ถ้าคุณลอดกำแพงกระเบื้องสุดซอยปรีดีย์พนมยงค์ 26 จะพบกับคาเฟ่ในสวนที่ขายชา กาแฟ ขนม และของกระจุกกระจิกจากไต้หวัน นามว่า Thai灣 Café หรือ ‘ThaiWan Café’ ออกเสียงภาษาไทยว่า ‘ไทยหวัน’ แน่นอนว่ามาจากการนำชื่อประเทศไทย (泰国) และไต้หวัน (台灣) มาผสมกัน
เราผลักประตูไม้ออกก็ได้กลิ่นชาหอมฟุ้งตลบอบอวลอยู่ทั่วร้าน
อวิต้า (Lu Li Ching) และ เอ็ดดี้ (Han Yi Chun) คู่หูนักการตลาดชาวไต้หวัน ผู้เป็นเจ้าของร้านกำลังนั่งคอยอยู่, นิกกี้-ธัญธร ผดุงเกียรติวงศ์ ผู้จัดการร้านและล่ามของวันลุกขึ้นมาต้อนรับ


พี่แหม่ม พนักงานท่าทางใจดีกำลังต้มชาดำน้ำผึ้งอยู่ (นี่เองที่มาของกลิ่นหอม!)
ที่นี่ไม่เพียงแต่ขายอาหารและของเจ๋ง ๆ จากไต้หวัน แต่ยังจัดกิจกรรมนำเสนอวัฒนธรรมอยู่เรื่อย ๆ ทั้งบรรยากาศและผู้คนในร้านทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เพิ่งย้ายเข้าหอพัก
หลังวางกระเป๋าสัมภาระ เอ็ดดี้พาเราเดินชมรอบ ๆ เขาเล่าว่าเจ้าของที่ดินผืนนี้ลงมือปลูกต้นไม้เองทุกต้นจนกลายเป็นสวน มีระเบียงไม้ทอดตัวให้เดินถึงกันได้ทั่ว ในรั้วเดียวกันมีร้านหม่าล่า Jungle Hotpot และบ้านต้นไม้ที่เปิดให้แขกเข้ามาพัก ชื่อ Sunny Stone Bangkok มีผู้ร่วมอาศัยเป็นเต่ากับไก่หลายตัว เอ็ดดี้บอกว่าจริง ๆ ที่นี่มีนกยูงด้วย แต่เจอได้แค่ตอนเช้ากับตอนเย็น เพราะ “พวกนี้นิสัยเหมือนแมว” คืออยู่บ้านแค่เวลาอาหารเท่านั้น ส่วนระหว่างวันก็ออกไปตะลอนกันทั่ว
จากนักการตลาดสู่เจ้าของคาเฟ่
เรากลับเข้ามานั่งในร้าน พี่แหม่มนำชาและกาแฟมาเสิร์ฟ เราสั่งชานมเก๊กฮวยน้ำผึ้งมาชิม บทสนทนาของวงชาแฟเริ่มขึ้นที่ความเป็นมาของร้านนี้ เอ็ดดี้เล่าย้อนไปว่าจริง ๆ เขาและอวิต้าทำบริษัทมาร์เก็ตติ้งที่ไต้หวัน แต่ขยับขยายธุรกิจมาเช่าตึกเพื่อทำสำนักงานในไทย บังเอิญว่าเจ้าของตึกคนไทยมีที่ดินเป็นสวนว่าง ๆ อยู่ แล้วนึกอยากเปิดคาเฟ่ จึงชักชวนให้ทั้งสองลองมาเป็นเถ้าแก่ด้วยกัน
“พอเขาชวน ผมก็คิดว่าเราเป็นบริษัทมาร์เก็ตติ้งจะมาเปิดร้านกาแฟทำไม เลยบอกไปว่าไม่น่าจะทำได้นะครับ” เอ็ดดี้พูดขำ ๆ เราเลยถามต่อว่า ในท้ายที่สุดทำไมคุณถึงมาเปิดร้านนี้ เขาตอบว่า
“เพราะพวกผมอยากมีสถานที่จัดแสดงสินค้าสักแห่ง แบรนด์จากไต้หวันที่เป็นลูกค้าของเราหลายเจ้าอยากมาขายสินค้าในประเทศไทย เราทำหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านนี้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาจะจัดนิทรรศการแค่ไม่กี่วัน ทำไปนาน ๆ ก็อยากมีสถานที่ที่เมื่อนิทรรศการจบแล้ว คนยังมาซื้อของได้“


แทนที่จะไปหาร้านเช่าขายของ กลับตกลงปลงใจกับเจ้าของตึกว่าจะเช่าที่เปิดคาเฟ่เสียอย่างนั้น
“เราไม่อยากให้คนที่มามีแค่คนที่อยากซื้อของ เลยมองว่าถ้าทำคาเฟ่ควบคู่ไปด้วยก็ดีเหมือนกัน จะได้เข้าถึงคนทั่วไปง่ายขึ้น พอคนมา เราค่อยหาทางขายของก็ได้ แถมเรายังได้รู้ฟีดแบ็กจากลูกค้าหลายแบบด้วย” ทุกคนยอมรับว่าการทำคาเฟ่ทำให้เหงื่อตกอยู่เหมือนกัน เพราะประสบการณ์ในด้านนี้เป็นศูนย์
เราถามเขาตรง ๆ ว่า สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าจะเปิดคาเฟ่ได้คืออะไร เอ็ดดี้ออกตัวเขิน ๆ ว่า
“เราเป็น Coffeeholic ก็เลยพอรู้ว่ารสชาติต้องเป็นแบบไหน ทำด้วยกระบวนการแบบไหน ซึ่งบริษัทเรารู้จักไร่ชาในไต้หวันอยู่ เลยเอาชามาขายที่นี่ด้วย เน้นขายของที่เราชอบและรู้ดีก่อน”
Social-Cafe-Culture
‘Social-Cafe-Culture’ คือสโลแกนที่ปรากฏอยู่บนป้ายหน้าร้าน
เพราะที่นี่อยากเป็นพื้นที่ให้คนหลากหลายได้มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน
อวิต้าบอกว่าแขกที่มาเยือน ThaiWan Café ใช้เวลาอยู่ในที่นี่ราว 1 – 2 ชั่วโมง เธอจึงมีความคิดว่า นอกจากบริการขนม-เครื่องดื่ม ยังทำอะไรได้อีกแยะ เลยตั้งใจนำเสนอวัฒนธรรมไต้หวันผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับผู้สนใจแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เช่น การชงชา การเขียนตัวอักษรจีน การปั๊มโปสต์การ์ดสีมงคล



“รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ เข้าไปอยู่ในใจของผู้คน อย่างกิจกรรมชิมชา เราเริ่มจากเปิดให้คนที่สนใจชามาเข้าร่วม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแนะนำให้คนรู้จักไต้หวัน” อวิต้าเล่า
เรามองว่านี่เป็นการตลาดที่น่ารักและแยบคาย เพราะเมื่อลูกค้าสั่งชา พี่แหม่มก็เล่าที่มาที่ไปของชาให้ลูกค้าฟังได้ “ชาจากเมืองฮวาเหลียนนะคะ” ตอนยกชาไปเสิร์ฟก็เล่าได้อีกว่า “ที่รองแก้วเลียนแบบมาจากกระเบื้องในบ้านสไตล์ดั้งเดิมของไต้หวันค่ะ” พอลูกค้าไปกดชาใบบัวที่มีให้ดื่มฟรี พี่แหม่มก็มักเสริมให้ฟังว่า “ชานี้ทำขึ้นเพื่อแก้ปัญหาใบบัวล้นชุมชนในไต้หวัน” เราฟังแล้วอยากชิมทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย
จากวัฒนธรรมสู่สินค้าดีไซน์น่ารัก
นิกกี้เดินไปสั่งพานาคอตต้าสตรอว์เบอร์รีให้เรา แต่สตรอว์เบอร์รีหมด ทุกคนเลยอดกิน เราเสียดายนิด ๆ เพราะคิดว่าถ้ากินกับชาร้อนต้องเข้ากันมากแน่ ๆ (ฝากชิมแทนด้วยนะ) นิกกี้เลยเปลี่ยนมาสั่งเวเฟอร์และเค้กไข่ ระหว่างรอขนมเราก็ชวนกันไปเดินดูชั้นวางสินค้า มีสิ่งหนึ่งที่เราได้รู้ คือไต้หวันเป็นประเทศที่ทำของใช้กระจุกกระจิกออกมาเยอะมาก ๆ บ่อยครั้งก็ออกแบบให้เกี่ยวข้องกับประเทศ มองเผิน ๆ ดูคล้ายของฝาก แต่จริง ๆ แล้วคนที่นั่นก็ชอบสินค้าพวกนี้ จนมีคำเรียกว่า 文創 (เหวินช่วง) ย่อมาจาก 文化創意產品 (เหวินฮว่าช่วงอี้ฉานผิ่น) แปลว่า สินค้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์


สินค้าที่เราแนะนำให้ซื้อกลับบ้าน คือแผ่นรองแก้วสีแจ่ม ทำเลียนแบบกระเบื้องของบ้านไต้หวันโบราณ แต่เดิมกระเบื้องมีลวดลายดอกไม้และธรรมชาติ คนเรียกกันว่า 花磚 (ฮวาจวน) แปลว่า กระเบื้องดอกไม้ แต่จริง ๆ ไม่ได้มีแค่ลายดอกไม้ บางทีก็เป็นลวดลายสัตว์มงคลอย่างนกยูง บ้างก็ทำเป็นลวดลายคติสอนใจ อย่างการตั้งมั่นในคุณธรรม รักพ่อ-รักแม่ คล้าย ๆ จิตรกรรมในวัดไทย
“เมืองอิงเกอที่ไต้หวันขึ้นชื่อด้านเซรามิก เขาไม่อยากให้คนรุ่นใหม่ลืมสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เพราะไต้หวันมีศิลปะหลายแบบมาก ทั้งศิลปะแบบโบราณ ศิลปะในยุคอาณานิคม เขาเลยไปหาดีไซเนอร์มาประยุกต์แบบกระเบื้องโบราณให้กลายเป็นเป็นที่รองแก้วเซรามิก” นิกกี้เล่า

ถัดมาคือไม้บรรทัด พิเศษตรงมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นหน่วยวัดเซนติเมตร อีกด้านหนึ่งบอกความสูงของภูเขาแต่ละลูกในไต้หวัน อวิต้าหยิบไม้บรรทัดขึ้นมา แล้วเล่าถึงภูมิประเทศของบ้านเกิดว่า
“ไต้หวันเป็นเกาะยาว ๆ มีภูเขาทอดตัวอยู่ตลอดทั้งเกาะ คนที่นั่นชอบไปปีนเขา ธรรมชาติของไต้หวันก็อุดมสมบูรณ์ ในสมัยที่ดัตช์ปกครอง เรียกที่นี่ว่า Ilha Formosa หรือ เกาะสวยงาม”

ส่วนสินค้าชิ้นสุดท้ายที่เราอยากแนะนำ มาจากความชอบส่วนตัวล้วน ๆ นี่คือลิปมันรูปทรงอุ้งเท้าแมว ซึ่งอุ้งเท้านุ่มเด้งเหมือนเท้าแมวจริง ๆ แถมเลือกสีด้านในและเลือกสีของมือแมวได้ ในแบรนด์เดียวกันยังมีครีมทามือที่บนฝาก็เป็นอุ้งเท้าแมว (อีกแล้ว) เราส่งเสียง ว้าว โอ้ว น่ารักมาก ออกมาตลอดเวลา

ที่ ThaiWan Café ยังมีสินค้าดีไซน์น่ารักอีกเพียบ อย่างตัวต่อที่เสียบปากกาลายสถานที่ต่าง ๆ ในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นจิ่วเฟิ่น ตึกไทเป 101 รวมถึงแท่นวางโทรศัพท์ลายซอฟต์พาวเวอร์อย่างนมมะละกอ ชานม ไก่ทอด เอาเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างสอดแทรกเรื่องราวที่เล่าถึงไต้หวันได้ทั้งหมด เรามั่นใจว่าคนที่เคยไปไต้หวันก็คงพอทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครไปก็ต้องไปเที่ยว ไปกิน ไปทำ
“ดีไซเนอร์ไต้หวันหลายคนมีของดีอยู่กับตัว แต่เขาไม่ได้สื่อสารหรือนำเสนอออกไปในวงกว้าง และบางแบรนด์ก็ไม่ใหญ่พอที่รัฐบาลจะเข้าไปสนับสนุน ในฐานะที่เราเป็นคนไต้หวัน ซึ่งรู้จักแบรนด์เล็ก ๆ ที่ทำสินค้าดี ๆ มากมาย ก็อยากนำแบรนด์ดี ๆ เหล่านั้นมาให้คนไทยได้ทำความรู้จักด้วยเหมือนกัน”
นอกจากเป็นคาเฟ่และแหล่งเผยแพร่วัฒนธรรม ที่นี่ยังเป็นพื้นที่แสดงสินค้าในต่างแดนที่อวดของดี ศักยภาพ และความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบด้วย กระซิบดัง ๆ ว่า ThaiWan Café กำลังวางแผนจะพาดีไซเนอร์ไต้หวันมาขายของที่คาเฟ่แห่งนี้ในเดือนตุลาคม แวะไปอุดหนุนกันได้นะ
จากวัตถุดิบสู่อาหาร-เครื่องดื่มมากเรื่องราว
เรากลับมาที่โต๊ะ อาหารที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี นิกกี้สั่งชานมไต้หวันรสฟักเขียวบราวน์ชูการ์และชาเก๊กฮวยไต้หวันเลมอนฮันนี่มาให้ลอง แก้วแรกรสหวานหอม ส่วนแก้วหมายเลข 2 ดื่มแล้วสดชื่น
อวิต้าบอกว่าชาทั้ง 2 ชนิดมาจากเมืองฮวาเหลียน บริเวณหน้าเคาน์เตอร์มีชาประเภทต่าง ๆ ให้ลองดม สังเกตว่าเจ้าชาเก๊กฮวยไต้หวันนี้แปะป้ายชื่อไว้ว่า TaiwanTea หรือ ชาไต้หวัน เพราะเก๊กฮวยสายพันธุ์นี้มีแค่ที่ไต้หวันเท่านั้น ชื่อว่า ‘小油菊 (เสี่ยวโหย๋วจวี๋)’ เป็นเก๊กฮวยดอกเล็ก ๆ ซึ่งไม่เหมือนเก๊กฮวยขาวที่บ้านเราคุ้นเคย ดอกกระจิริดเสียจนคนสายตาสั้นแบบเราเผลอมองเห็นเป็นเมล็ดเสาวรส


ส่วนชานมใช้ชาดำน้ำผึ้ง เอ็ดดี้อธิบายว่าไม่ใช่ชาดำผสมน้ำผึ้งแต่อย่างใด แต่เป็นใบชาปกติที่โดนแมลงกัดกิน ต้นชาเลยพยายามออกใบใหม่ ซึ่งใช้แรงเร่งจนใบชาที่งอกใหม่มีกลิ่นเฉพาะคล้ายน้ำผึ้ง
ต่อมาเราลองชิมเวเฟอร์รสคัสตาร์ด (นึกถึงขนมยี่ห้อครีโก้) ที่นำเข้าจากไต้หวัน ต่อด้วยเค้กไข่ปั๊มคำว่า 发财 แปลว่า ร่ำรวย ซึ่งพี่แหม่มเป็นคนพัฒนาสูตรและอบเอง


เครื่องดื่มแก้วถัดมาที่นิกกี้แนะให้เราลองชิมคือชาใบบัว ชานี้ทำขึ้นเพื่อแก้ปัญหาใบบัวในชุมชนล้นจนกลายเป็นขยะ เราทำใจไว้แล้วนิดหน่อยว่าต้องไม่ถูกปากแน่ เพราะเราเคยดื่มชาดีบัวแล้วรู้สึกว่ายังไม่ถูกใจ แต่ผิดคาด ชาใบบัวนี้มีรสหวานจากธรรมชาติ ไม่ขม แถมยังหอมอีกต่างหาก
จู่ ๆ เอ็ดดี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชาใสกิ๊ง เขาบอกว่ากินชาเก๊กฮวยแบบนี้กลิ่นหอมกว่า เขารินชาใส่แก้วให้ วันนี้เราดื่มชาไป 4 แก้ว แถมขนมมากมาย ก่อนกลับยังได้ชิมบะหมี่อีก 1 จาน เรารู้สึกเหมือนมาบ้านเพื่อนครั้งแรก เกรงใจด้วย ตื่นเต้นด้วย นั่งกุมมือตัวเองแต่ก็ชิมทุกอย่างแบบใจจดใจจ่อ

จากไต้หวันสู่ไทยหวัน
ในร้านมีกระจกอยู่บานหนึ่งที่อวิต้าบอกเราว่า
“มองจากไทยเข้ามาไต้หวัน มองจากไต้หวันออกไปไทย”
จริง ๆ แล้วเมื่อมองออกไปนอกกระจกจะเห็นรั้วปูนที่มีประติมากรรมนูนต่ำรูปวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งในอดีตไต้หวันก็ทำเกษตรกรรมเหมือนบ้านเรา นั่นคือความคล้ายคลึงกันที่อวิต้ากำลังบอก
โคมไฟบนเพดานบางดวงเป็นส่วนประกอบของเกวียน โทนสีกำแพงอิฐของร้านก็เป็นโทนที่สถาปัตยกรรมไต้หวันนิยม ดูอย่าง The Red House ที่ไทเปก็ได้ แต่อิฐที่ใช้เป็นศิลาแลงของไทย
เหล่านี้เป็นความตั้งใจผสมผสานระหว่างความเป็นไทยกับไต้หวัน เป็นที่มาของ ‘ไทยหวัน’



คนไทยกับคนไต้หวันมีทั้งจุดที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่สุดซอยปรีดีพนมยงค์ 26 ไม่ไปไหน รอให้ทุกคนมาร่วมสนุกไปด้วยกัน
“ไทยหวัน คาเฟ่ ยินดีต้อนรับทุกคนที่อยากทำความรู้จักไต้หวันมากขึ้น หรือถ้าอยากพาธุรกิจของคุณไปไต้หวันก็มาหาเราได้เช่นกัน” เอ็ดดี้ปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะ สมแล้วที่เขาเป็นนักการตลาด!
