ปลายเดือนมีนาคมคือช่วงเวลาผัดเปลี่ยนของฤดูกาลที่สวิตเซอร์แลนด์ จากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งความคาบเกี่ยวระหว่างฤดูนี่เองที่ทำให้เมืองเก่าแก่อย่างฟริบูร์ก (Fribourg) ดึงดูดให้ฉันต้องกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ด้วยภารกิจการงานที่ทำให้ต้องมาสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงปลายมีนาคมของทุกปี ทำให้ฉันรู้สึกสนิทสนมกับที่นี่เป็นพิเศษ อันที่จริงตัวงานไม่ได้อยู่ที่ฟริบูร์ก แต่เลือกมาพักที่ฟริบูร์กก็เพราะความคลาสสิกและความสงบไม่พลุกพล่าน แถมรถไฟของสวิตก็เป็นระบบดีมาก ตรงเวลา รวดเร็ว ทำให้เราเดินทางข้ามเมืองได้ไม่ยากเลย

สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์

ฟริบูร์กเป็นเมืองเก่าอายุกว่าพันปี สร้างขึ้นตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 12 มีแม่น้ำล้อมรอบถึง 3 ด้าน ในยุคนั้นจึงเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมในเรื่องการศึกสงคราม ตั้งแต่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเบิร์น (Bern) เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ใช้เวลาเที่ยวแค่วันสองวันก็ครบหมดแล้ว

ถ้าหากนั่งรถไฟจากกรุงเบิร์นจะใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และเมืองนี้ยังเป็นทางผ่านไปโลซานน์ (Lausanne) และเมืองอื่นๆ ทางใต้ของสวิตอีกด้วย ทำให้หลายๆ คนแวะเมืองนี้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวแล้วจากไป แต่สำหรับฉัน ที่นี่คือเมืองสวยที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคกลาง หลังคาบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นสีน้ำตาลตัดกับภูเขาสีเขียวสด และด้วยลักษณะที่เป็นเนินสูงต่ำไล่ระดับจากภูเขาลงไปสู่แม่น้ำ มองลงไปจะเห็นบ้านเรือนเรียงรายเหมือนบ้านตุ๊กตาเลยทีเดียว

เมืองฟริบูร์กเป็นเมืองที่ถูกคั่นกลางด้วยแม่น้ำซารีน (Sarine) และความเก๋ก็คือ คนสองฝั่งแม่น้ำนี้เขาพูดกันคนละภาษา นั่นคือฝรั่งเศสและเยอรมัน แต่ในส่วนของตัวเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ SBB บริเวณนั้นจะใช้ภาษาฝรั่งเศสหมดเลย ตั้งแต่ป้ายตามถนนหนทางต่างๆ ไปยันเมนูในร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม คนทุกคนในเมืองนี้เป็นเนทีฟ Bilingual ทั้งภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้อย่างคล่องแคล่วทั้งสองภาษา ยิ่งกว่าภาษาอังกฤษเสียอีก

สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์

ฉันเคยรู้มาว่าเด็กๆ ในเมืองนี้เมื่อเข้าเรียน ที่โรงเรียนก็จะสอนภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสก่อน พอเรียนถึงในระดับชั้นที่โตขึ้นจึงค่อยมีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 3

วันแรกที่เดินอยู่ในฟริบูร์ก ฉันรู้สึกว่าตัวเองแต่งตัวจัดที่สุดในเมืองแล้ว ด้วยความที่มันคาบเกี่ยวระหว่างฤดูหนาวกับใบไม้ผลิ เสื้อผ้าในกระเป๋าที่เตรียมมาก็จะเป็นเฟอร์บ้าง โค้ตบ้าง รองเท้าบู๊ตบ้าง แต่อยู่ๆ เมื่อวันที่อากาศอบอุ่นขึ้นโดยที่เราไม่ได้เช็กอุณหภูมิล่วงหน้าก่อนออกจากที่พัก เดินตามถนนก็จะเด๋อๆ นิดหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้แต่งตัวชิลล์มาก สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ จนเราอยากจะเข้าไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ที่ห้างแถวนั้นเปลี่ยน

สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์

ไฮไลต์ที่เที่ยวในเมืองนี้มีอยู่ไม่กี่แห่ง เริ่มจากโซนเมืองเก่า แถวนั้นจะมีมหาวิหารเซนต์นิโคลัส (Saint Nicolas) สูงเด่นเป็นตระหง่านที่สุดในเมือง เราสามารถขึ้นไปบนหอคอยด้านบนเพื่อชมวิวได้โดยต้องเสียค่าเข้าชม แต่สำหรับตัววิหารด้านในเข้าไปได้ฟรี ในขณะที่ใกล้ๆ วิหารเป็นถนนที่มีตรอกซอกซอย ตามทางเราก็จะเห็นน้ำพุเป็นระยะๆ ซึ่งโดยรอบก็จะมีร้านรวงมากมายให้กินให้ช้อปและเดินเล่น

ถ้าเดินมาถึงมหาวิหารแล้ว เดินต่อไปอีกไม่ไกลมากจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ โดยที่ด้านล่างเป็นสนามหญ้า มีผู้คนมานั่งเล่นอาบแสงแดด บ้างก็มาวาดรูป บ้างก็เอาอาหารมานั่งปิกนิกกับเพื่อน ฉันลงไปนั่งปล่อยใจอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่แล้วรู้สึกชอบมากเลยเวลาที่เห็นแสงแดดกระทบกับหลังคาสีส้มของบ้านเรือนต่างๆ แม้ว่าต้นไม้จะยังโกร๋น แทบจะไร้ดอกไร้ใบ แต่เราก็เริ่มเห็นสัญญาณของการผลิบานและเติบโตที่กำลังค่อยๆ มาถึง

สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์

การเดินเล่นในเมืองนี้ ถึงแม้พื้นถนนหลายแห่งจะเป็นหินซึ่งเดินไม่ง่ายเท่าไร แถมบางจุดก็ยังเป็นเนินสูงชัน แต่เขามีตัวช่วยอย่าง Funicular หน้าตาเป็นรถสีเขียวๆ แล่นบนรางที่จะพาเราขึ้นและลงเขาชันๆ ได้อย่างน่าสนุก รถสายนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 1899 เชื่อมระหว่างย่าน Basse-Ville หรือตรงด้านล่างของภูเขา กับใจกลางเมือง อยากให้ทุกคนมาลองนั่งดูสักครั้งเพราะเราจะได้เห็นวิวเมืองของฟริบูร์กในรูปแบบที่แปลกตา อ้อ! ถ้ามีสวิสพาสก็สามารถขึ้นรถคันนี้ได้ฟรีด้วยนะ

สวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์

อย่างไรก็ตาม ฟริบูร์กไม่ได้มีแต่ความเก่าอย่างเดียว ที่นี่ยังมีห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย มีร้านขายแผ่นเสียง มีร้านไอศครีม ร้านขายเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าแบรนด์เนม รวมไปถึงร้านกาแฟเก๋ๆ ฮิปๆ หลายร้าน ที่แนะนำเลยก็คือ Cyclo Café ที่แต่งร้านได้น่ารักสุดๆ ด้วยความที่เจ้าของร้านรักการขี่จักรยาน จึงได้แรงบันดาลใจมาตกแต่งร้านด้วยสิ่งของที่เกี่ยวกับจักรยาน ภายในร้านมีทั้งที่นั่งแบบเป็นโต๊ะ อินดอร์ เอาต์ดอร์ แล้วยังมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์เหมาะสำหรับคนที่มาคนเดียวอย่างเรา แค่เริ่มมื้อเช้าด้วยครัวซองต์กับกาแฟสักแก้วก็รู้สึกเป็น Good morning ที่จะทำให้เราอารมณ์ดีไปทั้งวันแล้ว

หลายคนบอกว่ามาเมืองนี้ครั้งเดียวก็เกินพอเพราะไม่ค่อยมีอะไรเที่ยว แต่ไม่รู้ทำไมเราไปตั้ง 2 รอบแล้วก็ยังรู้สึกอยากไปอีก คงเพราะความเรียบง่ายของทั้งผู้คนและสถานที่ แล้วก็การผสมผสานกันระหว่างความเก่าและใหม่ที่ลงตัวมั้งที่ทำให้ฟริบูร์กมีเสน่ห์เหลือเกิน

สวิตเซอร์แลนด์

 

ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’

ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

Avatar

อัญวรรณ ทองบุญรอด

นักเขียน/นักดนตรี เจ้าของผลงานหนังสือ 'เวียนนา ลาทีโด' และบล็อกท่องเที่ยว lavieenroad.com นอกจากเล่นเชลโลแล้วยังชอบออกเดินทางคนเดียวอยู่เสมอๆ