“ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคน 2,500 คนมานั่งฟังเราพูดบนเวที ภาพในหัวตอนเด็กคือการยืนปราศรัย ปลุกใจคนบนเวที เพราะแม่เราเป็นแบบนั้น แต่ชีวิตเนอะ ไม่รู้มันจะพาเราไปจุดไหน”
ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ หรือ ครูประทีป คือชื่อของแม่เขา เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีป มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ และโรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา คลองเตย
ทัตซึยะ ฮาตะ หรือ ดอกเตอร์ฮาตะ คือชื่อของพ่อเขา เป็นนักสังคมสงเคราะห์ชาวญี่ปุ่น อดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคินกิ ประเทศญี่ปุ่น
อิสระ ฮาตะ คือชื่อของพี่ชาย หรือที่คนมักจะเรียกต่อท้ายว่า อิสระ RUBSARB หรือ อิสระ VRZO ครีเอเตอร์ยุคแรกของประเทศไทย
ต้นกล้า-มิ่งบุญ ฮาตะ คือยูทูบเบอร์นักเล่าเรื่องผี เป็นเจ้าของประโยคด้านบนสุด รวมถึงเป็นเจ้าของบ้านย่านอ่อนนุชที่เปิดประตูเหล็กเสียงเอี๊ยดอ๊าดต้อนรับเราตอนนี้
บ้านที่ว่ากันว่ามีสิ่งลี้ลับอาศัยอยู่ จนทำยอดเข้าชมในยูทูบทะลุ 2 ล้านเพราะมีคนอยากมาพิสูจน์ถึงที่
“ถ้าแค่แวะมาเที่ยวเล่นแป๊บเดียวไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ถ้ามาค้างคืนอาจจะมี” เขากล่าวคำแนะนำด้วยน้ำเสียงที่แฟนรายการ คืนพุธ มุดผ้าห่ม อย่างเราคุ้นเคย
โชคดีที่เราแวะเวียนมาหาเพื่อพูดคุยกับเขาถึงเส้นทางนักเล่าเรื่องผีเพียงเท่านั้น ก่อนวาระล่าสุดของชีวิตอย่างทอล์กโชว์ ‘คืนพุธมุดผ้าห่ม : 3rd Eye View’ ที่เขาจะขึ้นเวทีเล่าเรื่องผีแบบสด ๆ ต่อหน้าคนดูกว่า 2,500 ชีวิต ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ในวันที่ 12 – 13 ตุลาคมที่ผ่านมาจะเกิดขึ้น
“ไม่เคยมีใครถามผมแบบนี้มาก่อนเลย” ต้นกล้าตอบอย่างกระตือรือร้น หลังผ่านการสนทนาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
คืนที่ 1
คืนหนึ่งในความฝัน ครูประทีปมองเห็นนางฟ้าอุ้มเด็กทารกมามอบให้ ราวกับเป็นสัญญาณว่าลูกชายคนที่ 2 กำลังจะถือกำเนิด
เธออุ้มท้องท่ามกลางเหตุการณ์ประท้วงยุคพฤษภาทมิฬ จึงให้กำเนิดบุตรชายชื่อ ต้นกล้าประชาธิปไตย
ต้นกล้ารู้ตัวว่ามีสัมผัสที่ 6 ตั้งแต่อายุยังน้อย พอโตมาจึงฉุกคิดได้ว่าแท้จริงแล้วนักเล่าเรื่องผีคนแรกในชีวิตคือแม่ของเขาที่มักจะกล่อมนอนด้วยเรื่องลี้ลับเป็นประจำ รวมถึงมีเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติจากการทำงานกลับบ้านมาเล่าให้เขาฟังเสมอ ๆ
ตัวเขานับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่เชื่อว่าศาสนาคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับภูติผี
“ทุกศาสนาแทบจะอยู่กับผี ชินโตก็เชื่อว่าทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติจะมีวิญญาณสิงสถิต คริสต์ก็มีปีศาจ มีซาตาน มีสิ่งชั่วร้ายในนรก อิสลามก็มีญินที่เป็นเหมือนคนที่มาเกิดไม่ได้ เรื่องผีอยู่กับเราตลอดเวลา”
เคยคิดไหมว่าทำไมเราต้องมีเซนส์ – เราถามอย่างนึกสงสัย แม้ในใจกังวลถึงพี่สาวที่ไม่ได้รับเชิญบนชั้น 3 ของบ้าน
“ไม่เคย”
“รู้สึกว่าเป็นข้อดีเหรอ”
“ไม่เหมือนกันครับ” เขาหัวเราะเบา “ผมแค่รู้สึกเหมือนเราได้เผลอมองเห็นอะไรบางอย่างชั่วขณะ”
ต้นกล้ายกตัวอย่างเหตุการณ์ในบ้านหลังนี้เพื่อยืนยันสัมผัสพิเศษว่าเขาเคยเห็นกระแสไฟวิ่งผ่านหน้า ในวันที่ไฟฟ้าลัดวงจรมาแล้ว
“ผมว่าเขาไม่ได้เชื่อเรื่องผีกันหรอก แต่เขาเชื่อผม”
คืนที่ 2
การเติบโตมาในฐานะลูกครูประทีปหรือน้องชายพี่อิส ส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตคุณบ้าง
ผมกดดันมากครับ ตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงวันนี้ ผมก็ยังกดดันอยู่เลย
เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะผมคิดว่าเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ธรรมดา ต่อให้ไม่รวย แต่ไม่ธรรมดาแน่นอน
พ่อผมเป็นลูกชายร้านขายราเมงที่ญี่ปุ่นแต่ส่งตัวเองไปเรียนสังคมสงเคราะห์ที่สหรัฐอเมริกา จนเป็นศาสตราจารย์ แม่ผมยิ่งแล้วใหญ่ เกิดมาจน ไม่มีเงินสักบาท จนเห็นว่าคนจนถูกด้อยค่ายังไง เลยไปเปิดโรงเรียนในสลัม
คนที่เขารู้จักแม่ รู้จักพ่อ เขาเห็นว่าพ่อแม่ผมไปไกลมาก ๆ ก็ชอบถามว่า “ลูกชายไม่ไปบ้างเหรอ ทำไมลูกชายไม่ทำมูลนิธิต่อ ทำไมลูกชายไม่ทำงานช่วยเหลือสังคม” แต่สุดท้ายผมจะบอกทุกคนว่า ใครจะไปทำได้ มีแค่เขานี่แหละที่ทำได้ ทุกวันนี้แม่ผมอายุ 70 กว่า อีกไม่กี่ปีจะเลข 8 ยังทำงานอยู่ทุกวัน
ผมชอบงานที่พ่อแม่ทำ เห็นคนที่พ่อแม่ช่วยไปได้ดี ไปได้ไกลกว่าเรา ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทุกอย่างมีแม่ผมคอยผลักดัน แต่เราก็อยากใช้สิ่งนั้นกับตัวเองเหมือนกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมอยากรวย (หัวเราะ) ผมทำไม่ได้แบบแม่ ผมยังมีกิเลส อยากใช้ของแบรนด์เนม อยากมีรถสวย ๆ งั้นเราอย่าทำเลยมูลนิธิ
ครอบครัวเราพยายามช่วยเหลือคนไม่มีให้มี ผมอยากช่วยเหลือสังคมในรูปแบบของผม อยากมอบความสุขให้คนที่กดมาฟังมีวันที่ดี อาจจะไม่ได้เป็นรูปธรรมแบบที่แม่ผมทำ แต่มันก็คือทางของผม
จนถึงทุกวันนี้ หลายคนยังบอกแม่เลยว่า เฮ้ย ลูกชายขับรถสปอร์ตเหรอ แต่พ่อแม่ไม่ได้ออกตังค์ให้ผมสักบาทเลยนะ ผมเสียใจเหมือนกัน นี่น้ำพักน้ำแรงของผมนะ เขามองว่าครอบครัวช่วยเหลือสังคม แต่ทำไมลูกชายทำตัวแบบนี้
ผมกดดันมามาก พี่อิสด้วยเหมือนกัน ผมโตมาเป็นน้องเล็กสุดในบ้าน ได้แต่เดินตามหลังเขาในการใช้ชีวิต
รู้ไหมว่าความกดดันของพี่ชายคนโตกับน้องคนเล็กแตกต่างกันยังไง
ผมไม่รู้ว่าพี่อิสรู้สึกขนาดไหนหรอก แต่สำหรับผมคือลูกชายคนโตไม่ได้มีทางที่เลือกได้เยอะขนาดนั้น พ่อแม่ค่อนข้างกำหนดเส้นทางชีวิตให้ลูกชาย แต่พอคนเล็กออกมา เขาคงเห็นว่าคนโตเป็นแบบนี้ เลยต้องการให้อิสระกับลูกที่เกิดมาทีหลังมากขึ้น งั้นคนเล็กก็ลองเป็นอีกทางหนึ่งดู
จากที่พี่อิสเรียนโรงเรียนไทยมาตลอดจนสอบเข้าจุฬาฯ ได้ เขาก็อยากให้น้องชายได้อย่างอื่น คือภาษา เราเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น งั้นก็ไปเรียนที่ญี่ปุ่น เรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม แล้วมันก็เป็นคนละสายจริง ๆ
เพราะแบบนี้ผมถึงทำงานกับพี่อิสในบริษัทเดียวกันได้ เพราะเราเข้าใจเขา ผมเห็นหลายตัวอย่างที่พี่น้องทะเลาะกันเรื่องงาน แต่เราเคารพกันและกันมาก เขามีช่องที่เขาเก่ง เรามีช่องที่เขาทำไม่ได้ ไม่มีการขัดแย้งกันเลย
ต้นกล้าเป็นลูกที่ทำตามแบบแผนที่พ่อแม่วางไว้ไหม
ผมทำทุกอย่างเลยนะ ผมเลือกเชื่อฟังพ่อแม่ แล้วก็คิดว่ามันคือสิ่งที่ดี เพราะเขารู้เยอะกว่า เห็นคนมาเยอะกว่า
ผมไปเรียนนอกเพราะพ่อแม่อยากให้ไป ผมกลับมาไทย มีประสบการณ์การเป็นทหาร เป็นพระ เป็นพนักงานบริษัทที่มั่นคง ก็เพราะเขาอยากให้ผมทำ จนเขาเห็นว่าเราทำแล้วไม่มีความสุข ผมเลยบอกว่างั้นขอทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ แล้วเขาก็เห็นผลลัพธ์ว่า นี่แหละ สุดท้ายแล้วปล่อยให้ลูกทำในสิ่งที่ชอบดีกว่า
เคยมีช่วงวัยที่ต้องเลือกระหว่างการทำตามที่พ่อแม่บอกกับทำสิ่งที่อยากทำบ้างไหม
มีแน่นอนครับ ตอนจบจากเป็นทหาร มีหลายคนชวนให้ผมเป็นทหารต่อ เดี๋ยวให้ยศนายร้อย ผู้หมวด จะได้ทำนู่นนี่นั่น เรารู้ว่าการมียศหรือลำดับขั้นในราชการต่อยอดชีวิตเราได้ไหนต่อไหน แล้วเรามีทักษะที่เขาต้องการคือภาษา ถ้าตัดสินใจทางนั้นคงเป็นเส้นทางที่มั่นคงมาก เพราะทหารมีอำนาจสูงสุดในประเทศนี้แล้ว แต่สุดท้ายเราก็ไม่ไป เพราะเราคงไม่ชอบตัวเองในวันที่มีดาวเยอะ ๆ บนไหล่
ที่บ้านรู้เรื่องนี้รึเปล่า
ผมเล่าให้ฟังจริงจังเลย มีแต่เราที่ไม่เอา ผมกลัวเสียผู้เสียคน ผมจะเป็นแบบนั้นแน่ เพราะผมเป็นคนที่โดนหล่อหลอมโดยคนรอบตัวง่าย ผมไปมาหลายประเทศ ทุกคนฟีดแบ็กผมตลอดเลยว่าคุณเป็นคนที่ปรับตัวง่ายที่สุด แล้วผมก็เชื่อว่าความคิด สิ่งที่ทำ สำเนียงที่พูด มันถูกหล่อหลอมจากคนรอบตัว
มองย้อนกลับไป นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องไหม
ไม่รู้เหมือนกันครับว่าถูกไหม (หัวเราะ) ตอนนี้ผมอาจจะมีดาวเต็มแขน มีคนหิ้วกระเช้ามาไหว้ในวัย 30 ถึงเป้าหมายในชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่ผมไม่ได้ชอบแบบนั้น ผมไม่อยากเข้าไปตรงนั้นได้เพราะแม่หรือเกรงใจลูกครูประทีป เราจะกลายคนที่เหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป ผมไม่ชอบแบบนั้น ผมชอบแข่งขัน ชอบสู้ประชันหน้าแบบเท่าเทียม ผมชอบเดินด้วยตีนตัวเอง
ก่อนมีเรื่องทหารก็มีเหตุการณ์อื่นอีกเยอะครับ แต่ผมไม่เคยเลือกไปสักครั้งเลย ตอนที่ผมอยู่ ม.ปลาย ผมมีเวลาเรียนญี่ปุ่น 3 ปีเพื่อสอบภาษาญี่ปุ่นกับคนญี่ปุ่นเพื่อเข้ามหาลัยที่นั่น ผมไปมหาลัยที่พ่อผมสอนได้ทันที ไปสมัครยังไงคนก็เกรงใจลูกของดอกเตอร์ฮาตะ เรียนจบก็มีคนยื่นงานมาให้ทำเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายผมไม่ไปทางนั้น
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องเจอจากการเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ธรรมดา
ไม่เคยมองว่าการเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ธรรมดาทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเหรอ
ถ้าเลือกทางนั้นก็คงง่าย แต่เราจะภูมิใจกับเส้นทางที่เราเลือกรึเปล่า มันสำคัญตรงนี้
ตอนนี้การเป็นนักเล่าเรื่องคืองานของเรา นี่คือจำนวนคนที่มาดูเราวันนี้เพราะลำแข้งของเรา ไม่มีอำนาจมืดหรือความเกรงใจ เพราะพ่อ เพราะแม่ มีแต่พี่อิส พี่จอร์จ (ปรีโรจน์ เกษมศานติ์) ที่ผลักหลังเราขึ้นไป เขาไม่ได้ดึงเราขึ้นไปวางไว้บนนั้น
ถ้าพี่อิสไม่ประสบความสำเร็จกับการทำยูทูบ คิดว่าคุณจะอยากเป็นยูทูบเบอร์ไหม
ผมก็คงคิดนะ ต่อให้ไม่เห็นพี่อิส
พี่อิสเป็นเหมือนแต้มต่อที่ทำให้คนจำผมว่าเป็นน้องชายพี่อิส แต่ไม่มีใครรู้จักเราหรอก
ทุกวันนี้ผมพูดได้เต็มปากว่ามันน้อยมากแล้วที่คนจะจดจำเราแบบนั้น คนมองเราว่าเป็นพี่ต้นกล้า เป็นคนเล่าเรื่องผีซะเยอะแล้ว
ฟังดูเหมือนช่วงหนึ่งของชีวิตคุณอยากให้คนจดจำคุณในฐานะต้นกล้า
ใช่ครับ มันคือโจทย์แรกในการก้าวเข้ามาในวงการนี้เลย ทำยังไงก็ได้ให้เราเป็นต้นกล้า ให้ต้นกล้าเป็นคนที่ทุกคนรู้จัก ไม่ใช่น้องชายอิสระ ผมใช้เวลานานมาก นานมาก ๆ ในการลองผิดลองถูก นานจน… อืม จนกว่าจะมีโชว์วันนี้ที่ผมขายบัตรทอล์กโชว์ด้วยชื่อของเรา ด้วยรายการที่เราสร้างขึ้นมา แต่เส้นทางชีวิตมันสนุกเพราะมีเป้าหมาย
พอนั่งนึกย้อนไป ที่ผ่านมาเราทำงานด้วยเป้าหมายชัดเจนมาตลอด คือหนึ่ง ทำยังไงก็ได้ให้คนรู้จักเราในฐานะต้นกล้า สอง ทำยังไงก็ได้ให้รายการสนุก
ที่ว่าลองผิดลองถูกมานานหมายถึงอะไร
ตัวตนผมเป็นเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนวิธีการนำเสนอ เพราะถ้าสิ่งที่เราทำคือการขายตัวตน เราก็ไม่ควรจะเปลี่ยน มันคือสิ่งที่ทำให้คนติดตามเรา ในความเป็นเรา ไม่งั้นเขาก็ไปตามคนอื่นได้
ต่อให้ในอนาคตผมทำยูทูบไม่ได้ ไม่มีคนดูแล้ว อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าผมคงไม่อดตาย เพราะเราเชื่อฟังพ่อแม่ ทำให้เรามีอาวุธอยู่ในมืออีกเยอะ ถ้าวันหนึ่งดาบมันบิ่นแล้วเราก็เปลี่ยนไปใช้หอกแทนได้
ตอนนี้ภูมิใจในตัวเองรึยัง
(นิ่งคิด) ยังครับ เดี๋ยวมันจะทำให้ผมขี้เกียจ ผมยังไปได้ไกลกว่านี้
ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเรื่องเงินเลย จนถึงตอนนี้ที่เราพออยู่ได้ รับผิดชอบดูแลชีวิตอื่น ๆ ในบ้านได้ คือจุดที่เราดีใจ แต่ยังไม่ใช่จุดที่เราพอใจ หลังจากนี้อยากทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น เพื่ออีโก้หรือเป้าหมายของตัวเองที่วางไว้ เราอยากไปให้ไกลที่สุด
ผมอยากอยู่ดี ๆ ถูกหวย 40 ล้าน ผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่อู้ฟู่ ผมต้องพึ่งพาตัวเองถ้าอยากรวย แล้วคนที่รวยแล้วเท่านั้นถึงจะพูดว่า รวยไปก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วชีวิตอยู่ได้ดีเพราะรายได้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง
สุดท้ายแล้วเป้าหมายที่อยู่กับผมมาตั้งแต่วัยเด็กคือผมชอบรถ ผมอยากขับรถ GTR เท่านั้น นี่คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเลยที่อยากขับรถคันนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ มันธรรมดามาก แต่ก็ไกลมากกว่าจะเป็นคน ๆ นั้นได้ ถ้าวันนี้เราพอใจแล้วก็คงไม่มีวันไปถึงเป้าหมายนั้นครับ
แล้วพ่อแม่ที่เคยคาดหวังในตัวคุณรู้สึกยังไงที่เห็นคุณในวันนี้
เขาน่าจะโล่งใจขึ้นเยอะ ไม่ได้กังวลเท่าเมื่อก่อน ตอนนี้เป็นอีกสเตปว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน เมื่อไหร่จะมีลูก
พ่อแม่พูดอยู่ตลอดว่าเมื่อก่อนมีแต่คนมาทักครูประทีป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จักครูประทีปแล้ว มีแต่คนมาทักคนข้าง ๆ พ่อผมเพิ่งพูดว่า โอ้โห ต้นกล้านี่มีคนมาทักตลอดเลย (เขาพูดไทยสำเนียงญี่ปุ่นเลียนเสียงพ่อตัวเอง)
คืนที่ 3
ในวัย 25 ปี ต้นกล้าที่แม่บ่มเพาะเลี้ยงดูเป็นหนี้หลักล้านบาทจากการเปิดบริษัทนำเข้าสินค้า ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาในวันนี้จึงให้ความสำคัญกับปากท้อง เพราะกัดฟันผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตจนเพิ่งตั้งตัวได้ในวัย 30 ปี
“เราล้มมาแล้ว เรารู้ว่าคนที่ล้มมันเจ็บขนาดไหน เราตกไปจนถึงก้นบึ้ง มันจะมีอะไรอีกนอกจากดีดกลับขึ้นมา”
สิ่งหนึ่งที่ต้นกล้ามักจะตอบเสมอตามรายการสัมภาษณ์ต่าง ๆ คือการเรียกงานของเขาว่าการหากินกับผี
“ผมหากินกับเรื่องเล่าที่สนุกของผี” เขาช่วยขยายความให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย “ถ้าผมเล่าเรื่องจริง เกี่ยวกับความกลัวหัวหน้าในบริษัท คนฟังคงสนุกแหละ แต่เขาจะอยู่ในโลกความเป็นจริงมาก ๆ จนรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้หาได้รอบตัวเขา ผมอยากเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่คนฟังรู้สึกร่วมได้”
กว่าจะออกมาเป็น คืนพุธ มุดผ้าห่ม 1 ตอน เขาผ่านการค้นหาเรื่องผีมามากกว่า 10 เรื่อง เคยจมดิ่งกับงานจนเหมือนร่างไร้วิญญาณ ร่างกายซูบผอม ผมยาวเฟื้อย หนวดเครารุงรัง ไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปข้างนอก ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ารายการความยาวหลายชั่วโมงของเขา ผสมผสานเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกกับเรื่องระทึกขวัญฟังสบายไว้อย่างกลมกล่อม เพราะเขารู้ดีว่าการเสพเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลามันเป็นยังไง
นอกจากนี้ แต้มต่อจากการไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นก็ช่วยสั่งสมประสบการณ์หลอน ซึมซับวัฒนธรรมผี ๆ แบบฉบับญี่ปุ่นไว้มากมาย ทำให้เขาหยิบยกเรื่องสยองขวัญจากประเทศเกาะมาเล่าได้อย่างถึงใจมากกว่าช่องไหน ๆ
แต่แรกเริ่มเดิมที ต้นกล้าก็ไม่ใช่คนเล่าเรื่องเก่งกาจอะไรนัก จุดอ่อนหนึ่งของลูกครึ่งญี่ปุ่นคือการมีคลังศัพท์ภาษาไทยน้อย เขาเองเคยพยายามฝึกเล่าเรื่องเหมือนพิธีกรอยู่ช่วงหนึ่ง กระทั่งคิดได้ว่าคนติดตามเขาเพราะเข้าใจเนื้อหา ต้นกล้าจึงเปลี่ยนจุดอ่อนของตัวเองให้กลายเป็นจุดแข็งที่ใครยากจะเหมือน นั่นคือการเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงธรรมดา ไม่มีคำบรรยายอะไรมากความ แต่นึกภาพตามได้
เมล็ดพันธุ์ของต้นกล้าเติบโตจนเป็นนักเล่าเรื่องที่ทุกคนให้การยอมรับ งอกเงยไปพร้อม ๆ กับรายการของตัวเองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกปี แม้ไม่ใช่ช่อง RUBSARB เขาก็ถูกเชื้อเชิญไปเล่าเรื่องตามช่องอื่น ๆ อยู่เสมอ ยืนยันได้ว่ามีคนรอฟังเรื่องเล่าของเขาอยู่ทุกที่
ต้นกล้าบอกกับเราตั้งแต่เริ่มต้นสนทนาว่า คืนพุธ มุดผ้าห่ม ไม่ใช่แค่รายการสำหรับเขา
เขาขยับขยายมาจัดทอล์กโชว์ครั้งแรกในชีวิตกับคนดูเพียง 250 คนในปี 2022
ปีต่อมาเขาพา คืนพุธ มุดผ้าห่ม บุกเวทีหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) กับไมค์ 1 ตัวต่อหน้าคนดูจำนวน 2,500 คน
คืนพุธ มุดผ้าห่ม : 3rd Eye View ปีนี้ยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหน ๆ เพราะทุกคนจะไม่ใช่แค่ฟังเต็ม ๆ หู แต่ยังได้ดูเต็ม ๆ ตา เขาพาพี่น้อง RUBSARB รวมถึงเพื่อนพ้องในวงการมาขึ้นเวที เปลี่ยนหอประชุมใหญ่ให้กลายเป็นโรงละคร เพิ่มดีกรีความหลอนด้วยแสง สี เสียงที่พร้อมกล่อมประสาทให้คนฟังนั่งจิกขา
เพราะ คืนพุธ มุดผ้าห่ม คือเครื่องพิสูจน์ คือนามสกุลต่อท้าย คือน้ำเสียง คือใบหน้า ของชายที่ชื่อ ต้นกล้า ฮาตะ
สิ่งนี้เขาไม่ได้บอกหรอก แต่ไม่ต้องมีสัมผัสที่ 6 เราก็สัมผัสได้
คืนที่ 4
เรามีโอกาสไปติดตามการซ้อมรอบสุดท้ายของต้นกล้าก่อนขึ้นแสดงจริง 1 วัน
สมอย่างที่เขาโฆษณา ต้นกล้าจำลองงานครั้งนี้ให้คล้ายกับบ้านผีสิง มีดวงตาขนาดใหญ่กลางเวทีทำหน้าที่แสดงภาพ บนเวทีมีสิ่งของโยงใยกับนักแสดงเกือบ 10 ท่านสำหรับการเล่าเพียง 1 เรื่อง
อิสระ จอร์จ จ๊อบ วัฒน์ ฮ่องเต้ ว่าน เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราพบเจอในวันนี้ แม้บางคนไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน แต่ก็ช่วยกันลองผิดลองถูกอย่างเต็มใจ เพื่อทำให้งานของน้องชายคนเล็กออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
เรื่องผีของต้นกล้าสนุกสนานได้เพราะคนเหล่านี้ ชีวิตของต้นกล้าก็เช่นกัน
ที่นั่งคนดูมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสาดส่องบนเวที ปรากฏภาพต้นกล้าสวมชุดสูทสีแดงเข้ม
เขาอาจจะตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เก้ ๆ กัง ๆ บางครั้งเพราะยังจำตำแหน่งยืนไม่แม่นดี แต่จะให้เล่าเรื่องใหม่อีกกี่ทีก็ไหลลื่น แม้ไม่มีบทในมือ ราวกับมันแทรกซึมอยู่ในลมหายใจ
“เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละครับ”