การใช้ชีวิตในต่างแดนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เราคิดว่าใครหลายคนที่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศนานๆ คงจะเห็นด้วยกับข้อความข้างบนนี้ การเป็นนักเรียนนานาชาติเพียงไม่กี่คนในกลุ่มชาว Native Speaker กลุ่มใหญ่ที่พูดกันคนละภาษา มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน และไลฟ์สไตล์คนละขั้ว อาจดูเป็นเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจในตอนแรก แต่พอถึงจุดหนึ่งแล้ว ความบันเทิงก็อาจกลายเป็นความบรรลัยในชีวิตได้ในเวลาต่อมาเช่นกัน
การเรียนที่อเมริกามีระบบที่แตกต่างกับที่ไทยพอสมควร
เราเชื่อว่าคนที่เคยติดตามดูซีรีส์หรือภาพยนตร์ทางฝั่งอเมริกาคงพอจะเข้าใจความรู้สึกนี้ได้บ้าง เพราะที่อเมริกาเน้นให้เด็กคิดเอง ทำเอง รับผิดชอบเอง มากกว่าที่ไทย และเราต้องมีส่วนร่วมในคลาสเรียนอยู่เสมอ ขนาดนักเรียนอเมริกันที่ใช้ชีวิตอยู่กับระบบนี้มานานยังต้องเผชิญหน้ากับความกดดันเหล่านี้ เด็กไทยตาดำๆ ที่ทุกวันนี้ยังพูดภาษาอังกฤษสลับ Tense ไปมาอย่างเราจะไปเหลืออะไร
แต่การเรียนก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด ชีวิตคนเรายังมีปัญหารุงรังอีกมากมายที่ทำให้เราอยากเอาเท้าก่ายหน้าผากอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ปัญหาเรื่องงาน การเงิน หรือแม้แต่สังคมเอง และเพราะด้วยความกดดันจากเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ ในหลายปีที่ผ่านมาอัตราคนเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายในอเมริกาจึงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากนักเรียนชาวอเมริกันและนักเรียนนานาชาติ
ปัญหานี้เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมอเมริกามากจนมีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เครือข่ายป้องกันการฆ่าตัวตายผ่านพื้นที่สาธารณะ โรงเรียน ทางบัตรโดยสารรถไฟ หรือแม้กระทั่งมีเพลงแร็พอย่าง 1-800-273-8255 ของ Logic ft. Alessia Cara และ Khalid ที่ตั้งชื่อเพลงเป็นเบอร์โทรศัพท์สายด่วนขององค์กรป้องกันการฆ่าตัวตายเอาไว้ ก็ถูกแชร์กระหน่ำจนตอนนี้คว้าไป 3 ร้อยล้านกว่าวิว
บัตรโดยสาร BART ในซานฟรานซิสโก
ด้วยปัญหาความเครียดจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายนี้เอง ทางวิทยาลัยในอเมริกามีการรับมือกับปัญหานี้ไว้เช่นกัน อย่างคอลเลจที่เราเรียนอยู่ในปัจจุบันก็มี Student Health Center เป็นเหมือนทั้งห้องพยาบาลที่ไม่ใช่แค่เข้าไปรักษาอาการทางกายอย่างเดียว แต่ยังนัดคุยเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการบำบัดทางจิตใจได้ด้วย บางครั้งแคมปัสก็มีการจัดงานสัมมนาเพื่ออธิบายเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการฆ่าตัวตาย หรือมีกิจกรรมพิเศษ เช่น กินอาหารเย็นและเล่นเกมร่วมกัน ให้นักเรียนได้มีโอกาสปล่อยผีกันบ้าง
แต่บริการพิเศษของทางวิทยาลัยทั้งหมดก็ไม่มีอันไหนถูกใจเราเท่ากิจกรรม Pause for Paws อีกแล้ว พูดให้เห็นภาพคือ บริการหยุดแวะแล้วมาเล่นกับน้องหมานี่เอง
บริการนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยละลายความเครียดให้กับนักเรียนในช่วงใกล้สอบ ทางวิทยาลัยจะเชิญเหล่าน้องหมาที่เป็น Therapy Dog จากสมาคม Orange County SPCA (ขึ้นอยู่กับรัฐและสถานที่ด้วย อาจจะมีสมาคมแตกต่างกันไป) เข้ามาในโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนเข้ามาทักทาย กอด เล่น หรือถ่ายรูป กับน้องหมาได้อย่างเต็มที่เพื่อคลายเครียด
แต่แค่เล่นกับน้องหมา หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่าเจ้าปุกปุยที่เป็น Therapy Dog นี้มีความแตกต่างจากเจ้าปุกปุยที่บ้านตัวเองยังไง
หนึ่งในน้องหมาจาก Pause for Paws
เราขออธิบายข้อมูลแบบย่อๆ ก่อนว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีการนำสุนัขมาใช้งานในหลายบทบาทมาก แบบแมสๆ ที่เห็นได้ทั่วไปคือ น้องหมาตำรวจ น้องหมาดมกลิ่น น้องหมางานฟาร์ม หรือน้องหมากู้ภัย แต่นอกจากงานเหล่านั้นแล้ว น้องหมาที่อเมริกายังถูกฝึกให้ทำงานเพื่อช่วยเหลือบุคคลอีกมากมาย อย่างเช่น น้องหมาที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนพิการ น้องหมาช่วยเหลือคนที่มีความผิดปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ และน้องหมาที่เป็นน้องหมาบำบัดด้วย
เจ้า Therapy Dog นี้คือน้องหมานักบำบัดนั่นเอง น้องจะถูกฝึกมาเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงและรับมือกับความผิดปกติด้านอารมณ์ของเหล่ามนุษย์ อย่างเช่นโรควิตกกังวล ความกลัวต่างๆ หรือความผิดปกติเวลาที่เกิดความเครียดมากๆ เจ้าพวกนี้จะถูกฝึกให้เชื่อง มีความอ่อนโยน อดทน เป็นมิตร และตอบสนองต่อผู้คนในทางบวก และพอจับสัญญาณความผิดปกตินี้ได้ปุ๊บ เจ้าสี่ขาพวกนี้ก็จะรู้หน้าที่ เข้าไปชาร์จตัวคนนั้นและแสดงท่าทางประมาณว่า กอดหนูหน่อยน้า จับหนูได้น้า เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นรู้สึกดีขึ้น ต้องบอกเลยว่าท่าทางของเจ้าตูบเหล่านั้นน่ารักมาก เชื่อเถอะว่า ถ้าเป็นทาสน้องหมาต้องถึงกับใจละลายแน่ๆ
แต่การจะเป็น Therapy Dog ก็ไม่ได้ง่ายขนาดที่จะเอาเจ้าปุกปุยตัวไหนมาเป็นก็ได้ เพราะน้องหมาและรวมถึงตัวเจ้าของเองต้องทดสอบเพื่อรับรองการเป็น Therapy Dog ก่อนเช่นกัน โดยส่วนมากแล้ว เราจะพบเจอ Therapy Dog ได้ตามบ้านพักคนชรา สถานฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย หรือพวกสำนักงานทางจิตวิทยา
น้องหมาพวกนี้มีการออกอีเวนต์เดินสายไปเยี่ยมเยียนตามสถานที่ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เช่นกัน อย่างเช่น ในโรงเรียน สถานพยาบาล หรือว่าในสนามบินบางที่ ก็มีเจ้าพวกนี้คอยไปทักทายผู้คนเพื่อช่วยลดความกลัวในการขึ้นเครื่องบินด้วย
แบบที่เท่ๆ หน่อย เราอาจเคยได้ยินข่าวที่น้องหมาเข้าไปทำหน้าที่ดูแลและช่วยเป็นกำลังใจให้เด็กหญิงที่ถูกทำร้ายร่างกายจนต้องขึ้นศาล และเพราะได้ความช่วยเหลือจากน้องหมานี่แหละ ทำให้ในที่สุดเธอกล้าที่จะบอกความจริงกับศาลในสิ่งที่เกิดขึ้นได้
สัตว์ที่เป็นนักบำบัดได้ไม่ได้มีแค่น้องหมาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเหมียว กระต่ายน้อย ม้า นก หรือสัตว์เลื้อยคลานก็เป็นได้หมดถ้าทำให้เราสดชื่นได้ เพราะว่าเป็นสัตว์อะไรก็ได้นี่แหละ เราถึงได้เห็นความสร้างสรรค์ของคนบางคนที่เลี้ยงสัตว์บางชนิด ทำให้ผู้โดยสารบางคนเวลาขึ้นเครื่องบินถึงกับช็อก เพราะอาจได้นั่งข้างเพื่อนร่วมทางที่เป็นไก่งวงหรือจิงโจ้ได้
ขอเม้าเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวของเราหน่อย เมื่อปลายปีที่แล้วช่วงสอบปลายภาคเราเครียดมาก คือ แค่ตัวเองก็เครียดพอแล้ว แต่พอเดินไปถึงที่โรงเรียน บรรยากาศรอบข้างของคนที่อ่านหนังสือสอบ นั่งทำงานกันอย่างหัวฟูนี่ กระจายรังสีความกดดันเข้ามาให้เราเต็มๆ พอเราอยู่กับบรรยากาศแบบนี้นานๆ เข้ามันก็เหมือนเป็นโรคติดต่อที่ทำให้แม้แต่ตัวเราเองก็รู้สึกจิตตกไปด้วย
ระหว่างที่เรากำลังยืนเครียดเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างและการสอบอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีน้องหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สีน้ำตาลตัวหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา เจ้าตูบตัวนี้เดินมานั่งลงตรงข้างหน้าพลางจ้องตาเราไม่กะพริบ เรายืนมองหน้าเจ้าตูบตัวนี้ด้วยความเอ็นดูแต่ก็ไม่กล้าเล่นกับน้อง เพราะที่อเมริกาเหมือนเป็นมารยาทที่ถ้าอยากเล่นกับน้องหมาตัวไหน เราควรขออนุญาตเจ้าของก่อน
เพียงไม่กี่วินาทีให้หลัง ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นเจ้าของน้องหมาเดินมาบอกเราว่า “น้องอยากให้เรากอด กอดได้นะ” สิ้นประโยคนั้นแค่นั้นแหละ ด็อกเลิฟเวอร์อย่างเราก็ถาโถมเข้าไปกอดและเล่นกับน้องตูบทันที
สิ่งที่เราสัมผัสได้ชัดเจนถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างเจ้าตูบที่เป็น Therapy Dog และเจ้าตูบธรรมดา (จากน้องหมาของญาติตัวเองนี่แหละ) เราพบว่า Therapy Dog จะมีความสุขุมอยู่มากกว่า เหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่อะไร ต้องปลอบประโลมคนตรงหน้าแบบไหน และค่อนข้างปล่อยตัวสบายๆ กับคนแปลกหน้า ต่างกับเจ้าตูบที่บ้านที่ถ้าเราเล่นด้วยแบบนี้ ป่านนี้คงวิ่งรอบบ้าน ไม่ก็หงายหลังขอให้เกาพุงแล้ว
เจ้าตัวนี้แหละที่เดินมาให้กอดถึงที่เลย
ไม่น่าเชื่อว่าแค่การได้เข้าไปกอด ลูบหัว ลูบตัว เจ้าปุกปุยมันจะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น จากที่ยืนเครียดกลายเป็นว่าความเครียดของเราเริ่มจางลงจนเรายิ้มออกมาให้กับเจ้าตูบตรงหน้าได้ แถมพอเราไปที่บูทของเหล่าน้องหมาที่มาให้บริการแก่พวกนักเรียน เราต้องเผลอยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะน้องหมาหลายตัวถูกแต่งตัวด้วยของประดับในวันคริสต์มาส และผ้าพันคอเพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่จะมาถึงตอนปลายปีได้อย่างมุ้งมิ้งมากๆ แถมเราก็ได้รูปถ่ายของน้องหมาบางตัวจากเจ้าของที่ทำมาแจกเป็นของที่ระลึกด้วย
เราได้คุยกับเจ้าของน้องหมาบางตัวในวันกิจกรรมบ้าง พวกเขาเล่าให้ฟังว่าน้องหมาพวกนี้จำเป็นต้องได้รับการฝึกก่อนจะมาทำหน้าที่นี้ ถ้าน้องหมาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ต้องมาพบเจอกับผู้คนเยอะแยะไปหมด มันอาจเกิดความเครียดขึ้นมาและอาจสร้างความอันตรายได้
ปีนี้ไม่ใช่ปีแรกที่มีกิจกรรมนี้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่พวกเขาประทับใจเหมือนกันในทุกๆ ปี คือรอยยิ้มของพวกนักเรียนหลังจากที่ได้มาเล่นกับน้องหมาเหล่านี้ และพวกเขาก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยนักเรียนไม่ให้เครียดจนเกินไป
รูปที่ระลึกน้องหมา
วันนั้นเราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเดินวนไปวนมาเล่นกับน้องหมาตัวนั้นทีตัวนี้ทีในบูทเพลินจนโดนเจ้าของน้องหมาเหล่านั้นแซวว่าเราจะอยู่ให้ครบ 2 ชั่วโมงจนหมดเวลาเลยก็ได้นะ ก็แหม… เจ้าเท้าปุยพวกนี้น่ารักจะตายนี่เนอะ
กิจกรรมพวกนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเทอมละครั้ง (ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันด้วย) ทางโรงเรียนเราจะเชิญน้องหมาเหล่านี้มาในช่วงการสอบปลายภาค โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 วัน วันละ 2 ชั่วโมง จากการคาดการณ์ของเราแล้ว เราคิดว่าผลตอบรับในกิจกรรมนี้ดีมากเลยทีเดียว เพราะแต่ละคนที่ได้เข้ามาใช้บริการนี้ ต่างก็มีรอยยิ้มออกมากันทุกคน รวมถึงเราเองก็ด้วย
เราคิดว่าการที่นักเรียนได้มาเล่นกับน้องหมาเพื่อผ่อนคลายตนเองแล้ว การได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมโลกสี่ขาตรงหน้ายังช่วยปรับสมดุลของอารมณ์ได้อีกด้วย และปีนี้ทางโรงเรียนเราก็ได้จัดตารางเตรียมเชิญน้องเหล่าก๊วนสี่ขามาแจกจ่ายความสุขให้กับนักเรียนเรียบร้อยแล้ว
สำหรับเรา ประโยคที่บอกว่า “สุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” เราคนหนึ่งขอเป็นพยานยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริงแหละ 🙂