11 พฤษภาคม 2019
16 K

“มองไปทางไหนก็เขียวไปหมด” นักท่องเที่ยวพูดกับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในลิฟต์

‘ขนาดนั้นเลยเหรอ’ เราคิดในใจ  

มันจะเหมือน Garden by the Bay ไหม ประเทศนี้ยังมีห้างไม่มากพออีกหรอ แล้วครั้งนี้มันจะต่างกับห้างติดสนามบินของประเทศอื่นยังไง นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจ

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่มากในตัวเมือง เพียงแค่นักท่องเที่ยวแวะเปลี่ยนเครื่องที่นี่ และมีเวลาว่างตั้งแต่ 5 ชั่วโมงครึ่งถึง 24 ชั่วโมง ก็ลงทะเบียนไปชมเมืองกับไกด์แบบฟรีๆ ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง

ชวนคนไปเที่ยวเมืองสิงคโปร์ไม่น่ายาก โจทย์ที่ยากกว่าก็คือ ทำยังไงถึงจะดึงดูดความสนใจของคนจากทั่วโลกให้มาลองใช้บริการสนามบินชางงี (Changi) ของสิงคโปร์

ในเมื่อสิงคโปร์ขึ้นชื่อเรื่องพื้นที่สีเขียวอยู่แล้ว ถึงขนาดเปลี่ยนสโลแกนจาก เมืองที่เต็มไปด้วยสวน (A Garden City) มาเป็น เมืองในสวน (City in a Garden) แล้วทำไมไม่ลองยกสวนมาในไว้สนามบินเพื่อเพิ่มความสนใจบ้างล่ะ

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 5 ของ Jewel Changi Airport สวนสาธารณะที่อยู่กลางสนามบิน แล้วเดินออกมาเจอพื้นที่ขนาด 14,000 ตารางเมตร ของ Canopy Park ก็รู้สึกว่า โอ้โห นี่มันป่าขนาดย่อมๆ เลยนะเนี่ย

พอเดินตามเสียงน้ำตกเข้าไปก็พบว่ามันเขียวไปหมดจริงๆ เป็นความเขียวจากเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ในเขตร้อนชื้นนับแสนต้น กว่า 120 ชนิด ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศไทย ออสเตรเลีย จีน มาเลเซีย สเปน และอเมริกา แล้วใช้เวลาดูแลปรับสภาพให้เข้ากับอากาศภายโดมธรรมชาติแห่งนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปี

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

วิวจากความเขียวที่ลดหลั่นกันไปตามขั้นบันไดตรงหน้าดูเหมือนทางลาดชันของภูเขา ให้ประสบการณ์ที่แปลกตายิ่งนัก จนบางทีก็แอบคิดไปว่าหรือว่านี่คือสวนในอนาคตที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน มีพื้นที่ให้คนทุกเพศทุกวัย

พื้นที่สีเขียว แหล่งช้อปปิ้ง สวนสนุกเล็กๆ โรงภาพยนตร์ โรงแรม และห้องจัดนิทรรศการ (Visual Experience Studio) อยู่รวมกันภายใต้พื้นที่สีเขียวเข้มแห่งนี้ได้อย่างไม่แย่งซีนกัน

มันเขียวจนไม่ควรเรียกว่า ‘สวนในห้าง’ แต่ต้องเรียกว่า ‘ห้างในสวน’

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

ใครพลังเยอะหน่อยก็เดินไต่ไหล่เขา (หรือขั้นบันไดนั่นเอง) ลงไปเรื่อยๆ จนถึงชั้น 1 ส่วนเด็กๆ ก็มีที่ให้ปล่อยของ ปลดปล่อยจินตนาการ ได้หลากหลายแบบ เช่น สวนหย่อมเขาวงกต (Hedge Maze) เขาวงกตกระจก (Mirror Maze) สวนตาข่ายกระโดดเบาน์ซิงเน็ตและสวนตาข่ายวอล์กกิ้งเน็ต (Bouncing and Walking Net) สะพานคาโนปี้ (Canopy Bridge) สะพานกระจกใสวิวแบบพาโนรามาที่สูงจากพื้น 23 เมตร สวนหมอก (Foggy Bowls) และสไลเดอร์ 4 ทิศทาง (Discovery Slides) สีเงินเมทัลลิกรูปร่างประหลาดที่สะท้อนพื้นไม้สีทองเพิ่มสีสันของตัวเครื่องเล่นได้แบบแปลกตายิ่งนัก

จุดต่างๆ เหล่านี้จะเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการวันที่ 10 มิถุนายนนี้ และต้องเสียค่าเข้าใช้บริการทั้งหมด ที่ฟรีมีแค่การชมวิวของน้ำตก (Rain Vortex) เท่านั้น ส่วนคนที่อยากจะใช้บริการ Skytrain ซึ่งผ่านหน้าน้ำตกนั้นจะต้องเป็นผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินชางงีขาเข้าและออกประเทศ โดยต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วเท่านั้น เพราะรถไฟดังกล่าวเชื่อมระหว่างอาคาร 2 และ 3

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

โมเช่ ซาฟได (Moshe Safdie) ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าทีมสถาปนิกผู้ออกแบบสวนในสนามบินแห่งนี้ คือผู้ออกแบบตึกชื่อดังอย่าง Marina Bay Sand เขาพูดถึงการออกแบบ Jewel Changi Airport ว่า สวนสนุกแบบยูนิเวอร์แซลสตูดิโอและดิสนีย์แลนด์ ไม่นานคนก็เลิกสนุกกับมัน เขาอยากสร้างสิ่งที่เวลาไม่สามารถทำลายได้ และให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสวนที่อยู่ในสวรรค์จริงๆ เขาจึงลงมือออกแบบ Jewel โดยมีแรงบันดาลใจเป็นหนังเรื่อง Avatar

ภาพเห็นตรงหน้าบอกเราว่า Jewel คือประติมากรรมทางวิศวกรรมดีๆ นี่เอง

โดมกระจกรูปโดนัทที่มีน้ำตกอยู่ในตำแหน่งห่างออกจากจุดศูนย์กลางเล็กน้อยไม่ใช่งานหมูๆ เลย เพราะต้องใช้คานรับน้ำหนักรูปสามเหลี่ยมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษประกอบกันเพื่อรับน้ำหนักของกระจกรวมทั้งมวลน้ำมหาศาล ซึ่งเปิดใช้งานวันละกว่า 8 ชั่วโมง

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

เพลงคลาสสิกที่บรรเลงคลอการชมน้ำตกฝีมือมนุษย์ความสูง 40 เมตร ไม่อาจกลบเสียงของน้ำตกซึ่งเกิดจากน้ำปริมาณ 38,000 ลิตรต่อนาที ตกจากยอดโดมที่ชั้น 5 ลงสู่ชั้นใต้ดิน (B2) เป็นเสียงที่ดังในระดับที่ทำให้เรากับคู่รักข้างๆ ต่างมีพื้นที่ส่วนตัว และรู้สึกสงบผ่อนคลายมากพอจนจินตนาการได้ขยับตัวบ้าง (จะไม่สงบก็ตรงมีคนมาขอให้ถ่ายรูปให้เป็นระยะๆ นี่แหละ)

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

นอกจากความสวยงามแล้ว กระจกจำนวน 9,000 ชิ้นยังทำหน้าที่ควบคุมแสงที่ส่องลงมา ไม่ให้อุณภูมิภายในโดมร้อนเกินจนนักท่องเที่ยวอึดอัด แต่ต้องให้แสงเข้ามามากพอสำหรับเหล่าต้นไม้ในสวนแห่งนี้ทั้งหมด ที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้น กระจกเหล่านี้ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดการสะท้อนที่รบกวนการจราจรทางอากาศ และมีช่องอากาศขนาด 16 มิลลิเมตรเพื่อลดเสียงจากเครื่องบินขึ้นและลงอีกด้วย

นอกจากความมหัศจรรย์ในเรื่องของการสร้างบรรยากาศให้ Jewel เป็นมากกว่าแค่ตึกที่เชื่อมอาคารโดยสารทั้ง 3 (Terminal1-3) เข้าด้วยกัน มันยังปรับปรุงและเพิ่มความพิเศษให้รถไฟฟ้าที่เชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสาร (Skytrain) ด้วยการอัพเกรดเป็นรถชมวิวน้ำตกแบบระยะประชิด

ช่วงแรกของโครงการก่อสร้าง ตัวรถไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของงานโครงสร้าง เพราะทีมสถาปนิกวางแผนจะให้น้ำตกสาดผ่านขบวนรถที่เคลื่อนผ่าน แต่เต็มไปด้วยปัญหาจนต้องตัดสินใจออกแบบให้น้ำตกเบี่ยงออกจากจุดศูนย์กลางเล็กน้อยเพื่อหลบการเคลื่อนที่ของรถไฟฟ้า และกลายเป็นการเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ให้กับ Jewel มากขึ้น

แน่นนอนว่างานยากถูกผลักให้เป็นภาระของฝั่งโครงสร้างแทน เนื่องด้วยน้ำหนักกระจกที่มากกว่า 6,000ตัน (ใกล้เคียงกับเครื่องบินแอร์บัส A3800 10 ลำ) งานโครงสร้างจึงต้องใช้เสา 14 ต้น รวมกับคานวงแหวนเพื่อรองรับน้ำหนักกระจกดังกล่าว หนักจริงเชียว

เราลองเดินลงไปสำรวจชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้นเพื่อฟังว่าเสียงจะดังมากแค่ไหน พอค่อยๆ เดินผ่านบันไดเลื่อนลงไป เสียงน้ำกระทบกลับค่อยๆ เบาลงจนกระทั่งเงียบสนิท เฮ้ย!

สิ่งที่อยู่ตรงหน้านอกเหนือจากร้านอาหารที่ล้อมรอบน้ำตกอยู่แล้วก็คือ กระจกหนาชิ้นใหญ่ที่เป็นเหมือนกระบอกน้ำที่รวมให้น้ำปริมาณมากไหลรวมกันลงไปยังระบบหมุนเวียนด้านล่าง เพื่อกลับไปใช้เป็นน้ำตกอีก และใช้หล่อเลี้ยงต้นไม้นานาพันธุ์ในอาคารแห่งนี้ ซึ่งหากฝนตกลงมาก็จะลงไปรวมกับน้ำตกขนาดใหญ่นี้ด้วย

เราพบว่ากระจกแก้วหนามาก เอาหูแนบก็ยังไม่ได้ยินเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา เด็กน้อยรอบๆ แลดูสนุกสนาน โดดเล่นไปมาและประหลาดใจเมื่อมองหน้าขึ้นไปดูน้ำที่กระทบขอบกระจกหายลงไปที่ไฟด้านล่าง

Jewel Changi Airport

พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อย แสงไฟที่ตกแต่งต้นไม้โดยรอบก็เริ่มเปล่งสีสัน ม่วงบ้าง เขียวบ้าง เพื่อรอเวลารอบการแสดงแสงสีเสียงที่มีทุกวันทุกชั่วโมงตั้งแต่ทุ่มครึ่งจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง แล้วน้ำตกก็จะหยุดพัก จนกระทั่ง 8 โมงเช้าวันถัดไป

Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport Jewel Changi Airport

ถ้าใครจะมาเยี่ยมชมน้ำตก ขอแนะนำให้มาก่อนการแสดงรอบสุดท้าย มิฉะนั้นจะเหลือแค่ศูนย์อาหารชั้นล่างสุด (B2) เป็นเพื่อนเล่นในยามวิกาล เพราะเป็นเพียงโซนเดียวที่เปิดบริการตลอดเวลา

ต้องยอมรับว่าสิงคโปร์มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการแสดงแสงสีเสียงผ่านม่านน้ำ ดังจะเห็นได้จากจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ของประเทศ เช่น บริเวณหน้า Marina Bay Sand จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโชว์ระยะเวลา 4 นาทีจะทำได้ดีเพียงใด

ขอแนะนำว่าให้ยืนชมไฟจากด้านข้างบริเวณชั้นลอยที่เป็นจุดชมน้ำตก จะได้ภาพประดับอินสตาแกรมที่อลังการกว่าการยืนจากลานด้านล่าง แต่หากไม่ชอบความแออัด พื้นที่ด้านล่างน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อ้อ เตรียมตัวเปียกเล็กน้อยด้วยนะ

Jewel Changi Airport

หลังจากสูดอากาศจากสวนในเมืองแห่งนี้จนเต็มปอด ก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปตามอาคารผู้โดยสารของตนเองเพื่อเดินทางกลับบ้าน อาคารโดยสารทั้งสามแห่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานเชื่อมอย่างไร้ที่ติ (อาคารผู้โดยสารที่ 4 ต้องนั่งรถต่อจากอาคารผู้โดยสารที่ 2)

เมื่อเรามองลงมาจากมุมสูงบนเครื่องบินจะพบว่า การลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อเนรมิตป่าในห้างครั้งนี้ ทำให้สนามบินสิงคโปร์ชางงีเหมาะกับตำแหน่งสนามบินที่ดีที่สุดในโลกจริงๆ

(สิงคโปร์ชางงีได้รับรางวัลสนามบินที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 7 แล้ว)

Jewel Changi Airport

www.jewelchangiairport.com

ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’

ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

Avatar

ส้มฉุน มะลิกุล

สาวโสดชาวไทยผู้จับพลัดจับผลูมาทำงานติดเกาะสิงคโปร์ เคยตั้งใจจะรีบทำงานเก็บเงินกลับบ้าน แต่หลังจาก 7 ปีก็เปลี่ยนเป็นเที่ยวให้รู้ กินให้สุข และลิ้มโกปี๊ (ดื่มกาแฟ) ก่อนที่เข่าและข้อเท้าจะไม่อำนวยให้ออกเดินทาง เย่!