กลางแสงแดดที่ร้อนระอุ ในท้องทุ่ง Masai Mara Game Reserve ประเทศเคนยา เราติดตามฝูงวิลเดอบีสต์ (Wildebeest) กลุ่มใหญ่ฝูงหนึ่งที่เคลื่อนที่ออกมาจากท้องทุ่งอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ซูยี คนขับรถของเราซึ่งเคยเป็น Park Ranger ผู้มีประสบการณ์ในท้องทุ่งแห่งนี้มากว่า 20 ปี หันมาบอกกับพวกเราว่า 

“พวกคุณโชคดีนะ ฝูง Wildebeest กลุ่มนี้กำลังมุ่งตรงไปยังแม่น้ำมารา”

สิ่งที่ผู้คนทั่วโลกใฝ่ฝันเมื่อมาเยือนซาฟารีในท้องทุ่งแอฟริกานั้น ก็คือการได้พบเห็นกับ Big 5 หรือ 5 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแอฟริกา ไม่ว่าจะเป็นช้าง สิงโต เสือดาว แรด และควายป่าแอฟริกัน ซึ่งในการเดินทางท่องซาฟารีในครั้งนี้ เราได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ครบตั้งแต่วันแรกๆ ของการเดินทางแล้ว และหากจะว่าไปแล้วถ้าอยากจะชมผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 นั้น เราสามารถเอานิ้วชี้จิ้มลงในแผนที่อันกว้างใหญ่ของแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงแอฟริกาใต้ ที่ใดก็ได้ที่มีท้องทุ่งสะวันนา หรือป่าไม้พุ่มที่เรียกว่า Bush แทบทุกที่นั้นเรามีโอกาสพบกับผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ได้ไม่ยากนัก

ฝูง วิลเดอบีสต์ ในขณะที่ว่ายน้ำข้ามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำมารา
ฝูง Wildebeestในขณะที่ว่ายน้ำข้ามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำมารา

สิ่งที่ทำให้ผมต้องเดินทางกลับมาท้องทุ่งมาไซ มารา อีกเป็นครั้งที่ 4 ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมคือ The Great Migration ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปีในท้องทุ่ง Serengeti และ Masai Mara ที่ฝูง Wildebeest นับล้านตัวจะอพยพไปมาตามวงรอบของฤดูกาล ไปตามแหล่งอาหารคือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ที่จะหมดและหมุนเวียนไปตามฤดูกาล 3 ครั้งแรกที่ผมมานั้นไม่เคยมีโอกาสพบช่วงเวลาที่ฝูง Wildebeest ข้ามแม่น้ำเลยสักครั้งเดียว

ทุกๆ ปีในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ฝูง Wildebeest ประมาณ 2 ล้านตัวจะเริ่มต้นการเดินทางจากบริเวณปล่องภูเขาไฟ Ngorongoro เพื่ออพยพไปยังท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ของ Serengeti ซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าระบัดสั้นๆ ที่เป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ช่วงเวลาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารนี้ พวกมันจะให้กำเนิดชีวิตใหม่ในราว 5 แสนตัว (แต่จะตายไปในช่วงแรกๆ ของชีวิตเกือบครึ่ง) ฝูง Wildebeest กระจายตัวกันอยู่เต็มท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ของ Serengeti 

ฝูง วิลเดอบีสต์ ในขณะที่ว่ายน้ำข้ามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำมารา
Wildebeest หรือ Gnu เป็น Antelope ชนิดหนึ่ง พบได้ทั่วไปในทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงแอฟริกาใต้ 

พอฝนเริ่มหยุดในช่วงเดือนพฤษภาคม พวกมันจะเริ่มต้นการเดินทางขึ้นเหนือข้ามแม่น้ำ Grumeti บริเวณ Western Corridor ของ Serengeti และประมาณเดือนกรกฎาคม พวกมันจะรวมตัวกันบริเวณมาราที่ตั้งอยู่ในแนวชายแดนของแทนซาเนียกับเคนยา ก่อนอพยพจากท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ของ Serengeti เข้ามาในพื้นที่ของมาไซ มารา ที่มีขนาดเล็กกว่า  

เหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกเดินทางมาเฝ้าคอยปรากฏการณ์ The Great Migration ที่มาไซ มารา ก็เพราะว่า เมื่อเทียบขนาดของพื้นที่กับจำนวนของ Wildebeest เกือบ 2 ล้านตัว ท้องทุ่งที่ดูกว้างขวางสุดลูกหูลูกตานั้นเต็มไปด้วย Wildebeest ขณะที่ใน Serengeti นั้นพื้นที่ที่กว้างใหญ่มากว่ามาไซ มารา เกือบ 10 เท่า เมื่อฝูง Wildebeest อพยพข้ามกลับไปในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ก่อนจะไปรวมตัวกันที่ปล่องภูเขาไฟ Ngorongoro อีกครั้งนั้น ฝูงส่วนใหญ่จะกระจายตัวออกจากกัน ไม่หนาแน่นเหมือนที่ตอนอยู่ในมาไซ มารา

ฝูง วิลเดอบีสต์ ในขณะที่ว่ายน้ำข้ามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำมารา
ท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ของมาไซ มารา เต็มไปด้วยฝูง Wildebeest ในช่วงฤดูอพยพ

ช่วงระหว่าง 2 เดือนที่ฝูง Wildebeest นับล้านตัวเข้ามายึดครองพื้นที่มาไซ มารา พวกมันจะแยกกันออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละหลายร้อย หลายพัน ไปจนหลายหมื่นตัว เดินหากินกันสับสนวุ่นวาย เพื่อเสาะหาแหล่งอาหาร แม้ว่าต้องเสี่ยงอันตรายกับการข้ามแม่น้ำมาราอันเชี่ยวกรากและเต็มไปด้วยจระเข้ แต่ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีฝั่งตรงข้ามแม่น้ำนั้น คือความหวังและความใฝ่ฝันที่ต้องฝ่าข้ามไปให้ได้

ฝูง Wildebeest หลายพันตัวในกลุ่มฝูงนั้น เดินวนเวียนรีรอมาหยุดที่ริมแม่น้ำตั้งแต่เช้า จนสาย จนเที่ยง จนบ่าย กระทั่งมีกลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวบุกเบิกประมาณ 5 – 6 ตัว บุกตะลุยข้ามน้ำนำไป ก่อนข้ามไปตอนประมาณบ่าย 2 โมง 

ในขณะที่กลุ่มใหญ่นั้นยังรีๆ รอๆ เดินวนไปวนมา จะข้ามหรือจะไม่ข้ามดี บางตัวแหย่ตัวลงไปในน้ำครึ่งตัวแล้วก็ถอยหลังกลับมา ในขณะที่ขบวนที่ตามมาก็หยุดชะงัก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความลังเล ความไม่แน่ใจในสถานการณ์ และสัญชาตญาณระวังภัยในชีวิต ที่ต้องชั่งน้ำหนักกันระหว่างความเสี่ยงเบื้องหน้าที่เห็นอยู่ กับความหิวโหยที่อยู่ด้านหลัง

จนเกือบจะมืด ก็มีฝูงหนึ่งที่ตัดสินใจกระโดดนำไปก่อน และทุกตัวที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำก็กระโดดตามลงไปพร้อมๆ กัน

ความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อ Widebeest กลุ่มหน้าสุดตัดสินใจกระโดดนำลงไปในแม่น้ำอันเชี่ยวกรากในช่วงเวลาใกล้ค่ำ
ความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อ Wildebeest กลุ่มหน้าสุดตัดสินใจกระโดดนำลงไปในแม่น้ำอันเชี่ยวกรากในช่วงเวลาใกล้ค่ำ

ภาพความสับสน ความวุ่นวาย ความตื่นตระหนก และความลังเลใจ ของฝูงสัตว์ป่าหลายพันตัวเกิดขึ้นเบื้องหน้าของผม และผมได้มีโอกาสบันทึกภาพเหล่านั้นเก็บไว้ 

กระแสน้ำในแม่น้ำมาราในวันนี้ไหลแรงมาก ฝูง Wildebeest ที่ลงไปอยู่ในน้ำจะถูกน้ำพัดออกไปทางฝั่งซ้าย ก่อนที่พวกมันจะต้องว่ายน้ำย้อนกลับมาขึ้นฝั่งตรงข้ามที่เป็นเนินลาดพอจะปีนขึ้นไปได้ ในแม่น้ำยังเต็มไปด้วยจระเข้ที่คอยดักเฝ้ารออาหารอันโอชะ และฮิปโปซึ่งหวงถิ่นของมัน

มีบางกลุ่มที่กระโดดลงไปจนครึ่งแม่น้ำแล้วตัดสินใจว่ายกลับมา ในขณะที่บางกลุ่มก็ว่ายฝ่าข้ามไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งได้เป็นผลสำเร็จ

จระเข้แม่น้ำไนล์ขนาดใหญ่ดักรอ Wildebeest ที่ตื่นตระหนกวิ่งเข้ามาหาปากของมัน ในขณะที่นอนซุ่มตัวอยู่เฉยๆ ริมฝั่งน้ำ
จระเข้แม่น้ำไนล์ขนาดใหญ่ดักรอ Wildebeest ที่ตื่นตระหนกวิ่งเข้ามาหาปากของมัน ในขณะที่นอนซุ่มตัวอยู่เฉยๆ ริมฝั่งน้ำ

การไปถึงอีกฝั่งแม่น้ำไม่ใช่จุดจบของเรื่องนี้ เพราะว่าตัวที่รอดผ่านจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากและฝูงจระเข้ที่ดักรอเหยื่อในแม่น้ำสายนี้ไปในวันนี้ ในฤดูกาลต่อไปพวกมันก็จะกลับมาที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้อีกครั้ง

มีการประมาณการไว้ว่า ในแต่ละปี มี Wildebeest ตายลงในระหว่างการเดินทางไกลราว 250,000 ตัว ทั้งจากความหิวโหย จมน้ำตาย ไปจนถึงถูกสิงโตและจระเข้ล่าระหว่างการเดินทาง

ธรรมชาติสร้างสมดุลของตนเอง จำนวนของสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี กับจำนวนของประชากรที่เสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางนั้นมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน และพวกมันก็ต้องเดินทางในวงรอบใหญ่แบบนี้ไปตามฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในทุกปี 

นก Marabou Stork เก็บกินซาก Wildebeest ที่จมน้ำตายลอยมาติดอยู่ในบริเวณตลิ่งข้างแม่น้ำมารา ในแต่ละปีจะมี Wildebeest ตายลงในระหว่างการเดินทางไม่ต่ำกว่า 2 แสนตัว
นก Marabou Stork เก็บกินซาก Wildebeest ที่จมน้ำตายลอยมาติดอยู่ในบริเวณตลิ่งข้างแม่น้ำมารา ในแต่ละปีจะมี Wildebeest ตายลงในระหว่างการเดินทางไม่ต่ำกว่า 2 แสนตัว

Writer & Photographer

Avatar

นัท สุมนเตมีย์

ช่างภาพใต้น้ำมืออาชีพที่เรียกได้ว่าคนแรกๆ ของประเทศไทย เริ่มต้นจากการเป็นช่างภาพและนักเขียนให้กับนิตยสาร อ.ส.ท. และ อีกหลากหลายนิตยสารทั้งในและต่างประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 ปัจจุบันนอกเหนือจากการถ่ายภาพแล้ว นัท ยังถ่ายภาพยนต์สารคดีใต้ท้องทะเล และบันทึกภาพทางอากาศให้กับทีมงานสารคดีหลายทีม