17 กุมภาพันธ์ 2018
5 K

“ขณะนี้เครื่องบินได้ทำการลดระดับ เราได้นำทุกท่านสู่เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน  เป็นที่เรียบร้อย ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ…” 

หลังจากสิ้นสุดเสียงประกาศของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เราก็เดินทางจากมหานครนิวยอร์กสู่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่ที่เราจะต้องใช้ชีวิตไปอีก 90 วัน เป็นที่เรียบร้อย โดยที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะไม่สามารถบินออกนอกประเทศได้ วีซ่าทำงานที่เป็นแบบเข้าออกรอบเดียว และตารางงานที่อัดแน่นจนแทบไม่มีเวลาพัก 

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการมาปักกิ่ง แต่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเราที่มาจีน แต่ถ้าลองมานั่งๆ คิดดูมันก็ไม่บ่อยมากนักที่จะมีแพลนมาที่นี่ เท่าที่จำได้ครั้งสุดท้ายก็น่าจะตอนที่บินมาที่กวางโจวเมื่อหลายปีก่อน เพื่อดูช่องทางทำธุรกิจ แต่สุดท้ายก็ล้มพับความคิดนั้นไป แล้วก็หันเหไปเรียนทำขนมแทน 

เราเดินทางมาเจอกับพี่ทีมงานอีกหนึ่งคนที่เดินทางมาจากประเทศไทยในเวลาใกล้เคียงกัน พร้อมกับผู้จัดการชาวจีนที่รอรับเราอยู่ที่สนามบิน ในตอนนั้นอากาศที่ปักกิ่งกำลังดีในช่วงปลายเดือนมีนาคม เราก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาได้บ้าง หลังจากสู้รบกับสภาพอากาศหนาวสุดๆ ที่นิวยอร์กมาหลายเดือน 

จะว่าไปทุกอย่างในชีวิตเราช่วงนี้มันเกิดขึ้นไวมากเลยนะ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ก่อนที่เราจะถูกค้นตัวเจอและถูกทาบทามให้มาทำงานที่ประเทศจีน เรายังเป็นนักเรียนที่กลางวันก็เรียน กลางคืนก็ไปวิ่งเสิร์ฟอาหาร เวลาว่างก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่นิวยอร์กอยู่เลย แต่ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มต้นการเป็นนักแสดงอีกครั้งในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใครๆ ก็อยากก้าวเข้ามา มันเหมือนเรื่องแต่งไปหน่อย ขนาดที่เราเองยังแทบไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเท่าไหร่เลย เรากลัวคนอื่นไม่เชื่อ จะมีก็แค่ครอบครัว แล้วก็เพื่อนสนิทที่พอรู้อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็นึกภาพตามไม่ออกว่าที่เรากำลังจะโกอินเตอร์มันเป็นไปได้จริงหรอ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตัวเราเองยังไม่รู้เลยว่าต้องเตรียมตัวยังไง

หลายๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะยังนึกภาพไม่ออกเหมือนกันใช่มั้ยว่าเรากำลังจะทำอะไรที่ประเทศจีนหรือมันเปลี่ยนชีวิตเรายังไง ไม่เป็นไร เรายินดีอธิบายให้ฟังอย่างเข้าใจง่ายๆ คือ มีบริษัทในประเทศจีนเห็นผลงานซีรีส์เล็กๆ ที่เราเล่นผ่านยูทูบ และตามหาว่านักแสดงคนนี้อยู่ที่ไหน แต่ตอนนั้นเราเดินทางไปเรียนต่อที่นิวยอร์กแล้ว ก็เลยมีแคสติ้งผ่านวิดีโอส่งข้ามประเทศไปมา จนสุดท้ายทางบริษัทตอบตกลง และเราตัดสินใจกลับมาที่จีน 

เรากำลังจะเล่นซีรีส์ความยาว 20 ตอน ออกอากาศแบบออนไลน์ในสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศจีน ด้วยการรับบท ‘พระเอก’ คู่กับนักแสดงจีนที่กำลังเป็นที่ถูกจับตามองจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกวง ‘SNH48’ หรือเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีกก็คือ เรากำลังจะเล่นละครเป็นพระเอก (อีกครั้ง) คู่กับคนที่ร้องเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย เวอร์ชันจีนนั่นแหละ 

เป็นยังไง…พอจะเริ่มตื่นเต้นไปกับเราได้บ้างรึยัง?

ถึงแม้จะยังคงเจ็ตแล็กอยู่ แต่ตารางชีวิตเราก็วุ่นวายทันทีหลังจากเริ่มต้นเช้าวันใหม่ในวันรุ่งขึ้น เราตื่นเช้าเพื่อเข้าฟิตเนสทุกวันประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเราจะถูกจัดตารางให้เริ่มเดินสายทำความรู้จักกับบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในจีนอย่างยาวเหยียด วันละหลายๆ ที่ พบปะพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายๆ คน เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงาน หลักๆ ก็เป็นเหมือนการแนะนำตัวให้กับทุกคนได้รู้จักว่ามีคนไทยกำลังจะมาเริ่มต้นทำงานอย่างเป็นทางการที่ประเทศจีน ให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วสมัยเข้าวงการใหม่ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้สบายหน่อยตรงที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งยิ้ม ไม่ต้องพูดอะไร และนั่งฟังผู้ใหญ่คุยภาษาจีนกัน โดยที่เราฟังไม่ออกสักคำ 

อ้อ…ลืมไปเรารู้จักคำว่า ‘หนีห่าว’ นี่นา

เราพูดภาษาจีนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ทางเดียวที่จะสื่อสารกับคนอื่นได้คือ ภาษาอังกฤษ และคุยผ่านล่ามที่เป็นทั้งผู้จัดการและล่ามในคนเดียวกัน 

สัปดาห์ที่ 2 ของการอยู่ที่ปักกิ่ง เรามีคิวฟิตติ้งชุดทั้งหมดเพราะทีมงานไม่เคยเจอตัวจริงเรา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมาที่ปักกิ่งก่อน ทีมงานเลยต้องนำเสื้อผ้าทั้งเรื่องประมาณ 30 ชุดมาให้ลองใส่ ทั้งแบบปกติและย้อนยุค ใช่! ในเรื่องเราต้องแต่งตัวย้อนยุคด้วย เรากำลังจะเหาะได้เหมือนในละครจีนกำลังภายในที่ดูสมัยเด็กๆ แล้ว ส่วนเรื่องการแต่งหน้าทำผมของที่นี่ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบ้านเราเลยนะ ที่นี่แต่งหน้าน้อย ลงรองพื้นให้หนา แต่แทบไม่ต้องลงแป้งและปัดแก้มหรือเฉดใดๆ แรกๆ เราก็หงุดหงิดเพราะหน้ามันดูมัน อาจจะด้วยสภาพอากาศที่ไม่ร้อน และกล้องที่ความละเอียดสูงลิบ ดูข้างนอกอาจจะดูแปลกๆ แต่พออยู่ในกล้องก็ดูธรรมชาติขึ้นมาซะเฉยๆ รวมถึงรสนิยมที่ชื่นชอบผู้ชายสีผิวไม่ขาวมาก ตาโต คิ้วเข้ม ที่เราเคยคิดว่าคิ้วเราเข้มมากแล้วนะ ช่างแต่งหน้าก็ยังเขียนด้วยดินสอเขียนคิ้วอยู่พักใหญ่ จนเราตกใจว่าทำไมคิ้วถึงได้หนาเป็นชินจังแบบนี้ แต่พอไปอยู่ในกล้องก็เข้าใจว่ามันเหมาะกับทุกอย่างรอบตัวอย่างเหลือเชื่อ

การมาทำงานที่จีนโดยที่ไม่สามารถใช้ Google, YouTube, Instagram, Facebook หรือแม้กระทั่ง Line ได้ เพราะประเทศจีนบล็อกทุกอย่างไม่ให้คนในประเทศสามารถใช้โซเชียลมีเดียเหมือนกับทั่วโลกได้ คือความอึดอัดอย่างมากในช่วงแรก เพราะนั่นคือช่องทางการติดต่อทั้งหมดของเรากับโลกภายนอก แต่เราต้องเริ่มทำความรู้จักกับ WeChat, Weibo และ Youku แทน ซึ่งทุกอย่างแทบจะเหมือนกันแค่เป็นเวอร์ชันภาษาจีนเท่านั้นเอง คนอ่านจีนไม่ออกอย่างเราก็หมดสิทธิ์ แต่ข้อดีก็คือ เรามีเวลามากพอจะตั้งใจทำงาน พอมีเวลาว่างก็เริ่มเอาหนังสือพูดภาษาจีนแบบง่ายๆ มานั่งอ่าน ฆ่าเวลาได้พอสมควร 

10,994 คือตัวเลขระยะทางกิโลเมตรจากนิวยอร์กถึงปักกิ่ง มันไม่ได้แสดงถึงแค่ระยะทางที่แสนไกลของการเดินทางเพียงอย่างเดียวนะ ถึงวันนี้มันกำลังจะบอกกับตัวเราเองว่าชีวิตเราได้เดินทางมาไกลแค่ไหนจากจุดเริ่มต้น ถึงแม้ในการเดินทางเราอาจจะใช้เวลาแค่สิบกว่าชั่วโมงในการนั่งเครื่องบิน แต่สำหรับการเดินทางในชีวิต มันคือสิบปีที่เราอยู่ในวงการบันเทิง จากคนที่ไม่เชื่อและหมดศรัทธากับการเป็นนักแสดงของตัวเองไปแล้ว จนหันเหไปจริงจังกับการทำขนม 

แต่ถึงวันนี้กลับมีคนที่มอบโอกาสให้อีกครั้งเพื่อทำในสิ่งที่เราเคยมองหาโอกาสพิสูจน์ ถึงแม้ว่าเราจะทำอะไรเยอะแยะมากมายในชีวิต แต่ความสุขที่ได้เป็นนักร้อง นักแสดง ก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงความฝันในชีวิตของเราเสมอ ถึงแม้ในประเทศไทยเราจะไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ว่าเราเป็นได้มากกว่านักร้องบอยแบนด์ขายหน้าตา หรือต่อให้ในประเทศไทยเราอาจจะเป็นแค่นักแสดงเก่าที่หลายๆ คนอาจจะคุ้นหน้า หรือบางคนอาจจะจำไม่ได้ไปแล้ว แต่เราก็ภูมิใจทุกครั้งที่เป็นนักแสดงไทย ได้บอกกับทุกคนที่จีนว่าเราภูมิใจในความเป็นคนไทยแค่ไหน 

เราไม่รู้ว่าลมทะเลจากทิศไหนพัดพาโอกาสที่ดีมากๆ ครั้งนี้มาสู่ชีวิต แต่เราจะตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพราะเราว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ยังเหลือเวลาอีก 80 วันให้ได้เรียนรู้กับการทำงานที่นี่คงมีอะไรเยอะแยะรอเราอยู่

To be continued … 

Writer & Photographer

Avatar

คณิศ ปิยะปภากรกูล

นักร้อง-นักแสดง ที่ผันตัวเองมาเป็น Youtuber เริ่มออกเดินทางตามความฝันการเป็นเชฟทำขนมมือใหม่