14 ตุลาคม 2024
3 K

“We throw a stone into the water. Sand swirls up and settles again. The stir was necessary. The stone has found its place. But the pond is no longer the same.” 

Peter Zumthor

เป็นหนึ่งในคำพูดของสถาปนิกที่เราชื่นชอบตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในตอนนั้นรู้สึกว่าเข้าใจความหมายในเชิงคอนเซปต์ แต่ไม่ยังนึกไม่ออกว่าในเชิงกายภาพต้องเป็นสิ่งปลูกสร้างแบบไหนที่จะฉายภาพธรรมดาแสนพิเศษนี้ได้ชัดเจน จนกระทั่งได้เห็นการร้อยเรียงฟังก์ชันการใช้งานใหม่ของบ้านไม้อายุร่วมร้อยปีในย่านตลาดน้อย ในพื้นที่เดิมที่เพิ่งปรับปรุงจากบ้านและโรงกลึงอู่หลียุ่นเชียงตั้งแต่ พ.ศ. 2470 กลายมาเป็น Vanich House ใน พ.ศ 2567

อู่หลียุ่นเชียง

“ร้านของเราชื่ออู่หลียุ่นเชียง อันนี้คือป้ายร้านโรงกลึงเดิม บ้านเราเรียกที่นี่ว่าอู่” กาจ-กาจวิศว์ ริเริ่มวนิชย์ เจ้าของบ้านและ Co-founder ของสตูดิโอสถาปนิก Physicalist ผู้รับผิดชอบปรับปรุงบ้านไม้เก่าหลังนี้ ชี้ชวนให้ดูป้ายชื่อกิจการดั้งเดิมของตระกูลที่ย้ายมาติดไว้บริเวณโถงทางเข้าบริเวณใต้ถุนบ้าน

“ผมเป็นรุ่นที่ 6 บรรพบุรุษเข้ามาตอนช่วงปีไหนไม่แน่ใจ แต่มีเอกสารของโรงกลึง เป็นใบเสร็จที่บรรพบุรุษผมไปจ่ายภาษีเป็นใบเล็ก ๆ ในปี 1927 ก็เลยอนุมานเป็นปีนี้ไป อีก 3 ปีก็ครบร้อยพอดี (ยิ้ม)

“สมัยก่อนครอบครัวย่อย ๆ ครอบครัวหนึ่งจะมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นห้องนอนอยู่ครอบครัวละห้อง นอกนั้นเป็น Common Area ทั้งหมดเลย” เจ้าของบ้านอธิบายเพิ่มเติม เมื่อเราถามถึงรูปแบบการใช้งานก่อนการรีโนเวต เขาเล่าว่าที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนไม้ 2 ชั้นรวมคนงานแล้วร่วม 100 คน ข้างบนเป็นห้องนอน พื้นที่ใต้ถุนฝั่งขวาเป็นสำนักงานของโรงกลึง ส่วนด้านหลังเป็นพื้นที่โรงกลึงขนาดใหญ่ อันเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว

“ตอนโรงกลึงเลิก ผมก็เริ่มมาทำสตูดิโอ Physicalist ตรงห้องเล็ก ๆ ชั้น 2 ส่วนพื้นที่นอกจากนั้นยังมีสภาพเป็นบ้านอยู่เหมือนเดิม” กาจวิศว์ชี้ไปที่ห้องชั้น 2 ของเรือนไม้สีฟ้า ที่ที่เขาเริ่มกิจการของตัวเองในบ้านไม้หลังนี้ต่อจากกิจการโรงกลึงของบรรพบุรุษ ก่อนจะย้ายไปใช้พื้นที่ออฟฟิศย่านหัวลำโพงชั่วคราว รอเวลาที่จะได้กลับมาปรับปรุงบ้านครั้งใหญ่

หมวก 2 ใบ

หนึ่งในความน่าสนใจของการปรับปรุงบ้านย่านตลาดน้อยเป็น Vanich House คาเฟ่ใหม่ สำหรับเราคือการที่สถาปนิกผู้ออกแบบเป็นคนเดียวกับเจ้าของบ้าน เลยอยากชวนผู้อ่านร่วมสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างท่ามกลางหมวก 2 ใบที่ต้องสวมใส่ในเวลาเดียวกัน

“จริง ๆ ผมมองว่ามันคือการที่เจ้าของซ่อมบ้านเองนี่แหละ แค่บังเอิญเราเป็นสถาปนิก แต่เราไม่ได้ทำโดยตั้งใจจะมี Design Statement อะไรเป็นพิเศษ การปรับปรุงเลยอยู่บนพื้นฐานที่เราไม่ได้อยากทำของใหม่และพยายามเก็บสปิริตของบ้านเดิมเอาไว้” เจ้าของบ้านเกริ่นหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เมื่อเราถามถึงการสลับหมวกไปมาในช่วงเวลาซ่อมแซมบ้าน แต่ดูเหมือนว่าหมวกทั้ง 2 ใบจะแยกออกจากกันไม่ได้ทั้งหมด

หรือจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่การ Renovate แต่เป็นการ Regeneration ให้กับบ้าน – เราลองขยับมุมที่มองโปรเจกต์อีกสักนิด

“ใช่ ผมมองว่าคำว่า Regeneration เคลียร์นะ เป็นการปรับปรุงบ้านให้ทันสมัยบนความเป็นไปได้ที่โลกมีให้ตอนนี้

วัสดุอย่างหลังคาแผ่นใส กระจก ที่เมื่อก่อนไม่มี พอเราเอามาใช้ก็ทำให้พื้นที่โรงกลึงกับบ้านที่เคยมืด ๆ ทึบ ๆ สว่างและโปร่งขึ้นมาก ๆ คือเมื่อก่อนถ้ามีวัสดุพวกนี้อยู่ก็คงใช้กันไปนานแล้ว แต่มันไม่มี

“เราทำโดยอยากให้พื้นที่ใช้สอยอยู่ใต้หลังคา โครงสร้าง และกรอบอาคารเดิมทั้งหมด ไม่ได้ต้องการสร้างอะไรขึ้นใหม่ วัสดุเลยแค่ถูกย้ายจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง เปลี่ยนจากฟังก์ชันแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง เราใช้วัสดุเดิมเป็นส่วนใหญ่ มีแค่บางอย่างที่พังก็จำเป็นต้องโยนทิ้งไป หลังคาสังกะสีบางอันที่ใช้ได้ก็เอามาทำผนังบ้าง รั้วบ้าง ส่วนไม้ที่มีก็พยายามเอามาใช้ให้หมดในส่วนที่กั้นห้องทึบ ส่วนที่เป็นช่องโล่งก็ใช้กระจกและวัสดุโปร่งแสง พยายามใช้ให้มันคุ้มที่สุด

“สเปซเลยดูออกมาออกมาเหมือนเดิม แต่ในขณะที่เหมือนเดิมมันก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเหมือนกัน อันนี้เป็นมุมมองในฐานะสถาปนิก”

อีกสิ่งที่อดไม่ได้ที่จะถามคือการที่งานส่วนใหญ่ของสตูดิโอดูเนี้ยบและและเรียบร้อย ทำใจยังไงกับการซ่อมบ้านเก่าที่คาดเดายาก

“เราพยายามทำให้เรียบร้อยนะ ในส่วนที่ควบคุมได้ ส่วนที่เป็นองค์ประกอบดั้งเดิมก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและร่องรอยของมัน” ปุ้ย-ศศิกานต์ สุประดิษฐ ณ อยุธยา อีกหนึ่ง Co-founder ของ Physicalist ชี้ให้เราเห็นภาพชัดขึ้น เพราะท่ามกลางงานไม้ที่มีสัดส่วนและวิธีการก่อสร้างที่ไม่ได้มีตัวเลขลงตัวหรือมีมุมฉากรับกันเป๊ะทุกส่วน แต่พื้นที่ออฟฟิศสถาปนิกที่ทำขึ้นมาใหม่ ยังมีดีเทลเส้นคม ๆ จากงานเหล็กที่เผยให้เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่

งบ (ที่เคย) ประมาณ

งบประมาณเป็นอีกคำที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นเป็นลำดับต้น ๆ รองจากการออกแบบเมื่อเริ่มปรับปรุงบ้าน เป็นส่วนสำคัญที่มีผลโดยตรงกับสุขภาพจิตและการตัดสินใจของเจ้าของบ้านมากกว่าที่คิด เพราะส่วนใหญ่งบประมาณที่ตั้งเอาไว้มักจะน้อยกว่าความเป็นจริงที่ต้องใช้เสมอ โดยเฉพาะบ้านเก่าที่ต้องจ่ายไปกับความแข็งแรงและความปลอดภัย ก่อนจะถึงเรื่องความสวยงามที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก สำหรับบ้านหลังนี้กาจก็แชร์มุมมองไว้ได้น่าสนใจ

“ในเรื่องจิตวิทยาเป็นแบบนี้ครับ ตอนแรกเราตั้งงบไว้น้อยมากเลย พยายามประหยัดให้มากที่สุด ประหยัดได้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอาหมด แต่ทำไปทำมาก็อยากทำครั้งนี้ให้ดีไปเลย ต้องใช้เงินเพิ่มแหละ แต่พอถึงจุดหนึ่งเราจะรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะทำ แม้อาจจะมีภาระการเงินในชีวิตเพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่สเปซที่ได้มามันพร้อมใช้งาน อยู่เองใช้เองทุกวัน ผมว่ามิตินี้สำคัญกว่า เพราะมันเป็นชีวิตเราเอง”

เรื่องพื้นฐาน งานใหญ่

“ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำฐานรากให้แข็งแรง ฐานรากหมายถึงทั้งในเชิงโครงสร้าง เชิง Infrastructure นะ ไฟฟ้า ประปา เป็นส่วนที่ต้องลงทุน บ้านจะดีไม่ดีมันขึ้นกับระบบพวกนี้ ถ้ามันดีเราจะอยู่ได้อย่างสบายใจ เพราะเรารู้ว่าเสาไม่ล้ม รู้ว่าฝนตกมาหลังคาไม่รั่ว ส่วนอย่างอื่นก็จะทยอย ๆ ตามมาขึ้นอยู่กับเราอยากทำอะไรแบบไหน

“ผมว่าพื้นฐานคือตรงนั้น ซึ่งจริง ๆ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการรีโนเวตโดยทั่ว ๆ ไป อย่างน้ำรั่ว บ้านทรุด เป็นต้น”

แล้ว Vanich House เริ่มที่ตรงไหน

“ตอนที่รีโนเวต อันดับแรกคือดีดบ้านเพื่อทำฐานราก” กาจชี้ให้เราดูกระดาษสเกตช์แผ่นเล็กที่ติดอยู่บนเสา ลายเส้นโชว์ภาพตัด Section ของการดีดบ้านที่ต้องใช้ปั้นจั่นยกบ้านขึ้นไป เสาทีละต้น ก่อนจะตัดปลาย ตอกเข็ม แล้วตั้งไม้แบบหล่อคอนกรีตทำเป็นฐานรากใหม่ ซึ่งการดีดบ้านครั้งนี้ส่งผลไปถึงผนังไม้เดิมด้านหน้า ทำให้ Façade ปรับเปลี่ยนดีเทลไปบางส่วน

“พอดีดบ้านขึ้นมา ตีนผนังเดิมที่เป็นไม้มันก็พัง เหลวหมดเลย เลยปรับดีเทลท่อนล่างนี้ โดยใช้ไม้เดิมจากโรงกลึงมาตีเป็นระแนง ท่อนล่างนี่ทำขึ้นมาใหม่ ตอนทำใหม่ ๆ ยังเห็นว่าต่างกันนะ แต่ตอนนี้เก่าเท่ากันแล้ว (หัวเราะ)”

การตีระแนงไม้ยาวตามแนวนอน นอกจากทำให้ดีเทลใหม่ที่เติมเข้าไปแนบเนียนกับผนังไม้ของบ้านเดิมแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความโปร่งให้ลมเข้า ระบายอากาศได้ดี แม้จะเป็นช่วงบ่ายใต้ถุนก็ยังเย็นนั่งเล่นได้สบาย

ความกลมกลืนของการรักษาดีเทลเก่าและผสานดีเทลใหม่เข้าไปอย่างแนบเนียนทำให้หน้าบ้านยังรักษาวันเวลาและบอกเล่าการใช้งานได้จากอดีตถึงปัจจุบัน ประตูเหล็กสีส้มทางซ้ายเป็นของใหม่ ใช้สำหรับเป็นทางเข้าออฟฟิศและพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ส่วนประตูไม้ด้านขวาเป็นของเก่าตั้งแต่สมัยทำโรงกลึง ยังคงทำหน้าที่เดิม เพิ่มเติมเปลี่ยนจากทางเข้าโรงกลึงมาเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจในพื้นที่คาเฟ่

นอกเหนือไปจากประตูแล้ว หน้าต่างและช่องลมก็เป็นอีกสิ่งที่สถาปนิกตั้งใจเก็บไว้ รายละเอียดช่องลมที่ต่างกันของฝั่งซ้ายและขวาบอกเล่าการเดินทางของบ้านที่มีการขยับขยายเรื่อยมา ส่วนช่องหน้าต่างด้านขวาเก็บหลักฐานของวัน-เวลาในฐานะเคยเป็นที่ที่อาแหยะยืนแปรงฟันในทุกเช้า 

เสน่ห์ของความธรรมดาแบบนี้เองที่ทำให้ตลอดช่วงสายที่ระหว่างที่เรายืนเก็บภาพหน้าบ้าน มีนักท่องเที่ยวผลัดเปลี่ยนแวะเวียนเข้ามาดูดีเทลใกล้ ๆ เสมอ

ส่วนสำคัญถัดมาคือหลังคา กาจบอกว่าเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ คือแสงต้องเดินทางไปถึงใต้ถุนบ้าน

“ของเดิมตรงโรงเหล็กเป็นสังกะสี มันจะมืด ๆ เมื่อก่อนถ้าอยากให้มีแสงต้องชักรอกแล้วสังกะสีเปิดออกมาจะเห็นลำแสงฝุ่น ๆ ทีนี้ผมอยากให้สเปซข้างล่างสว่าง เลยมุงหลังคาส่วนใหญ่ให้เป็นหลังคาใส โดยเฉพาะตรงโรงกลึง ส่วนด้านหน้ามีประเด็นเรื่องการใช้พื้นที่ เมื่อก่อนพื้นที่ชั้น 2 จะเป็นห้องเต็ม ข้างล่างมืด ๆ เราเลยขยับแนวผนังเข้าไป 1 เมตร ตรงส่วนที่เห็นเป็นกระจกซึ่งเป็นส่วนพื้นที่ทำงานของออฟฟิศ ข้อดีคือด้านนอกจะมองเห็นหน้าบ้านเป็นไม้เหมือนเดิม ในขณะที่ออฟฟิศก็โปร่งขึ้น เบาขึ้น แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวซ่อนจากสายตาคนภายนอก”

ส่วนเรื่องงานระบบของบ้านรื้อทำใหม่หมด ทั้งระบบน้ำที่เดินท่อน้ำดีและฝังถังบำบัดใหม่ ไฟฟ้าก็ขยายมิเตอร์เดินสายใหม่ เน้นเดินลอยร้อยในท่อ ล้อไปตามโครงสร้างงานไม้ ยกเว้นส่วนด้านบนออฟฟิศที่เดินเหนือฝ้าเพราะอยากให้ดูเรียบร้อย

“การเลือกวัสดุก็เลือกให้เข้ากับบ้าน อย่างหินขัดก็เลือกสีส้มเลย พื้นใต้ถุนก็เลือกอิฐ ให้เหมือนกับอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว อยากให้ทุกอย่างมันดูเข้ากับบ้านเก่าให้ได้มากที่สุด ส่วนรางน้ำทำใหญ่ ๆ มาก ผมชอบ อยากให้มันระบายน้ำได้ดี ๆ ให้อยู่แล้วไม่ทุกข์ อยู่แล้วสบายใจ” (ยิ้ม)

ใต้ถุนบ้านกับร้านที่ไม่ได้อยู่ใน Master Plan

ใต้ถุนบ้านฝั่งบ้านเดิมก็ยังคงเป็นส่วนบ้านที่ต่อเนื่องกับคอร์ตต้นไม้กลางบ้านที่ปลูกขึ้นใหม่ ส่วนฝั่งขวาที่เคยเป็นออฟฟิศของโรงกลึงปรับเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่คาเฟ่

การปรับเปลี่ยนหลังคาสังกะสีเดิมจากที่ทรุดโทรมจนรั่วในหน้าฝนมาเป็นหลังคาใส ทำให้มิติของส่วนใต้ถุนบ้านเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การเว้นแผ่นพื้นและผนังกระจกของออฟฟิศชั้น 2 เข้าไป 1 ช่วง ทำให้แสงส่องผ่านจากหลังคาลงมาสู่พื้นที่ใต้ถุน ช่วยเน้นให้เห็นรายละเอียดเส้นสายของผนังไม้ด้วยแสงและเงาให้ชัดขึ้น พื้นที่ใต้ถุนเองก็ดูโปร่งโล่งขึ้น

เรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุดที่เจ้าของบ้านเล่าให้ฟัง คือคาเฟ่นี้ไม่ได้อยู่ในแพลนตั้งแต่แรก แต่เกิดจากการเห็นความเป็นได้ในระหว่างปรับปรุงบ้าน

“ผมกับปุ้ยคุยกันว่ามันเป็นไปได้นะ เพราะนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปผ่านมา ทำ F&B ร้านขายของได้ ก็เลยเป็นร้านนี้ขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ได้วางเอาไว้ใน Master Plan แต่แรก

“ตอนแรกยังไม่แน่ใจหรอกว่าโปรดักต์ของเราคืออะไร แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ตอนนี้พี่ตอบได้แล้วว่าโปรดักต์ของเราคือสเปซ” ปุ้ย หัวเรือใหญ่ของส่วนคาเฟ่เสริมแง่มุมที่น่าสนใจ

บางครั้งเราอาจจะต้องลงมือขยับพื้นที่ดูก่อนถึงจะค้นพบว่าพื้นที่ที่เรามีเหมาะกับการทำธุรกิจหรือกิจกรรมแบบไหน

ใต้ถุนของ Vanich House ในตอนนี้จึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นคาเฟ่ให้ผู้คนเข้ามาลองลิ้มชิมรสอาหาร-เครื่องดื่ม แต่ยังมีพื้นที่สำหรับวางขายเฟอร์นิเจอร์ ของแต่บ้าน โปสต์การ์ด ไปจนถึงเสื้อผ้าเด็ก เป็นพื้นที่ที่รวมความน่าสนใจหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน

ส่วนในแง่มุมงานออกแบบ ปุ้ยที่ออกตัวว่าปกติไม่ใช่คนเนี้ยบ เลยสร้างความมีชีวิตชีวาได้อย่างน่ารักด้วยความไม่เนี้ยบเช่นกัน เริ่มตั้งแต่เคาน์เตอร์คอนกรีตหล่อที่ตั้งอยู่ข้างทางเข้า

“พี่บอกผู้รับเหมาว่าขอลองดูก่อน ถ้าไม่เวิร์กค่อยทุบ ที่ผ่านมาเวลาทำงาน เราพยายามหล่อคอนกรีตให้เรียบร้อยมาเยอะแล้ว อยากลองทำให้ออกมาเป็นธรรมชาติบ้าง จะเห็นหินในเนื้อบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะก็เป็นส่วนหนึ่งของคอนกรีตจริง ๆ” ซึ่งสำหรับเรา มองว่ามันเข้ากันได้ดีกับความเป็นธรรมชาติของบ้านไม้ 

“อย่างเสารูปวงรีนี่ผมสันนิษฐานว่าเอาไว้ช่วยรองเวลาขนย้ายของหนัก ๆ ในโรงกลึงเรา พอทำร้านปุ้ยเลยเอามาต่อใส่ป๊อปด้านบนล่างช่วยทั้งค้ำบ้านและก็เป็นการตกแต่งไปในตัว” สถาปนิกชี้ให้ดูดีเทลที่เอาของเก่ามาผสมกับของใหม่ที่กลมกลืนไปกับโครงสร้างไม้เดิมได้พอดิบพอดี

โซนออฟฟิศของโรงกลึงเดิมเปลี่ยนเป็นส่วนครัวที่กรุใหม่ด้วยไม้อัดเบิร์ชอย่างง่าย ปุ้ยกระซิบว่าตอนแรกตั้งใจทำให้ง่ายขนาดไม่ติดแอร์ในครัว แต่พอต้องอบขนมไปด้วย โดยเฉพาะเมนูสโคนกุนเชียงที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านก็พบว่าไม่ไหว เลยต้องใช้แผ่นอะคริลิกใสเข้ามาเติมช่องว่างที่เหลือเพื่อติดแอร์ให้พื้นที่ครัวเย็นขึ้น

เฟอร์นิเจอร์ภายในร้านก็เป็นอีกส่วนที่เก็บของเก่าเอามาใช้ใหม่ โต๊ะกินข้าวของคนงานที่ถอดท็อปออกและพับขาเก็บได้เหมือนโต๊ะจีน ซึ่งกาจยืนยันว่า ไม่ใช่แค่เหมือน แต่นี่แหละคือโต๊ะจีนของแท้ ได้ย้ายมาทำหน้าที่ใหม่ในคาเฟ่

“โต๊ะช่างยืนทำงาน ตอนเปิดร้านเจ๋งมาก เพราะใช้เป็นโต๊ะดีเจได้พอดีเลย ดีเจก็ยืนทำงานเหมือนกัน” ทายาทรุ่นที่ 6 ยิ้มขึ้นมาอย่างถูกใจกับความเหมาะเจาะของการจับคู่ของเก่ากับฟังก์ชันใหม่

Re-place

“ตรงนี้แต่ก่อนเป็นทางเดินที่เละ ๆ หน่อย มีรางระบายน้ำบนดินแบบเปิดให้เห็นเลย เราทำระบบระบายน้ำใต้ดินใหม่ให้เรียบร้อย ส่วนผนังนี้ปูนนี้เป็นของเดิมเลย รื้อออกมาเป็นยังไงก็อย่างนั้น สังกะสีของเดิมที่เคยใช้เป็นหลังคาก็เอามาใช้เป็นรั้วตรงนี้แทน เรียกได้ว่าเป็นการ Re-place (หัวเราะ)” กาจวิศว์เริ่มเล่าถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่งและการจัดการวัสดุของพื้นที่ริมรั้วฝั่งซ้ายมือที่เชื่อมโยงมาถึงชื่อคอลัมน์ของเราได้พอดิบพอดี

“พวกนี้เป็นไม้ฝาผนังที่เคยกั้นห้องมาก่อนที่บนบ้าน ผมเดาเองนะว่าสีเขียวเคยเป็นน้ำยารักษาเนื้อไม้สมัยก่อน พอรื้อออกมาจากหลายห้องเลยมีความเฟดไม่เท่ากัน” เจ้าของบ้านอธิบายที่มาที่ไปของผนังไม้ที่ใช้กรุห้องน้ำใหม่ ใกล้กันมีเคาน์เตอร์อ่างล้างมือที่เคยเป็นเคาน์เตอร์ครัวมาก่อน ถ้าสังเกตดี ๆ จะยังเห็นที่เปิดอยู่ตรงขาเคาน์เตอร์ เขาบอกว่าเคาน์เตอร์นี้เป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมูอยู่แล้ว ที่ทำเพิ่มคือการไปตัดหินท็อปใหม่สำหรับใช้วางอ่างล้างมือ โดยมี Partition กั้นด้านนอกเป็นสเตนเลสให้สะท้อนต้นไม้ในคอร์ต ส่วนด้านในเป็นกระจกเงา 

ส่วนพื้นที่ห้องน้ำใหม่เน้นเรื่อง Skylight กับการระบายอากาศเป็นหลัก

“ส่วนห้องน้ำตรงนี้เมื่อก่อนเป็นโรงครัว จะมีความไม่ตรง Grid มาก แต่ไม่เป็นไร เราทำใหม่บนตรรกะว่า จะทำ Skylight ในทุกที่ที่ทำได้” แสงที่เห็นเรืองลงมาจากฝ้าด้านบนเลยไม่ใช่แสงจากหลอดไฟ แต่เป็นแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านหลังคาใสและแผ่นอะคริลิก แต่ก็มีไฟที่ซ่อนไว้เปิดใช้ตอนกลางคืนด้วย

ผนังกั้นห้องน้ำทำจากไม้อัดเบิร์ชแบบไม่เคลือบผิว สีอ่อนของไม้เบิร์ชตัดกับผนังไม้เก่า ทำให้บรรยากาศห้องน้ำดูซอฟต์ขึ้น

บานเกล็ดถูกเลือกมาใช้สำหรับการระบายอากาศในห้องน้ำหญิง ขณะที่ห้องน้ำชายเปิดผนังโล่งโชว์กำแพงบ้านด้านหลัง

“การระบายอากาศ (Ventilation) ดี สบายเลย ส่วนตอนฝนตกสาดนิดหน่อยช่างมัน” สถาปนิกหนุ่มเสริมพร้อมหัวเราะ พออกพอใจในความง่าย ๆ สบาย ๆ ที่ได้ออกแบบไว้สำหรับห้องน้ำ

“ตรงนี้จะเห็นว่าผนังมี 2 สี ข้างบนมี 2 ห้องติดกัน เดิมฝ้าเพดานในห้องเป็นฝ้าไม้อัดสีฟ้า ซึ่งเราตั้งใจจะเปลี่ยนใหม่เป็นฝ้ายิปซัม พอรื้อฝ้าเก่าลงมา ปรากฏว่าเจอไม้ชุดนี้อยู่บนฝ้าเพดานอีกเลเยอร์หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นฝ้าดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่เหนือฝ้าไม้อัดสีฟ้าอีกที แล้วในแต่ละห้องเดิมทาสีไม้นี้เป็นคนละสีกัน แต่เป็นไม้ยาวต่อเนื่องกันเป็นชิ้นเดียวยาวมาก เราเห็นว่ามันพิเศษก็เลยเอามากรุเป็นผนังภายนอก โชว์สีที่ไม่ตรงกันกับรอยต่อของห้องเดิมให้เป็นอย่างที่มันเป็น ปรากฏว่าผนังยาวเท่า ๆ ความยาวไม้กับตอนที่มันเป็นฝ้าพอดี ๆ เลย” 

ภาพ : นิปุน แสงอุทัยวณิชกุล

อีกสิ่งที่เราเฝ้าคอยจะได้เห็นและเป็นส่วนที่หลาย ๆ คนคงนึกไม่ถึงคือห้องน้ำ ใช่แล้ว ฟังไม่ผิด ห้องน้ำเดิมในบ้านสีฟ้า เพราะในช่วงเวลาที่เราได้มีโอกาสมาฝึกงานในบ้านหลังนี้ ที่ที่ใช้ทุกวันและเฝ้าฝันว่ามันจะดีกว่านี้ได้ขนาดไหน คือห้องน้ำที่ต้องนั่งกอดเข่าเวลาเข้าปลดทุกข์ และการมาครั้งนี้ก็ได้พบว่าห้องน้ำได้ผ่านพ้นยุคบำเพ็ญทุกรกิริยาเรียบร้อยแล้ว

ห้องน้ำเวอร์ชันปัจจุบันเก็บประตูเก่าสีเขียวตัดวงกบสีฟ้าเอาไว้ได้อย่างน่ารัก กาจแชร์เทคนิคที่ใช้สำหรับปรับปรุงห้องน้ำบนโครงสร้างบ้านไม้เก่าให้เราฟังว่า เขาเริ่มด้วยการปูแผ่นวีว่าบอร์ดชั้นหนึ่งก่อนจะกรุทับด้วยกระเบื้องในพื้นที่แห้ง ส่วนพื้นที่เปียกอย่างโซนอาบน้ำเลือกใช้ Shower Booth พร้อมติดกระจกกั้นอาบน้ำวางทับลงไปบนพื้นกระเบื้อง เท่านี้การปรับปรุงก็ไม่ยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณหรือเพิ่มน้ำหนักกับโครงสร้างแบบงานปูน

Survivor Details

ออฟฟิศ Physicalist บนชั้น 2 เป็นเฟสแรกที่ปรับปรุงเสร็จ ฝ้าไม้อัดใหม่บริเวณโถงกลางทำหน้าที่บังไม่ให้แดดที่ทะลุลงมาจากหลังคาใสร้อนจนเกินไป แต่ก็ยังเว้นจังหวะขอบทั้ง 2 ข้างให้แสงลอดผ่าน เหมาะกับการใช้งานในเวลากลางวัน

รอกถูกติดเอาไว้กับฝ้าใหม่ สัมพันธ์กับพื้นไม้ที่เจาะทะลุไปถึงส่วนใต้ถุนบ้านเพื่อใช้ขนของหนัก และเอาไว้เพื่อเชื่อมให้สเปซทั้ง 2 ชั้นไม่ตัดขาดออกจากกัน

กรอบผนังของออฟฟิศอยู่ในรูปแบบของงานเหล็กและกระจก บนพื้นฐานที่ทำให้ดูบางและเบา เสาไม้เดิมทำหน้าที่ช่วยบาลานซ์ความเก่ากับใหม่ ด้วยการแทงละลุพื้นไม้ผ่านขึ้นไปจรดฝ้ายิปซัมใหม่ผืนใหญ่สีขาว 

ตรงเสานี้เองที่เจ้าของออฟฟิศบอกเราว่าเป็นหนึ่งใน Survivor Details เพราะเสาบางต้นที่สูงไม่พอต้องเอาอีกต้นมาต่อทาบกัน เสาอีกต้นหงิกงอช่วงปลายก็ต้องเอาเหล็กมารัดติดกับโครงสร้างเหล็กที่เติมเข้าไปใหม่ ไฟโต๊ะทำงานก็ปรับจากเหล็กง่าย ๆ ตู้เก็บของของออฟฟิศก็เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างตู้ไม้อัดกับม่านม้วนเก็บของป้องกันฝุ่นได้พอดี

ความเรียบร้อยของงานออกแบบ เผยให้เห็นผ่านการจบวัสดุต่าง ๆ กรอบกระจกเหล็กที่เน้นวิ่งเส้นคู่ให้ดูบาง แทนการใช้เป็นกล่องแบบที่เห็นทั่วไป รอยต่อของยิปซัมที่วิ่งมาเจอเหล็กเว้นร่องตรงส่วนที่วัสดุวิ่งมาแตะกันไว้ ทำให้ผนังดูเบาและลอย

ห้องประชุมสีเขียว 2 โทน เจ้าของบ้านบอกว่าตรงนี้เคยเป็นคนละห้องมาก่อนในยุคโรงกลึงที่หลายครอบครัวยังอยู่ที่นี่ การเลือกสีเฉดของสีเขียวเลยไม่เหมือนกันเสียทีเดียว จึงตั้งใจเก็บร่องรอยนี้ไว้ แล้วเทียบสีโครงเหล็กใหม่ให้ใกล้เคียงกัน

“ตรงนี้ตั้งใจอยากเก็บจิตวิญญาณของสเปซแบบเดิมเอาไว้ ในอนาคตถ้าจะมีการจัดอีเวนต์ก็ค่อยว่ากัน” กาจชี้ให้เราดูผ่านกระจกออฟฟิศไปตรงพื้นที่โรงกลึงเดิม จากที่เคยเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ ถูกจัดการปัดกวาดจนกลายมาเป็นที่จอดรถโล่ง ๆ โดยยังเก็บโครงสร้างไม้และพื้นชั้น 2 ไว้ เพื่อเอาไว้เก็บไม้ที่ยังเหลืออยู่คู่กับรางรถไฟเดิมที่เคยใช้ขนย้ายของสมัยโรงกลึง

The Mechanic’s Room

“ห้องนี้ทำเสร็จเราค่อยมาตั้งชื่อว่าเป็น The Mechanic’s Room เมื่อก่อนฟังก์ชันคือห้องพักคนงาน ข้อดีคือวิวที่มองจากตรงนี้จะเห็นแม่น้ำครับ” สถาปนิกเจ้าของโปรเจกต์จั่วหัวถึงห้องพักเพียงห้องเดียวที่ตั้งใจทำไว้รับรองแขก

“ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับคนท้องถิ่นนิดหนึ่ง มี Sountrack บริเวณรอบ ๆ เป็นกิจกรรมในซอย ซื้อขายอะไหล่กัน”

เพราะนอกจากชื่อห้องที่บอกเล่าที่มาของฟังก์ชันก่อนจะเป็นที่พักแล้ว ภาพอะไหล่หลากรุ่นหลายหน้าตากองพะเนินอยู่ตลอดสองข้างทางของซอยภาณุรังษีที่เป็นทางเข้าหลัก พร้อมเสียงทำงานโป๊งเป๊ง ก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยย้ำความเป็น Mechanic สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยกับชุมชนในย่านอะไหล่แหล่งใหญ่ของกรุงเทพฯ ให้ผู้มาพักได้เป็นอย่างดี ก้าวเดินเข้าไปอีกไม่กี่อึดใจก็จะเจอบันไดเวียนสีเทาเข้มและระเบียงไม้เป็นพื้นที่แรกที่รอต้อนรับ ใครที่ข้าวของเยอะก็ไม่ต้องกังวลว่ากระเป๋าใบใหญ่จะขึ้นบันไดยังไง เพราะทางเจ้าของเตรียมรอกเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว 

ความพิเศษอีกอย่างของห้องนี้ คือการร่างพื้นที่ด้วยเทป – ใช่ เทปกาวนั่นแหละ!

“เราค่อย ๆ ทำกันไป อย่างตอนงาน Bangkok Design Week เราก็ทำ Vanich House Pop-up มาเปิดคาเฟ่บนนี้ ตอนนั้นมีแต่หลังคากับพื้น เราก็เอาพัดลมมาติด เอาเฟอร์นิเจอร์มาตั้ง หลังจากจบงานนั้นก็ค่อย ๆ มาทำแปลน ทำในกระดาษเสร็จก็ลองมาวางแปลนจริงบนนี้เลย มาวัดแล้วเอาเทปติดแบ่งสัดส่วน กลับไปกลับมากับการทำดรออิ้ง เพราะรูปทรงมันไม่สมมาตร ก็สนุกดี” กาจแชร์ถึงการทำดีไซน์ไร้กระบวนท่าที่ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนการทำงานออกแบบทั่วไป และสุดท้ายทำออกมาได้ Cozy น่านอนสุด ๆ

ฝ้าเพดานทรงจั่วสีเหลือง ผนังไม้ และแดดบ่ายที่ทอดมาจากระเบียง ทำให้รู้สึกถึงความเป็นบ้านตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา โต๊ะจีนจากข้างล่างย้ายมาไว้กลางห้อง ทำให้สัดส่วนความตัดกันของงานเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่ากับเฟอร์นิเจอร์สเตนเลสของใหม่บาลานซ์กันได้พอดิบพอดี ไม่เก่าเกินไป และไม่ใหม่จนเกร็ง

นอกจากส่วนห้องนอนที่หยิบเอาไม้เก่ามาทำเป็นผนังแล้ว ยังมีระเบียงด้านหน้าและห้องน้ำที่สถาปนิกเลือกหยิบสังกะสีเก่าที่เคยเป็นหลังคาแปรมาเป็นฝ้าและผนัง ส่วนห้องน้ำใหม่บนโครงสร้างไม้เก่า ใช้เทคนิคเดียวกันกับบ้านเดิม ปูพื้นส่วนแห้งด้วยไม้ แยกส่วนเปียกด้วย Shower Booth สร้างความน่าสนใจระหว่างของใหม่เก่าด้วยหินแผ่นใหญ่

Vanich House

เพราะบ้านไม่ได้เป็นแค่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นบ้านของครอบครัวใหญ่ เราเลยอดถามไม่ได้ถึงมุมมองที่มีต่อบ้านและการจัดการในครอบครัวของกาจวิศว์

“เรามองว่ามันเป็นเรื่องของอายุกับจังหวะชีวิตเป็นส่วนใหญ่นะ เมื่อก่อนเราก็อยู่เป็นบ้าน ไม่ได้คิดอะไร พอวันหนึ่งเรากับปุ้ยอยากจะรีโนเวต ก็พยายามเก็บสปิริตของมันไว้ให้มากที่สุด ให้กับคนทั้งครอบครัวเราเลย แม้ว่าหลายคนไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว แต่เรารีโนเวตอู่ให้คงความเป็นอู่เอาไว้เหมือนเดิม ชิงช้าตัวนี้ก็ของเดิมเลย ตอนทำบุญบ้านญาติ ๆ มาก็ยังมานั่งกัน” กาจผายมือไปที่ชิงช้าที่แขวนไว้ที่ใต้ถุนบ้านตั้งแต่วันวานจนถึงวันนี้

จริง ๆ ในช่วงที่ผ่านมาใต้หมวกสถาปนิกก็มีคนถามเราอยู่หลายครั้งหลายคราว่า จะซ่อมบ้านเดิมหรือซื้อบ้านใหม่ไปเลยดี แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีคำตอบตายตัว การเลือกบ้านแบบไหนควรเป็นไปตามความเหมาะสมกับปัจจัยในชีวิตของแต่ละคน แต่สำหรับใครที่มีใจอยากซ่อมบ้าน เราก็หวังว่าการปรับปรุงโดยใช้ของใหม่ซ่อมบ้านเก่า ใช้ของเก่าในตำแหน่งใหม่อย่างพอดิบพอดีของบ้านไม้อายุร่วมร้อยปีหลังนี้ จะเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านได้ลงมือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านให้กลับมามีชีวิตชีวา ไปพร้อม ๆ กับการรักษาร่องรอยของวัน-เวลาที่สมาชิกทุกคนร่วมสร้างมาด้วยกัน

สุดท้าย ถ้าใครอยากดูดีเทล สัมผัสวัสดุเก่า-ใหม่อย่างใกล้ชิดเพิ่ม เราอยากชวนให้ลองแวะไปนั่งเล่นรับลมที่คาเฟ่ Vanich House ชิมสโคนกุนเชียงซิกเนเจอร์แกล้มชาผลไม้ที่เบลนด์เองโดยปุ้ย หรือถ้ายังไม่หนำใจ ให้ลองกดจองไปที่ห้องพัก The Mechanic Room ไปนอนกลิ้งบนโซฟา แล้วใช้เวลาละเลียดวิวแม่น้ำกับความอุ่นของบ้านไม้เก่าดูสักคืน

Writer

Avatar

นิปุณ แสงอุทัยวณิชกุล

สถาปนิกที่สนใจในงานเขียน สถาปัตยกรรม ที่ว่าง เวลา และหมาฟลัฟฟี่

Photographer

Avatar

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ