“คิดว่า ‘แม่ซื้อ’ คืออะไร”
แผนผังพื้นที่ในวัดโพธิ์ ปรากฏที่ตั้งของศาลาแม่ซื้อ ชื่อแปลก ๆ ที่คนไทยอย่างผู้เขียนก็ไม่รู้จัก จึงตอบไปตามการคาดเดาว่าคงมีความหมายใกล้เคียงกับ ‘แม่เล้า’
ฝ้าย-ศิรดา พิชญไพบูลย์ อมยิ้มให้กับคำตอบนี้ แล้วอธิบายความหมายที่แท้จริงให้ฟัง
วันนี้ผู้เขียนมาลองเดินทางตามหารากเหง้าวัฒนธรรมไทยบนเส้นทางแบบ ‘The Roots Routes’ สตูดิโอออกแบบประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Experience Design Studio) ไปพร้อมกับฝ้าย ผู้ก่อตั้ง และผู้ก่อตั้งร่วมอีก 2 คน คือ สเตฟาน เชียเรอร์ (Stefan Scheerer) และ มะเหมี่ยว-ณัฐณิชาช์ เต็มศิริวัฒน์
เส้นทางนี้ไม่ได้มอบประสบการณ์ที่เป็นจุดขายหลักของการท่องเที่ยวทั่วไป เช่นเดียวกับแม่ซื้อที่ไม่ใช่จุดขายหลักของการท่องเที่ยวในวัดโพธิ์
แล้วมันเป็นอย่างไร
ชวนหยิบรองเท้า ออกเดินทางไปทำความรู้จักด้วยกัน

จากแม่ซื้อสู่ม้าโยก
ศาลาแม่ซื้อที่มุมหนึ่งของวัดโพธิ์นั้นแทบไม่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเลย ต่างจากวิหารพระนอนที่มีคนเข้าไปชมพระประธานไม่ขาดสาย ตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มาวัดโพธิ์ทีไรนึกถึงได้แต่พระนอน อับเฉาตุ๊กตาจีน และการนวดแผนโบราณ อันเป็นจุดขายหลักที่นักท่องเที่ยวมาเพื่อสิ่งนี้
ตามคติความเชื่อของคนไทยในสมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า เด็กทารกเสียชีวิตเพราะผีที่ปั้นหุ่นทารกนั้นเห็นว่าหุ่นตัวนี้น่ารัก จึงอยากนำกลับไปเลี้ยงเอง เป็นที่มาของคำพูด ‘เด็กคนนี้น่าเกลียดน่าชังจัง’ เพื่อลวงผีไม่ให้นำทารกกลับไป หรือลวงผีว่าเด็กนั้นน่าเกลียดจนแม่ไม่อยากได้ ปล่อยให้ ‘แม่ซื้อ’ ซื้อเด็กไปแล้ว


คำว่า ‘แม่ซื้อ’ จึงหมายถึงเทวดาหรือผีที่คุ้มครองเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงราว 1 ขวบ หากฝังรกเด็กบนที่อยู่ของแม่ซื้อประจำวันเกิดจะทำให้แม่ซื้อรักใคร่เอ็นดู แต่ถ้าไม่ทำก็จะมาหลอกให้เด็กร้องไห้และเจ็บไข้ได้ป่วย บนศาลาแม่ซื้อในวัดโพธิ์นี้ปรากฏภาพเขียนจิตรกรรมไทยรูปแม่ซื้อประจำวันเกิด ซึ่งมีชื่อ รูปร่าง และที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน ผู้เขียนเกิดวันจันทร์ มีแม่ซื้อชื่อ วรรณานงคราญ ตัวเป็นคน หัวเป็นม้า อาศัยอยู่ที่บ่อนํ้า ถ้าผู้เขียนเกิดเร็วกว่านี้สัก 200 ปี แม่คงต้องเอารกไปฝังไว้ริมบ่อนํ้าให้แม่ซื้อเอ็นดู
บนศาลาแม่ซื้อนี้ยังแสดงตำราโรคต่าง ๆ ที่เกิดในเด็ก ควบคู่กับจารึกวัดโพธิ์ที่บันทึกสรรพตำราโบราณด้านต่าง ๆ ที่ประดับอยู่ตามผนังอาคารวัด และรูปปั้นฤๅษีดัดตน แสดงศาสตร์การนวดแผนโบราณ ทำให้วัดโพธิ์เปรียบเสมือน ‘มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของคนไทย’
ถัดจากศาลาแม่ซื้อไปอีกหน่อยจะเจอมหาเจดีย์สี่รัชกาล พอเพ่งมองกระเบื้องที่ปะประดับบนผิวเจดีย์ จะเห็นการวางชั้นเป็นเลเยอร์ ฝ้ายอธิบายว่าเป็นภูมิปัญญาเพื่อสร้างมิติที่พัฒนามาจากการแกะสลัก แต่ทำด้วยวิธีที่ง่ายขึ้น

ออกจากวัดโพธิ์แล้ว เราเดินลัดเลาะผ่านสวนสราญรมย์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวนสัตว์ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในวันนี้เหลือเพียงไม้ดัดรูปทรงสิงสาราสัตว์ ตัดเข้าถนนเฟื่องนครที่มีร้านคาเฟ่กิ๊บเก๋ตั้งเคียงข้างร้านค้าเก่าแก่ เราแอบแวะคุยและแวะซื้อซอสพริกศรีราชาสูตรดั้งเดิมตราเหรียญทอง อาคารกระทรวงมหาดไทยที่ตั้งอยู่หัวมุมถนน ทำให้ย่านนี้ครั้งหนึ่งเคยมีสำนักพิมพ์และร้านหนังสือเฟื่องฟูรองรับงานพิมพ์ของกระทรวงในยุคก่อน ซึ่งปัจจุบันยังคงเหลืออยู่ประปราย เมื่อเดินเข้าซอยไปจะเจอตลาดตรอกหม้อ ที่ซึ่งผู้เขียนเดาถูกว่าแต่ก่อนชุมชนนี้เคยมีอาชีพทำหม้อ
“การเกิดขึ้นของย่านหรือสถานที่ต่าง ๆ ทุกอย่างสอดคล้องกันหมด เราจึงพยายามเล่าเรื่องแบบเป็นเหตุเป็นผลให้เข้าถึงง่าย” ฝ้ายอธิบายลักษณะเส้นทางเดินตามรอยรากเหง้าแบบ The Roots Routes

เราเดินต่อผ่านย่านสังฆภัณฑ์ ผ่านเสาชิงช้า ผ่านร้านเจ๊ไฝ ข้ามคลองรอบกรุง มาสู่ย่านค้าไม้เก่าแก่หลังวัดสระเกศ ซึ่งเป็นธุรกิจพี่น้องกับย่านค้าไม้บางโพ ฝ้ายเล่าว่าเมื่อก่อนโรงไม้ทั้งหมดเคยอยู่ที่นี่ แต่ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการปรับผังเมืองใหม่ โรงงานไม้จึงย้ายออกไปยังพื้นที่ริมคลองนอกเมืองแถบบางโพ แล้วค่อยส่งไม้แปรรูปล่องคลองกลับมาขายหน้าร้านที่นี่
เราแวะขึ้นไปยังชั้น 2 ของร้านค้าไม้แห่งหนึ่งเพื่อทำเวิร์กช็อป บนโต๊ะมีชิ้นส่วนไม้วางเรียงรายรอเราไปประกอบเป็นม้าโยกหน้าสรรพสัตว์ ซึ่งทางดีไซเนอร์อธิบายแรงบันดาลใจว่ามาจาก ‘แม่ซื้อประจำวัน’ และการสร้างมิติด้วยเลเยอร์ รากเหง้าทางวัฒนธรรมที่เราเพิ่งรู้จักไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน การประกอบยังใช้วิธีเข้าเดือยแบบที่ใช้ในบ้านไม้ทรงไทย
ผลงานนี้ออกแบบโดย CODE : Cultural-Oriented Design Studio สตูดิโอออกแบบผลิตภัณฑ์และสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย ซึ่งเจ้าของเป็นทายาทธุรกิจค้าไม้ในพื้นที่ และเป็นพันธมิตรชุมชนของ The Roots Routes

ม้าโยกที่มีหัวเป็นม้าตามแม่ซื้อประจำวันจันทร์ของผู้เขียนประกอบเสร็จแล้วและจะส่งไปบริจาคให้มูลนิธิเด็ก แต่หากนักท่องเที่ยวอยากขนกลับบ้านก็ทำได้ ตามเส้นทางฉบับเต็ม เราต้องไปล่องคลองแสนแสบต่อ แล้วสิ้นสุดทริปที่พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน เพื่อเรียนรู้เรื่องงานไม้ต่อ แต่เราขอจบทริปเพียงเท่านี้เพื่อไปนั่งคุยยาว ๆ ถึงเรื่องราวของ The Roots Routes ที่พาให้ผู้เขียนสนุกไปกับการตามรอยรากเหง้าในกรุงเทพฯ บ้านเกิดที่กลับไม่ได้รู้จักดีแห่งนี้
มรดกตกทอดที่มีลมหายใจ
ตลอดเส้นทางเดินตั้งแต่วัดโพธิ์จนจบที่ย่านค้าไม้หลังวัดสระเกศ ไม่เพียงเรื่องราวนอกกระแสที่ไม่ใช่จุดขายหลักของสถานที่เท่านั้น ผู้เขียนยังได้สัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมที่มีลมหายใจ ซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตประจำวันธรรมดา แต่ชีวิตประจำวันที่เขาใช้คือภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น สู่ร้านซอสพริกศรีราชา ร้านหนังสือหลังกระทรวง ร้านค้าในตลาดตรอกหม้อ ร้านค้าไม้ และมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมที่อยู่ท่ามกลางชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดานี้แหละ คือรากเหง้าอันเป็นเสน่ห์ที่ The Roots Routes มองเห็น
“บทบาทของ The Roots Routes เป็นตัวกลางเชื่อมโยงชุมชนด้วย ที่ยุโรปอาจอนุรักษ์อาคารสถานที่ แต่ในเอเชีย ผู้คนและชุมชนเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศมีสีสัน มีชีวิตชีวา พอเราพาคนมา ‘รับ’ จากชุมชน ก็ต้อง ‘ให้’ กับชุมชนเช่นกัน มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นทัวร์ศูนย์เหรียญไป” สเตฟานกล่าว

การออกแบบเส้นทางเดินตามรอยรากเหง้าทางวัฒนธรรมแบบ The Roots Routes จึงเป็นการนำเสนอสถานที่ ความเป็นไปของย่าน ควบคู่ไปกับเสน่ห์ที่มีชีวิตเหล่านี้ และพานักท่องเที่ยวไปพบ คุย อุดหนุนธุรกิจชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง The Lives of Orchards นั่งเรือและรถไฟไปชมชีวิตชาวสวนผลไม้ชานเมืองกรุง, Melting Pot of Trading รู้จักพหุวัฒนธรรม ไทย ลาว จีน อินเดีย ที่หลอมรวมอยู่ในชุมชนย่านคลองสาน, Reflection of Siamese Art and Culture ชวนนักท่องเที่ยวมาเรียนรำไทยและรู้จักชุมชนหุ่นละครเล็กริมแม่น้ำย่านบางไผ่ หรือไปดูดวงและสนทนาธรรมกับพระ เพื่อให้เห็นความเชื่อตามวิถีพุทธที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตชาวไทย กับเส้นทาง Chatting, Chanting, and Fortunetelling
“กระบวนการทํางานของเราจะมีเส้นเรื่องที่มาจากการค้นคว้า เช่น อยุธยา เราอยากพูดเกี่ยวกับคลองที่เป็นต้นแบบของกรุงเทพฯ แล้วอะไรที่แสดงถึงแนวคิดนี้ที่จับต้องได้ เพราะคนทั่วไปต้องสัมผัสจากตา หู จมูก อย่างปลาตะเพียนที่อยู่ในอาหาร การละเล่นปลาตะเพียนสาน นักท่องเที่ยวจะเรียนรู้ได้ว่าทําไมต้องเป็นปลาตะเพียน แล้วเกี่ยวกับวิถีชีวิตและความเชื่อต่าง ๆ ยังไง เหมือนเรามาแปลงสารพวกนี้ออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้”
มรดกทางวัฒนธรรมที่มีลมหายใจนั้น บางที The Roots Routes ก็แปลงออกมาในรูปอีเวนต์ อย่างงานล่าสุด Street Food Fine Dining Experience ที่จัดโต๊ะหรูหราพานักท่องเที่ยวนั่งเก้าอี้พลาสติกทานอาหารท้องถิ่นในชุมชน โดยอาหารและของประดับตกแต่งทั้งหมดก็มาจากร้านค้าในชุมชน
ที่ทีมงานมีความตั้งใจบรรจุเรื่องราวเหล่านี้ลงไปในชุมชน ส่วนหนึ่งเพื่อทำให้คนนอกเห็นคุณค่า และอีกส่วนก็เพื่อให้คนในได้ภูมิใจในคุณค่าที่เขามีเช่นกัน เพราะการอนุรักษ์จะเกิดขึ้นได้เมื่อคนในท้องที่ภาคภูมิใจในอัตลักษณ์นั้น
“การพัฒนายังไงก็ต้องเกิด แต่เด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาก็เปลี่ยนตึกแถวขายของที่บ้านเป็นคาเฟ่หรือโฮสเทลเก๋ ๆ โดยยังรักษาบรรยากาศดั้งเดิมของสถานที่นั้นเอาไว้ ทำให้ยังมีลมหายใจ แม้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเดิม แต่คนรุ่นใหม่ยังได้รู้จักเรื่องราวของสถานที่นั้น ๆ” ฝ้ายแสดงมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลง
สเตฟานเห็นด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำควบคู่กับการอนุรักษ์ได้ และการท่องเที่ยวจะเข้ามามีบทบาทให้เจ้าของที่ใหม่มองอัตลักษณ์เดิมเป็นจุดขายและอยากนำเสนอมัน
ในมุมมองของนักท่องเที่ยวที่มาร่วมเดินเท้าไปกับ The Roots Routes แน่นอนว่าพวกเขาประทับใจกับการได้สัมผัสเข้าถึงวัฒนธรรมไทยในเชิงลึก ในมุมมองของคนท้องที่ พวกเขาได้ภาคภูมิใจในมรดกที่พวกเขามี และในเชิงสังคม ความภาคภูมิใจจะทำให้อัตลักษณ์เหล่านั้นไม่สูญหายไปกับวันวาน
ระหว่างค้นคว้าข้อมูลสำหรับเส้นทางหนึ่งในย่านเจริญนคร ฝ้ายและทีมลงพื้นที่คุยกับคนในชุมชน และไปคุยกับเจ้าของร้านไอศกรีมไข่แข็งแห่งหนึ่ง คำตอบนั้นทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ผู้คนในพื้นที่อย่างถูกทาง
“คุณป้าบอกด้วยหน้าตาที่มีความสุขว่า เขารอวันนี้ที่จะมีคนมาสัมภาษณ์มานานมากแล้ว มันเป็นความฝันของเขาที่จะได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตหรือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการทําไอศกรีมไข่แข็ง”
Route Before The Roots Routes
“ผมมีอาชีพพาคนยุโรปมาทำงานอาสาที่ไทย”
ชายชาวกรีกที่ฝ้ายเจอในร้านกาแฟที่ลิสบอนเล่าถึงธุรกิจทัวร์พาชาวต่างชาติมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมไปพร้อมกับได้ท่องเที่ยวประเทศไทยแบบใกล้ชิดชุมชน ในตอนนั้น ฝ้าย ภูมิสถาปนิกที่กำลังเรียนวิชา Tourism ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรปริญญาโทด้าน Cultural Landscape and Heritage Management ในประเทศโปรตุเกส ก็เพิ่งรู้ว่าประเทศไทยมีการท่องเที่ยวแนวนี้ด้วย
“เรามีคำถามต่อว่า สุดท้ายแล้วประเทศไทยได้ประโยชน์จริง ๆ ยังไงบ้าง นอกจากชุมชนได้ห้องน้ำใหม่ บ้านดินใหม่ แต่สุดท้ายเอเจนซี่ก็บวกค่านู่นนี่เยอะแยะไปหมด และทุกคนเป็นชาวต่างชาติ เลยมาคิดต่อว่าเราจะทําอะไรได้บ้าง”
จากคำถามนั้น กลายมาเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ยาว 4 หน้ากระดาษของคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวเลยอย่างฝ้าย เธอนำเสนอศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วยลำคลองในกรุงเทพฯ เมื่อจบปริญญาโทกลับมาแล้ว ฝ้ายยังคงอยากพัฒนาวิทยานิพนธ์ของเธอให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น จึงชวนเพื่อนฝูงมาลงแรงกับงานนี้ ซึ่งมีหลายคนที่สนใจหมุนเวียนกันเข้ามามีส่วนร่วม จนได้รางวัล Sustainable Tourism จาก UNDP Youth Co:Lab สนับสนุนโดย AirAsia Thailand ซึ่งทำให้โปรเจกต์นี้พอได้พื้นที่สื่อบ้าง แต่ไม่ได้มีเงินรางวัลมากนัก

ด้วยความสนใจที่แตกต่างกัน ถึงที่สุดทีมงานแต่ละคนจะแยกย้ายออกไปทำตามเส้นทางของตัวเอง และภายหลังฝ้ายก็ได้ชวน มะเหมี่ยว อดีตภูมิสถาปนิกที่หันมาเอาดีด้าน UX/UI Design เข้ามาร่วมทีม
ทีมในตอนนั้นร่วมกันพัฒนาโปรเจกต์ไปประกวด จนต่อมาก็ได้ทุนมาต่อยอดจากองค์กร UNESCO, British Council, NIA และ DEPA ภายใต้โครงการ UNESCO TechCul Initiative
พอมีทุนมาต่อยอด แต่ไอเดียที่ระดมสมองกันในทีมก็เริ่มตัน ช่วงนั้นอยู่ระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 พอดี ฝ้ายหนีไปพักตัวพักใจบนเกาะพะงัน และโดยบังเอิญ เธอได้เจอสเตฟาน ชาวเยอรมันหัวใจไทยที่ใช้ชีวิตไป ๆ มา ๆ ระหว่างยุโรปกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่อายุ 16 ปี พอได้นั่งคุยกัน เขาทั้งคู่ก็พบว่ามีมุมมองต่อการท่องเที่ยวแบบเดียวกัน
สเตฟานมีประสบการณ์อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวอยู่แล้ว เขาจบปริญญาด้าน Tourism Management โดยตรง และขณะนั้นกำลังเรียนปริญญาโทด้าน Modern Southeast Asian Studies ฝ้ายรู้ว่าสเตฟานมีในสิ่งที่เธอขาด จึงชวนมาร่วมทีมทำ The Roots Routes ไปด้วยกัน
“เราอยากมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้การท่องเที่ยว โดยมุ่งเป้าไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสกับสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าแค่มาเที่ยววัดถ่ายรูป แต่เข้าใจถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมที่ทำให้กรุงเทพฯ แตกต่างจากที่อื่น” สเตฟานอธิบาย

เปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นรายได้
จากเดิม The Roots Routes เป็นโปรเจกต์ที่ต่อยอดจากการสมัครขอรับทุนพัฒนาเป็นหลัก ผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คนเห็นเหมือนกันว่า หากจะปลุกปั้นให้เติบโตอย่างยั่งยืน พวกเขาต้องต่อยอดจากรายได้ และหากจะมีรายได้ พวกเขาต้องสร้างโมเดลธุรกิจขึ้นมา
“เราไม่อยากจะมานั่งขอเงินแล้ว เพราะมีข้อจํากัดหลายอย่าง สิ่งสําคัญของเราคือเนื้อหาและการออกแบบประสบการณ์” ฝ้ายบอก

ค่าแรงที่เป็นธรรมต่อไกด์ที่มีแพสชันเดียวกับพวกเขา ผลตอบแทนต่อชุมชน การบูรณาการกับธุรกิจชุมชน คุณภาพเนื้อหาและบริการของทัวร์ และรูปแบบที่ค่อนไปทาง Private Tour ทำให้ค่าบริการทัวร์วัฒนธรรมแบบ The Roots Routes เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังจ่าย แต่หากกลุ่มเป้าหมายมีน้อย ผลลัพธ์ทางสังคมก็น้อยตาม และรายได้ย่อมไม่เพียงพอให้ธุรกิจเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
เพื่อแก้ปัญหานั้น ทีมงานจึงพัฒนาบริการในราคาที่ทุกคนเข้าถึง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินเท้าสำรวจรากเหง้าของย่านที่สนใจได้ด้วยตนเองผ่าน Self-guided Tour บนโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าเส้นทางและประสบการณ์จะต่างออกไปจาก Private Tour แต่ก็ออกแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมเชิงลึกเช่นกัน สอดแทรก Voucher กระตุ้นการกระจายรายได้ไปสู่ธุรกิจชุมชน และเสริม Local Tips ไปด้วย ให้นักท่องเที่ยวที่เดินเท้าโดยไม่มีคนนำทางได้รู้ว่าพวกเขาควรหรือไม่ควรทำอะไร เพื่อได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด โดยเคารพคนในพื้นที่มากที่สุด
กว่าจะได้เส้นทางแต่ละเส้นนั้น The Roots Routes ต้องศึกษา ค้นคว้า ลงพื้นที่ ให้มั่นใจว่าพวกเขากำลังถ่ายทอดสิ่งที่เป็นรากเหง้าของชุมชนจริง ๆ และคนในพื้นที่ต้องได้รับประโยชน์จริง ผลพลอยได้คือเรื่องราวที่กลายมาเป็นคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย ให้ผู้สนใจรู้ว่าวัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ และการค้นคว้าหาข้อมูลนี้ยังเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างโรงแรม สายการบิน เข้ามาว่าจ้างให้ทีมงานพัฒนาเส้นทางที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจให้พวกเขา
ทางทีมยังมองว่า การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่พวกเขาทำนี้ ไม่ต้องจำกัดอยู่เพียงในกรุงเทพฯ แต่วางเป้าหมายใหญ่ไปถึงระดับอาเซียน และในอนาคตเราอาจได้เห็น The Roots Routes พานักท่องเที่ยวไปรู้จักรากเหง้าในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
“เราคิดว่าสิ่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ The Roots Routes และธุรกิจท่องเที่ยวอื่น ๆ เติบโตได้ไกล คือการสนับสนุนเชิงนโยบายและเชิงรูปธรรมจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจของชุมชนและธุรกิจเล็ก ๆ มากขึ้น เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ฝ้ายกล่าวทิ้งท้ายถึงความคาดหวังในอนาคต
