“เหลืออีกไม่ถึงสามร้อยวัน การแข่งขันกีฬา Tokyo Olympic 2020 จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
พอได้รับเมลที่จั่วหัวมาแบบนี้ เราก็อดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ ลองคำนวณดูดีๆ ก็อีกตั้งเกือบปี แต่ที่ญี่ปุ่นเขาเริ่มคึกคัก มีงานนิทรรศการ อีเวนต์ รายการโทรทัศน์ และสินค้าต่างๆ ให้ทยอยเสพและสะสมมาสักระยะ (ใหญ่มาก) ถ้าเข้าไปดูในเว็บไซต์ Tokyo 2020 จะเห็นว่าเขากำลังเคานต์ดาวน์กันหลักวินาทีเลยทีเดียว
แม้ Tokyo Olympic 2020 คือการเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่น แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างดูฮึกเหิมเต็มที่ หันไปทางไหนก็เจอการก่อสร้างปรับปรุงอาคาร สนามกีฬา ถนนหนทางต่างๆ ชาวบ้านชาวช่องก็ตอบรับทุกอีเวนต์อย่างกระตือรือร้น เสียดายที่เราไม่มีโอกาสสำรวจบรรยากาศเมื่อ 56 ปีก่อนด้วยตนเองแบบนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะลุยกันสุดหัวใจ เพราะสำหรับญี่ปุ่น Tokyo Olympic 1964 คือโอกาสสำคัญในการรีแบรนด์ภาพลักษณ์ของประเทศ หลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945
เมื่อเป้าหมายที่ใฝ่ฝันซับซ้อนเกินกว่าชัยชนะและมิตรภาพ Tokyo Olympic 1964 จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของญี่ปุ่นในหลายๆ แง่มุม เราขอยืมไทม์แมชชีนของโดราเอมอน Special Ambassador ของ Tokyo 2020 ย้อนอดีตไปดูว่า นอกจากจะเป็นการจัดการแข่งขันในเอเชียครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้ายที่กรรมการจับเวลาแบบ Hand Timing โตเกียวโอลิมปิก 1964 มอบอะไรให้ญี่ปุ่นบ้างดีกว่า
Global Identity คอนนิจิวะ
ว่ากันตามตรง ด้วยสถานภาพประเทศแพ้สงคราม ญี่ปุ่นในตอนนั้นทั้งจนและไม่มีคนรัก การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกคือโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์ให้ชาวโลกรับรู้ว่า ฉันเปลี่ยนไปแล้ว! ฉันเป็นประเทศที่ทันสมัย เป็นมิตร และรักสันติภาพนะ!
วิธีนี้ญี่ปุ่นไม่ได้ใช้อยู่คนเดียว เพื่อนร่วมรบอย่างอิตาลีและเยอรมนีก็เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกหลังสงครามสิ้นสุดลงเช่นเดียวกัน แต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่กวาดรางวัลจากการจัดงานมาได้ถึง 3 รางวัล ได้แก่ The Olympic Cup, The Count Alberto Bonacossa Trophy ซึ่งอธิบายง่ายๆ คือเป็นรางวัลที่มอบให้หน่วยงานและองค์กรที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาโอลิมปิก และ The Olympic Diploma of Merit รางวัลที่มอบให้แก่คนสร้างผลงานโดดเด่นด้านกีฬาหรือส่งเสริมโอลิมปิก ซึ่ง Kon Ichikawa ผู้กำกับดัง ชนะใจกรรมการด้วยผลงานสารคดีสร้างชื่ออย่าง Tokyo Olympiad ที่เล่าเรื่องราวของนักกีฬา
ไม่รู้ว่าตอนนั้นชาวโลกจะเริ่มมองญี่ปุ่นในแง่ดีขึ้นหรือยัง แต่พูดได้ว่าความสามารถในการจัดการเป็นที่ยอมรับในระดับโลกตั้งแต่ตอนนั้น
ความทันสมัยก็มา
เอาล่ะ เมื่อเป้าหมายคือการประกาศให้ชาวโลกรับรู้ถึงความเจริญของเรา สิ่งที่สื่อสารได้ง่ายที่สุดคือ โครงสร้างพื้นฐานของเมือง
ว่ากันว่าญี่ปุ่นใช้งบประมาณ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการจัดงานครั้งนี้ (แต่ข่าวเม้าบอกว่า จริงๆ ทุ่มเงินไปกว่าพันล้านแน่ะ) เดาไม่ยากว่าคงหมดไปกับการสร้างสนามกีฬา หมู่บ้านนักกีฬา การพัฒนาถนนและระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ เช่น มีรถไฟสายใหม่ถือกำเนิดขึ้นมากมาย สนามบินฮาเนดะถูกปรับปรุงให้ทันสมัย และที่ต้องร้องกรี๊ดและปรบมือให้รัวๆ คือ ชินคันเซ็น! ซึ่งเริ่มให้บริการเส้นทางจากโตเกียวไปโอซาก้าเพียง 9 วันก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น


ส่วนสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นในยุคนั้นคือ Yoyogi National Gymnasium ฝีมือของ Kenzo Tange ที่หล่อเกินหน้าเกินตาสนามกีฬาหลักและ Olympic Village นอกเหนือจากเรื่องดีไซน์หลังคาโค้งเท่ๆ ยังมีงานวิจัยที่บอกว่าสถานที่ตั้งของสนามกีฬาโยโยกิยังมีนัยสำคัญทางวัฒนธรรมด้วย เพราะตั้งใจสร้างใกล้กับศาลเจ้า Meiji แห่งฮาราจูกุ ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่ที่สื่อถึงความรักชาติของคนญี่ปุ่น ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ยุคโมเดิร์น เมื่อมองจากใจกลางศาลเจ้าผ่านประตูไปทางทิศใต้ จะเห็นสนามกีฬาแห่งนี้ได้อย่างพอดิบพอดี



นอกจากนี้ ยังเน้นเรื่องความสะอาด เขาส่งเสริมให้บ้านเมืองสะอาดกริ๊บ ซุมิดะ แม่น้ำสายหลักที่เป็นหน้าตาของกรุงโตเกียวก็ได้รับการฟื้นฟู จากที่เคยสกปรกส่งกลิ่นเหม็น ก็กลายเป็นแม่น้ำใสสะอาดให้นักท่องเที่ยวอย่างเราไปนั่งเรือชมวิว พายแคนูเล่นอย่างรื่นรมย์
เมื่อเนรมิตเมืองใหม่เสร็จแล้ว ชาวญี่ปุ่นเลือกโชว์ของดีให้นานาชาติเห็นแบบเนียนๆ ด้วยการวางรูทการวิ่งคบเพลิงและการแข่งขันมาราธอนที่ผ่านความเจริญที่ว่าทั้งหมด เขาบอกว่า แค่มีสื่อสักเจ้าถ่ายฟุตเทจติดภาพถนนยางมะตอยของทางด่วนที่เพิ่งสร้างใหม่ไปออกทีวีก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว
จัดงานก็ปัง ฮาราจูกุก็ป๊อป
ขอให้ล้างภาพความฮิป คูล ไฮแฟชั่น วัยรุ่นจี๊ดใจของฮาราจูกุในปัจจุบันออกไปก่อน สมัยก่อนนู้น ฮาราจูกุยังเป็นเพียงย่านเงียบสงบที่มีศาลเจ้าเมจิเป็นแลนด์มาร์ก
สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว เมื่อสนามแข่งและหมู่บ้านนักกีฬามารวมตัวกันอยู่แถวย่านชิบุยะ ฮาราจูกุ จึงทำให้คนหลั่งไหลมาย่านนี้จำนวนมาก ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศ ร้านรวงกรุบกริบก็เริ่มมาเปิดตัวแถวย่านนี้มากมาย ด้วยความหวังว่าจะถูกค้นพบและเป็นที่พูดถึงโดยสื่อหรือคนมีชื่อเสียงสักคนหนึ่ง ยิ่ง NHK สื่อยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น สร้างตึกออฟฟิศใหม่แถวนั้น ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้ย่านนี้ แม้การแข่งขันจบลงไปแล้ว ย่านนี้ก็ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง ศิลปินหน้าใหม่ไฟแรง ชาวคอสเพลย์ คนชิคสายแฟชั่น เลือกมารวมตัวกันแถวนี้ เพราะเป็นย่านที่มีโอกาสจะได้พบแมวมอง จนในที่สุด ฮาราจูกุก็กลายเป็นแหล่งรวม Subculture ที่โดดเด่นในยุค 90


นักกีฬาได้เหรียญ ประเทศได้หน้า ประชาชนได้วันหยุด
พูดถึงแง่กีฬา ญี่ปุ่นในตอนนี้ก็นับได้ว่าแกร่งไม่หยอก ทั้งทีมฟุตบอล สเกตน้ำแข็ง ยูโด ฯลฯ ซึ่งก่อนเป็นเจ้าภาพอาจจะไม่โดดเด่นนัก (แต่ก็ไม่แย่นะ เพราะโอลิมปิก 1960 ญี่ปุ่นกวาดเหรียญทองไป 4 จากทั้งหมด 16 เหรียญที่คว้ามาได้)
ในปี 1964 มีกีฬา 2 ประเภท ที่ถูกบรรจุเพิ่มคือ ยูโด (ชาย) และวอลเลย์บอล (ชายและหญิง) ซึ่งทีมวอลเลย์บอลหญิงสร้างผลงานได้ดีมาก นอกจากจะคว้าเหรียญทองมาได้ ยังถูกขนานนามว่า ‘แม่มดแห่งตะวันออก’ อีกต่างหาก รวมยอดโอลิมปิกปีนั้น ญี่ปุ่นกวาดเหรียญไปได้ทั้งหมด 29 เหรียญ ซึ่งเป็นเหรียญทองถึง 16 เหรียญ
หลายคนบอกว่า เพราะเป็นเจ้าภาพไงล่ะ ซึ่งก็คงจริงบางส่วน แต่งบส่วนหนึ่งของเงิน 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ถูกนำมาทุ่มอัดฉีดให้นักกีฬาไม่น้อยเหมือนกัน บวกกับพลังความอดทนพยายามแบบเวรี่เจแปนนีสและความกดดันบนบ่าที่ต้องช่วยสร้างชื่อในทางที่ดีให้ประเทศ เราไม่แปลกใจเลยถ้านักกีฬาเหล่านั้นจะยิ่งกระหายชัยชนะและขัดเกลาทักษะของตัวเองมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
แม้จะมีคำครหาบ้างและหลายคนยังชิงชัง แต่เอาเป็นว่าญี่ปุ่นค่อนข้างแฮปปี้กับผลที่ออกมา จึงประกาศให้วันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันจัดพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกเป็นวันหยุดประจำชาติ โดยตั้งชื่อว่า Tai-Iku-No-Hi (แปลง่ายๆ ว่า วันกีฬาหรือวันพละศึกษา) ต่อมาในปี 2000 เปลี่ยนเป็นระบบ Happy Monday โดยใช้ชื่อเดิม แต่ให้หยุดทุกวันจันทร์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมแทน และพิเศษสุดสำหรับปี 2020 รัฐบาลตัดสินใจเติมความโมเดิร์นให้ไทอิคุโนะฮิ ด้วยการเรียกว่า สปอร์ตเดย์ อย่างเป็นทางการ โดยเลื่อนจากวันจันทร์ที่ 2 ของเดือนมาเป็นวันพิธีเปิดโอลิมปิก 2020 คือวันที่ 24 ก.ค. แทน (เลื่อนวันที่เฉพาะปีหน้า แต่จะเปลี่ยนชื่อเรียกถาวร) ดังนั้น ปีหน้าชาวญี่ปุ่นยิ้มแป้นเลย เพราะจะมีวันหยุดยาวช่วงหน้าร้อน 4 วัน เป็น Silver Week ตั้งแต่ 23 – 26 ก.ค. 2020

ถ้ามองในแง่ของการล้างภาพจำในช่วงสงคราม การจัดโอลิมปิกแค่ครั้งเดียวอาจจะยังไม่ได้ผลทันใจขนาดนั้น แต่ถือเป็นก้าวสำคัญให้ญี่ปุ่นรีแบรนด์ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การเลือกคนวิ่งคบเพลิงจากวันเกิดที่ตรงกับวันที่โดนระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า การใช้ดีไซเนอร์คนเดียวกันออกแบบสนามกีฬาและ Hiroshima Peace Memorial ซึ่งมีดีเทลบางอย่างที่สอดคล้องกัน รวมถึงการผลักดันให้ Hiroshima Peace Memorial เป็นมรดกโลกในปี 1999 (ซึ่งกระบวนการยื่น การอภิปรายต่างๆ ยืดเยื้อหลายปีและมีดราม่าไม่น้อย) ส่วนในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว ถือว่าเห็นผลชัดและไวกว่า เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจาก 350,000 คน ในปี 1964 ทะลุ 800,000 คน ในปี 1970 เราว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นที่รักของนักท่องเที่ยวยาวนานถึงปัจจุบันก็เพราะความสะดวกสบายในการเดินทางนี่แหละ
มารอดูกันต่อไปดีกว่าว่า Tokyo Olympic 2020 มีความหมายอย่างไรกับคนญี่ปุ่น ในปัจจุบันที่ภาพลักษณ์เรื่องเทคโนโลยี กีฬา และป๊อปคัลเจอร์ โดดเด่นกว่าภาพจำในอดีต