Thirty-Nine (2022)
Written : Yoo Yeong-ah
Directed : Kim Sang-ho
Starring : Son Ye-jin, Jeon Mi-do, Kim Ji-hyun
Country : South Korea
Genres : Korean, Romantic Drama
Episode : 12
Original Network : JTBC
*บทความนี้เปิดเผยใจความสำคัญของเรื่อง
Thirty-Nine เป็นซีรีส์ความยาว 12 ตอนที่ออกฉายสัปดาห์ละ 2 ตอนพร้อมกันทั้งทางช่อง JTBC ในเกาหลีใต้ และฉายผ่านทาง Netflix จนถึงวันนี้ก็ออกอากาศมาได้ครึ่งทางแล้ว
ซีรีส์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเพื่อนสาววัย 39 ปี 3 คนที่มีสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งกว่าครอบครัว และยังคงตัวติดกันเหมือนตอนอายุ 18 มีความสุขกับการกินโซจูกับต๊อกบอกกี มีความรัก และกำลังเผชิญกับการพลัดพราก
ชามีโจ (รับบทโดย ซนเยจิน) โจชานยอง (รับบทโดย จอนมีโด) และจางจูฮี (รับบทโดย คิมจีฮยอน) สามสาวเพื่อนซี้ที่แม้จะไม่ได้คาดคิดว่ามิตรภาพจะยืดยาว แต่ถึงตอนนี้ พวกเธอก็คบหาและอยู่เคียงข้างกันมา 20 ปีแล้ว
ในวัยเฉียดเลข 4 พวกเธอขยันไปงานศพ เลี่ยงงานแต่ง ไม่ไปงานวันเกิดลูกเพื่อน “เพราะคงไม่มีวันได้ซองคืน” โจชานยองกล่าว
ช่วงอายุปลายเลข 3 การงาน ความรัก ความสัมพันธ์ ของทั้งสามสาวอยู่ในสภาวะอยู่ตัว (ที่ไม่ได้แปลว่าลงตัว) ชีวิตผ่านแดดลมฝนมาจนมีเรื่องราวมากมาย และค่อนข้างจะเข้าใจชีวิตและรู้จักตัวเองดี เหมือนกำลังเดินอยู่บนยอดภูที่มีพื้นราบให้เดิน หลังจากเพิ่งปีนทางชันที่สุดมาได้สำเร็จ
ซีรีส์เรื่องนี้เลยให้รสหวานแบบน่าอิจฉา แต่ก็ยังผสมรสขมปร่ามาด้วยแบบชวนน้ำตาไหล

ถ้าวัย 20 คือความเบ่งบานของชีวิต วัย 30 ก็คงจะเป็นรสชาติปน ๆ กันแบบนี้ จึงเป็นเหตุให้คนในวัยใกล้เคียงกับตัวละครในเรื่องจะยิ่งอินและมีน้ำตาปริ่ม ๆ ให้เหตุการณ์ในเรื่องมากเป็นพิเศษ
ความอิสระทั้งจากภาระผูกพัน มีรายได้พอจะเหลือจากการใช้จ่ายประจำวัน การมีความรับผิดชอบในระดับที่บริหารจัดการได้ และการเลยเส้นตายที่สังคมขีดไว้ตั้งแต่อายุ 30 มานานแล้ว ทำให้มีโจ ชานยอง และจูฮี เป็นสาววัย 39 ที่
จะทำอะไรก็ได้
จะย้อนแย้งแค่ไหนก็ได้
เช่น การชวนกันไปเดินป่า แล้วก็พร้อมใจกันหันหลังกลับ เพียงเพราะเจอป้ายเตือนว่าให้ระวังผึ้ง จึงให้ข้ออ้างตัวเองว่ามันอันตรายนะ ข้อเท้าก็เพิ่งเคล็ดไปด้วย แล้วก็ไปหาอะไรกินกันแทน
เป็น ‘พฤติกรรมยอมแก่โดยสมัครใจ’ ของวัยที่ทุ่มเงินไปกับสกินแคร์และฝีมือหมอ เพื่อเหนี่ยวรั้งร่องรอยของเวลาให้อยู่ห่างไกลใบหน้ามากที่สุด

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะคิดว่า Thirty-Nine คือซีรีส์โลกสวยราวกับฤดูใบไม้ผลิ แต่แล้วก็มีเหตุที่ทำให้นี่กลายเป็นซีรีส์ดราม่า ตะโกนสปอยล์โครมใหญ่ให้ฟังเลยว่า ซีรีส์เปิดฉากแรกมาด้วยภาพงานศพ แถมยังเผยรูปหน้าศพให้เห็นกันชัด ๆ ว่าใครจะเป็นผู้ต้องโบกมือลาจากโลกนี้ไป
เวลาเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ จึงทำให้พวกเธออยากใช้มัน ให้เพื่อนที่รักกลายเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ร่าเริงที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่วนคนที่กำลังจะหมดเวลาชีวิต ก็ยังคิดสะสางสิ่งที่ติดค้างให้เพื่อนเช่นกัน
หากคุณคือมนุษย์เดินดินผู้ไม่จำกัดเพศสภาพ ไม่ว่าอยู่ในวัยใกล้เคียงหรือเลยเลข 3 ช่วงปลายไปแล้วก็ตาม เราอยากชวนพิจารณาคาแรกเตอร์ตัวละครหญิงทั้งสามในซีรีส์ Thirty-Nine ดูซิว่าในช่วงวัยนั้น คุณจะเลือกดำเนินชีวิต หรือหยิบยืมความคิดของใครมาใช้ แล้วจะพบว่า ไม่ว่าเลข 4 ความตาย หรือการต้องมีชีวิตอยู่โดยที่คนข้าง ๆ หายไป มันอาจน่ากลัวน้อยลงได้ เพียงแค่มี ‘มิตรภาพ + ความรักที่ดี’ อยู่ใกล้ตัว
ชามีโจ : แพทย์หญิง + นักกอล์ฟ

ชามีโจ คือผู้อำนวยการคลินิกผิวหนังย่านกังนัม เธอมีงานอดิเรกคือการตีกอล์ฟ และเอาจริงเอาจังถึงขั้นจะลางาน 1 ปี เพื่อไปเรียนตีกอล์ฟที่อเมริกา
ก็ชีวิตมันราบเรียบ การงานก็ประสบความสำเร็จขั้นสุด ไม่มีอะไรใหม่ ๆ ให้ท้าทาย ผู้ชายก็ไม่มี แถมยังมีภาวะทางใจที่ไม่ค่อยปกติ เลยให้การหมกมุ่นกับงานอดิเรก รับหน้าที่เติมสีสันให้ชีวิตแบบไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
จนกระทั่งได้เจอกับ คิมซอนอู คนที่มาทำให้ดอกโบตั๋นเบ่งบานอีกครั้ง
คิมซอนอู เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนหลังเฉลยว่าเป็นคุณหมอโรคผิวหนังดีกรีนักเรียนนอก โผล่เข้ามาในชีวิตชามีโจแบบงง ๆ แถมมีพลังทำลายล้างสูงด้วยความเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี มีเวลาให้ จริงใจ แถมสนุกแล้วก็ช่างสรรหาวิธีมาเอนเตอร์เทน
คิดดูว่าวันที่เคลียร์งานตอนดึกอยู่เงียบ ๆ การมีคนเห็นไฟที่ออฟฟิศยังเปิดแล้วโผล่เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน พร้อมสมุดระบายสี กระดาษพับโอริกามิ หรือหนังสือคัดลายมือคำคมดี ๆ มาชวนเล่น มันน่ารักขนาดไหน
เจอแบบนี้เข้าไปใจคงสั่นไหว จนทำให้ความงานยุ่ง เข้าถึงยาก ไม่มีเวลา หรือข้ออ้างล้านแปดของผู้หญิงบ้างานทั้งหลายหายวับไปในพริบตา
การมีคนที่เป็นเหมือนจุดพักบนทางหลวงให้ได้กลับมาเป็นตัวเอง ในวันที่ชีวิตวิ่งผ่านไปเร็วจนหายใจไม่ทัน หรือวันที่เป็นทุกข์จัด ๆ แล้วมีคนชวนปลดปล่อยด้วยการเล่นเกม ต่อด้วยกินบะหมี่ถ้วยกับปลาเส้นเหมือนเวลาไปร้านเกมวัยเด็ก อย่างกับเป็นคนไม่มีภาระ ไม่ต้องกังวลแคลอรี่
ช่างเป็นความสบายใจ แบบไม่ขออะไรมากกว่านี้อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้เราจึงเข้าใจทุกอย่างเมื่อมีโจบุกไปหาคิมซอนอูถึงบ้าน ไม่ว่าจะในวันที่กังวลว่าเขาจะป่วย หรือเมื่อเธอต้องการคนเคียงข้าง
ฉากที่ชอนอูลุกออกจากการนอนเครียดอยู่บนเตียงมาแบบเยิน ๆ พอเปิดประตู แล้วเจอมีโจยืนอยู่ เป็นฉากเล็ก ๆ ที่ทำเอาเราน้ำตาไหลและสัมผัสได้ถึงความอุ่นใจ สบายใจจากการโผกอดของชอนอู
โจชานยอง : ครูสอนการแสดง + ผู้ป่วยระยะสุดท้าย

โจชานยอง เป็นครูสอนการแสดงผู้รู้ว่าความรักคืออะไร แต่เธอกลับใชัชีวิตโดยยอมโดนแปะป้ายจาง ๆ ว่าเป็นชู้ เพราะก่อนหน้านี้ เธอเชื่อว่ายังมีเวลาอีกมากมายเพื่อรอให้คนที่รักหย่าขาดจากภรรยา (ผู้มาทีหลัง) และเขากับเธอก็จะได้ครองคู่กันอย่างที่มันควรจะเป็น
“สายตาพี่ก็บอกว่าชอบฉันซะขนาดนั้น ทำไมพี่ถึงไม่ทำอะไรเสียที” ชานยองบอก คิมจินซอก ผู้บริหารบริษัทดูแลศิลปินและพี่ชายคนสนิท ผู้มารู้หลังจากแต่งงานแล้วหลายปี ว่าลูกที่เกิดจากภรรยา ไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ อย่างที่เขาเข้าใจตอนตกลงแต่งงานกับเธอ แต่ก็ยังลังเลที่จะหย่า แม้จะห่วงใยและอาทรโจชานยองแบบปิดไม่มิด
ชานยองกับจินซอกมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เป็นความรักที่ไม่ลงตัวแบบผิดที่ไม่ถูกเวลามาตลอดช่วงอายุ 30 ของเธอ
เธอบอกกับมีโจว่า มั่นใจว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อจินซอกคือความรัก แม้เพื่อนรักจะไม่เห็นด้วย และแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยนั้นมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ชีวิตก็ไม่ได้ยาวนานอย่างที่คิด หนึ่งในพฤติกรรมยอมแก่โดยสมัครใจของสามสาว คือการยกโขยงกันไปตรวจร่างกาย คนที่โชคร้ายพบความผิดปกติก็คือชานยอง เธอป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะที่ 4 มีโอกาสรอดชีวิตเพียง 0.8 เปอร์เซ็นต์
วันที่ชานยองตั้งใจจะบอกข่าวนี้กับคิมจินซอก ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ผิดที่ไม่ถูกเวลาอีกครั้ง เพราะเขามาหาเธอด้วยข่าวดีที่รอคอยมานับสิบปีว่า เขาตัดสินใจหย่าขาดจากภรรยาแล้ว
ฉากความผิดหวังที่จังหวะเวลาไม่เคยเข้าข้างเขาและเธอ เรียกน้ำตาจากคนดูได้แบบท่วมท้น จากการร้องไห้แบบไม่ฟูมฟาย แต่เจ็บลึกจนแทบขาดใจ
การกอดกันแบบไม่รู้ว่าใครต้องปลอบใจใคร แต่เป็นกอดที่บอกว่าคนที่ทำร้ายเราครั้งนี้คือโชคชะตา

นอกจากความสัมพันธ์ชายหญิงที่เค้นน้ำตาคนดูไปแบบไม่มีพัก ยังต่อเนื่องกันด้วยฉากเมื่อเพื่อนรักทราบข่าวร้าย มีโจ จูฮี และชานยอง ต่างพังทลายไม่แพ้กัน
เพื่อนรักสามคนที่ตัวติดกันมา 20 ปี ล้วนคุ้นเคยกับบุคคลิก จุดอ่อน จุดแข็งของเพื่อนแต่ละคนเป็นอย่างดี แต่ถึงจะรู้ดีขนาดไหน ความสัมพันธ์ของเพื่อนสามคนนี้ก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา
พวกเขาทะเลาะกันบ้าง ด่าทอกันแรง ๆ บ้าง มีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็ปรับความเข้าใจและพูดความรู้สึกของตัวเองกันแบบตรงไปตรงมาทุกครั้ง
ผลัดกันง้อ ผลัดกันให้อภัย ผลัดกันส่งกำลังใจ และตัดสินใจร่วมกันว่า จะทำให้โจชานยอง เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ร่าเริงที่สุดในประวัติศาสตร์
จางจูฮี : เมเนเจอร์ + น้องเล็ก

จางจูฮี ผู้จัดการเคาน์เตอร์ขายเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า แม้ในเวลางานเธอจะเป็นเมเนเจอร์คนเก่งที่จัดการปัญหาจากลูกค้าได้สารพัด แต่เมื่ออยู่กับชาวแก๊ง เธอคือน้องเล็กผู้อ่อนต่อโลก ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง และเป็นคนที่เพื่อน ๆ มักจะเป็นห่วงอยู่เสมอ
จูฮีคือคนที่คอยดับไฟร้อน ๆ เวลาที่อีกสองคนทะเลาะกัน ด้วยวิธีแบบจูฮี จูฮี อย่างตอนที่ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรง เพราะชานยองตัดสินใจจะไม่เข้ารับการรักษา
สายจากจูฮีที่โทรมาดีใจยกใหญ่บอกว่าตนถูกลอตเตอรี่ ซึ่งนับเป็นความโชคดีครั้งแรกในชีวิต ช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง เพราะเพื่อนทั้งสองที่ไม่อยากทำให้จูฮีที่กำลังดีใจอยู่ต้องมาเศร้ากับเรื่องนี้
และหลังจากแจ้งข่าวร้าย ชานยองยังต้องบอกให้มีโจไปหาจูฮีที่ห้าง แทนที่จะมาเป็นห่วงเธอ เพราะรู้ดีว่าจูฮีต้องเอาแต่ร้องไห้ทั้งวันแน่ ๆ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
อีกหนึ่งเรื่องที่จูฮีสร้างความหนักใจให้เพื่อน ๆ คือเธอคนนี้เป็นโสดมาทั้งชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งก็มีผู้ชายที่ชาวแก๊งมองการณ์ไกลว่าคนนี้แหละ ที่จะมาทำให้ดอกรักผลิบานในใจเพื่อนได้ แถมเขายังทำให้จูฮีเข้มแข็งขึ้นอีกด้วย
พัคฮยอนจุน เป็นเจ้าของร้านและเชฟประจำร้านอาหารจีนใกล้บ้านจูฮี เขาเป็นหนุ่มรุ่นน้อง ซึ่งถ้าคูณอายุจูฮีด้วย 0.8 ตามสูตรของเขา ก็น่าจะอายุเข้ากันได้พอดิบพอดี
วันหนึ่งฮยอนจุนเล่าให้ฟังว่า เขาลาออกจากงานในโรงแรมเพื่อออกมาเปิดร้านของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่จะได้เป็นหัวหน้าเชฟอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็ต่อว่าเขา มีแต่จูฮีที่ชื่นชมและมองมันเป็นความกล้าหาญ
ก็คงเป็นเพราะแรงบันดาลใจนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้จูฮีกล้าถอดป้ายชื่อติดหน้าอกวางบนเคาน์เตอร์และลาออกจากงานที่ไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขได้ในที่สุด
Thirty-Nine
วัย 39 เป็นวัยที่กราฟชีวิตไม่พุ่งเร็วเหมือนช่วง 20 กลาง ๆ ถึง 30 ต้น ๆ
ช่วงนั้นหลายคนทุ่มเทให้กับงาน บางคนก็ทุ่มเทให้กับความรัก เหมือนกับว่ามันเป็นช่วงเวลาของชีวิตที่ต้องเก็บเกี่ยวและมีเส้นตายให้ต้องเชื่อฟัง แล้วพอหันหลังกลับมา ก็พบว่าเวลาได้พาสิ่งสำคัญในชีวิตอย่างครอบครัว ตัวตน ความหนุ่มสาว และมิตรภาพ หล่นหายไประหว่างทางเสียแล้ว
โชคดีที่มีโจ ชานยอง และจูฮี ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อฝุ่นตลบหายไป พวกเธอจึงยังมีกันและกันในวันที่ใครก็ไม่คาดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้
เมื่อรู้ว่าเวลาที่จะได้อยู่กับชานยองมีจำกัด มีโจตัดสินใจไม่ไปเรียนตีกอล์ฟที่อเมริกา แต่เลือกใช้ 1 ปีที่ลาพักผ่อนเพื่อมาดูแลเธอ ส่วนจูฮีตัดสินใจยกโชคดีครั้งใหญ่ครั้งแรกในชีวิตให้ชานยองทั้งน้ำตา เธอบอกว่า “แกเอาไปนะ แล้วอยู่ต่ออีก 4 ปี เพราะนี่มันรางวัลที่ 4 ไง”
แม้จะไม่สามารถช่วยให้โรคร้ายหายไป แต่การมีคนร่วมร้องไห้ไปด้วยกัน ก็น่าจะทำให้ไม่รู้สึกเดียวดายเกินไปนัก

มีโจเคยเจ้ากี้เจ้าการให้ชานยองและจูฮีมาเป่ายิ้งฉุบเพื่อหาว่าระหว่างเธอทั้ง 3 ใครที่จะอายุยืนและคอยอยู่จัดงานศพให้เพื่อน ๆ ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ได้มีลูก
วันนั้นชานยองเป็นคนถูกมอบหมายให้ต้องมีชีวิตยืนยาวที่สุด แต่เธอกลับเป็นคนที่ต้องจากไปก่อนใคร
งานศพของชานยองถูกพูดถึงตั้งแต่ตอนแรกของเรื่อง และงานศพก็จะมีขึ้นในตอนที่ 7 ซึ่งเป็นตอนกลางเรื่องเท่านั้น ความน่าสนใจมาก ๆ จึงอยู่ที่ว่า ซีรีส์จะนำเสนออะไร เพื่อมาบีบเค้นน้ำตาและกระตุกเตือนต่อมความคิดของคนดูที่ไม่ว่าใคร ก็จะต้องประสบกับช่วงวัยและความสูญเสียนั้นเช่นกัน
ชีวิตในวัย 39 ที่เผชิญทั้งความรัก มิตรภาพ ความสูญเสียในซีรีส์ Thirty-Nine จะเป็นอย่างไร ถ้าได้ดูจนจบแล้วมาคุยกันต่อนะ
ภาพ : Netflix, JTBC