธี ราชรถขนาดใหญ่เล็กจอดเรียงรายอยู่ทั่วห้อง ด้านหลังราชรถเหล่านี้มีพระโกศและฉากบังเพลิงของพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพครั้งก่อนๆ เก็บรักษาไว้ ของพิเศษล่าสุดในห้องนี้คือเกรินบันไดนาค ทำหน้าที่อัญเชิญพระโกศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขึ้นสู่พระเมรุ วิธีการทำงานคือให้เจ้าพนักงาน 2 คนคอยหมุนรอกซึ่งอยู่ข้างๆ เพื่อให้ทางเลื่อนขยับขึ้น คล้ายๆ บันไดเลื่อนที่ทำงานด้วยมือนั่นเอง