ไม่ว่าใครก็ต้องมีหนังสือที่ซื้อมาแล้วไม่ได้อ่าน เพราะไม่มีเวลา ลืมไปแล้วว่ามี หรือแค่เพียงรอเวลาดีๆ ที่จะหยิบมันขึ้นมาเริ่มละเลียดจับใจความ

เมื่อวันเพ็ญเดือนสิบสองที่ผ่านมา The Cloud ชวนเพื่อนนักอ่านหอบหนังสือเล่มหนาที่เกือบจะลืมไว้ก้นชั้นหนังสือ ขึ้นรถไฟไปอ่านด้วยกันที่ค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ นักอ่านทั้ง 50 คนเชื่อว่าบรรยากาศดีๆ เสียงน้ำไหล หมอกบางยามเช้า และดาวเต็มตายามค่ำคืน คงทำให้หนังสือดีๆ ออกอรรถรสมากขึ้นอีกหลายสิบเท่า

ทริปนี้ออกจะแปลกสักหน่อย ถ้าพูดตรงๆ ก็คือไม่มีกิจกรรมอะไรเลย กิจกรรมตลอดทั้งทริปมีเพียง 2 อย่าง คือกินข้าวและล้อมวงสนทนา นอกจากนั้นก็เชิญอ่านหนังสือกันตามชอบใจ

พี่ก้อง-ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการบริหาร The Cloud เปิดวงสนทนาด้วยการให้ทุกคนแนะนำตัวแบบ ‘อยากเล่าอะไรก็ให้เล่ามา’ เราเลยได้รู้ว่าคนที่มาทริปนี้ไม่ใช่แค่คนชอบอ่านหนังสือ แต่เป็นคนแปลกๆ ที่มีเหตุผลสนุกๆ ในการหอบหนังสือเล่มหนามาอยู่ร่วมกัน มีทั้งคนเพิ่งเริ่มทำงาน คุณพี่วัยเกษียณ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ คนทำงานอิสระ นักจิตวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ทนาย นักเขียน นักโบราณคดี พยาบาล ทันตแพทย์ รวมถึงนักแสดงละครใบ้

ถ้าไม่ได้มาทริปนี้ ไม่รู้ว่าต้องพึ่งพาโชคชะตาแบบไหนถึงจะได้ใช้เวลากับคนหลากหลายขนาดนี้พร้อมกัน

เราอาจจะต้องขอบคุณความเหนื่อยล้าจากการวิ่งตามความเร็วของชีวิต หลายคนตัดสินใจมาทริปนี้เพราะอยากพักจากงานยุ่งๆ บางคนอยากมาเจออากาศดีๆ และบางคนแค่เพียงอยากหาเวลาอยู่กับตัวเอง

แล้วก็ต้องขอบคุณความห่างเหินท่ามกลางความแออัดของเมืองใหญ่ ที่ทำให้บางคนมาอยู่ตรงนี้เพราะอยากพบคนที่คล้ายๆ กัน หรือพูดภาษาเดียวกัน

มีสมาชิกคนหนึ่งเขียนใบลางานที่บริษัทว่า ‘ขอลาไปอ่านหนังสือ’ เธอตั้งใจแบบนั้นและหลายๆ คนก็ตั้งใจแบบนั้น แต่พอเวลาผ่านไป เราต่างพบว่าการมาเชียงดาวครั้งนี้ การอ่านหนังสือดูคล้ายเป็นแค่ข้ออ้างที่ทำให้เราได้ละเลียดเวลาชีวิตอยู่ 4 คืน 3 วัน ได้ใช้เวลาอย่างสุรุ่ยสุร่ายบนรถไฟทั้งไปและกลับเที่ยวละ 13 ชั่วโมง จนถึงการจะอาบน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่สะดวกเนื่องจากเราว่างกันทั้งวัน

เราใช้เวลาไปกับการนั่งคุยกัน นอนเล่น กินข้าว จ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน ชงชา เดินไปร้านกาแฟ เอาเท้าแช่น้ำ นั่งล้อมกองไฟ เล่นกับหมา ถ่ายรูปควาย จนแทบจะลืมหยิบหนังสือเล่มที่เล็งไว้ขึ้นมาอ่าน

ทุกคืนที่มาล้อมวงเล่าเรื่องหนังสือ บทสนทนาก็มัวแต่จะออกทะเลไปเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับหนังสือสักเท่าไหร่ และก็เป็นบทสนทนาที่สนุกมาก แต่ขอโทษด้วยที่เราคงเอามาเปิดเผยที่นี่ไม่ได้

นอกจากจะคุยกันแล้ว เรายังหอบหนังสือ หนีบแก้วชา ไปหามุมสงบ นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ หรือไปแอบงีบใต้ต้นไม้ การได้นอนกลางวันใต้ต้นไม้ก็เป็นความสุขที่หวานหอมไม่แพ้การอ่านหนังสือ

เวลาผ่านไป จากคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นคนคุ้นเคย พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันกลุ่มเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ตั้งแต่เรื่องสัพเพเหระไปจนถึงเรื่องหนักๆ ในชีวิตอย่างออกรส เพราะเราเชื่อว่าเราเป็น ‘พวกเดียวกัน’ เป็นกลุ่มคนที่พกหนังสือไปทุกที่ ชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ

พวกเรามักจะพูดคุยกันตอนกินข้าว ซึ่งเป็นเวลาที่ใครๆ ก็รอคอย อาหารที่นี่อร่อยมากมาก แม้วันๆ พวกเราจะแทบไม่ได้ทำอะไร แต่ก็เจริญอาหารกันสุดๆ พ่อครัวแม่ครัวที่ค่ายถึงกับตกตะลึงกับปริมาณการกินของผู้มาเยือน ที่กินกันหมดเกลี้ยงจนต้องเปิดครัวทำอาหารออกมาให้เพิ่ม หลังจากนั้นพ่อครัวแม่ครัวก็จัดเต็มมาให้เรากินแบบไม่ยั้งทุกมื้อ

ผักสดๆ ที่นี่กินได้โดยไม่ต้องกลัวสารเคมี เพราะแม่ครัวยืนยันว่ารู้จักคนปลูก เข้ากันได้ดีมากๆ กับน้ำพริกแบบไม่ซ้ำกันสักมื้อ แกงคั่ว ผัดผัก หรือแม้แต่ของง่ายๆ อย่างไก่ทอด ผักทอด อาหารเหนือยอดฮิตอย่างข้าวซอยและขนมจีนน้ำเงี้ยวก็อร่อยถึงขั้นเอากลับมาคิดถึงอยู่หลายวัน

คืนที่ 3 ของการใช้ชีวิตร่วมกัน วันนั้นพระจันทร์อ่อนแสงลงไปแค่เล็กน้อย แต่เหล่าเมฆก็ใจดีหลีกทางให้คนบนพื้นพอจะมองเห็นดาวบนฟ้าบ้าง พวกเราเลยชวนกันมาล้อมวงก่อกองไฟเพิ่มความอบอุ่นที่กลางสนาม ไม่รู้ว่าเพราะเราเริ่มจะคุ้นเคยกันมากขึ้น อากาศที่หนาวจนต้องนั่งเบียดกัน หรือเป็นการพูดกันแบบเห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามแค่สลัวๆ กันแน่ ที่ทำให้พวกเราหลายคนได้เปิดใจคุยอะไรกันมากมายรอบกองไฟ

เริ่มจากหนังสือเล่มที่เปลี่ยนชีวิต ชีวิตที่มีเบื้องหลังเป็นตัวหนังสือ ความฝัน ความหวัง ความพยายาม พวกเราที่มาจากต่างที่ ต่างประสบการณ์ แล้วก็ต่างวัย ได้แลกเปลี่ยนพลัง แลกเปลี่ยนกำลังใจ ให้กับคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วัน ความอบอุ่นที่อยู่รอบตัวคืนนั้น เราว่ามันมีพลังมากพอๆ กับกองไฟตรงหน้าที่พวกเรานั่งมองมันกันเกือบทั้งคืน

วันเวลาเดินทางมาถึงวันสุดท้าย พี่ก้องขอให้ทุกคนแชร์ประสบการณ์จากทริปนี้แบบ ‘อยากบอกอะไรก็ให้บอกมา’ อีกครั้ง

ด้วยความที่เป็นทริปแสนอิสระ ความประทับใจก็ต่างกันไปตามสภาพ บ้างก็ชอบใจมากๆ ตรงที่นี่ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ได้ใช้ชีวิตแบบนิ่งสงบ ชอบบรรยากาศ ชอบวิว ชอบแดด ชอบเรื่องที่คุย ชอบหนังสือที่อ่าน แต่ที่ชอบกันที่สุดคือผู้คนที่ได้มาพบเจอ เราว่าคนชอบอ่านหนังสือเป็นคนที่มีเสน่ห์ คงเป็นเพราะคนชอบอ่านก็ชอบมีเรื่องมาเล่า มีความความคิดเห็นมาฝาก มีมุกมาเล่น แม้ว่าจะตลกบ้างไม่ตลกบ้าง แต่มันก็สร้างแรงกระเพื่อมเล็กๆ ในใจใครได้เสมอ

ความเรียบง่ายธรรมดาของเรื่องราวที่เกิดในทริปคงเหมือนกับตัวหนังสือในหนังสือเล่มหนาที่พวกเราชอบอ่าน ถ้ามองผ่านๆ มันก็มีแค่ตัวหนังสือกับช่องว่าง แต่ถ้าเราได้นั่งลงอ่านมัน เหมือนที่เราได้ทำความรู้จักกับใครสักคนแล้ว เราก็จะได้พบเรื่องราวที่ลึกซึ้ง น่าอ่าน น่าติดตาม น่าให้กำลังใจ ไม่ต่างกันเลย

ผู้คนที่ได้พบในทริปนี้เหมือนหนังสือรวมเรื่องหลายแนว หลากยุค บ้างก็เป็นเรื่องยาว บ้างก็เป็นเรื่องสั้น รวมๆ แล้วเรื่องเล่าจากชีวิตจริงมันอ่านสนุก บางทีอาจจะมากกว่าหนังสือเล่มหนาที่หอบหิ้วมาด้วยเสียอีก

มันก็จริงที่เราอ่านหนังสือที่ไหนก็ได้ แถมการอ่านคนเดียวน่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด แต่การเดินทางครั้งนี้ เราค้นพบว่าการอ่านหนังสือที่ออกรสที่สุด คือการอ่านแล้วมีคนฟังเรื่องที่เราเล่า ได้ฟังมุมมองของประโยคเดียวกันจากคนอื่น ความตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าโลกใบเล็กในหนังสือที่เรารักมากก็มีปรากฏอยู่ในชีวิตของคนอื่นด้วยเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้นกว่าเดิมว่าหนังสือที่เรามีอยู่เต็มตู้นั้นเป็นของวิเศษที่หาซื้อได้และมีอยู่จริง

ขอบคุณที่ร่วมสร้างวันดีๆ เอาไว้ให้คิดถึง แล้วพบกันใหม่หนา

ใครอยากไปทริปอ่านเถิดหนา 02 : รักนักหนา 15 – 19 กุมภาพันธ์ 2562 คลิกที่นี่เลย

Writer

พิชญา อุทัยเจริญพงษ์

พิชญา อุทัยเจริญพงษ์

อดีตนักโฆษณาที่เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักเล่าเรื่องบนก้อนเมฆ เป็นนักดองหนังสือ ชอบดื่มกาแฟ และตั้งใจใช้ชีวิตวัยผู้ใหญ่ไปกับการสร้างสังคมที่ดีขึ้น

Photographer

ทรงกลด บางยี่ขัน

ทรงกลด บางยี่ขัน

ตำแหน่งบรรณาธิการโดยอาชีพ เป็นนักเดินทางมือสมัครเล่น แบ่งเวลาไปสอนหนังสือโดยสมัครใจ และชอบจัดทริปให้คนสมัครไป