การวิ่งตามความฝันของคนเราต้องเตรียมตัวกันยังไง? เราจำเป็นจะต้องมีรองเท้าวิ่งดีๆ มั้ย? แล้วระหว่างที่วิ่งมีจุดพักดื่มน้ำเหมือนตอนเราวิ่งมาราธอนรึเปล่า? แล้วถ้าวิ่งไม่ไหว เราแกล้งเจ็บขาให้รถพยาบาลมารับไปที่เส้นชัยเลยได้มั้ย?

อยู่นิวยอร์กมาจะครบ 3 เดือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็พบว่าเงินที่เตรียมไว้ในบัญชีลดลงจนเริ่มใจคอไม่ดี ตายล่ะ…แล้วแบบนี้จะอยู่รอดครบปีรึเปล่า

เรื่องเงิน ในตอนแรกเราก็คิดว่าไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แต่พอรู้ตัวอีกทีเราก็เครียดเรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นคนไม่กล้ากินอะไร ไม่กล้าซื้ออะไร คิดวนไปมาว่าของทุกอย่างแพง จนร่างกายเริ่มป่วย เริ่มไม่มีสมาธิในการเรียน และเริ่มไม่ค่อยมีความสุขกับการใช้ชีวิต

เราตัดสินใจมองหางานพิเศษทำหลังเลิกเรียนทันที ซึ่งงานที่มีให้เลือกในตอนนี้ก็มีมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทำครัว เสิร์ฟอาหาร ทำครัว เสิร์ฟอาหาร (ประชด) ก็มีอยู่เท่านี้แหละที่ทำได้สำหรับนักเรียนต่างชาติที่มีข้อจำกัดของวีซ่าว่าห้ามทำงานโดยเด็ดขาด แต่ตอนนั้นเราเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่รอช้า ในเมื่อมีใบประกาศจากโรงเรียนสอนทำอาหารสัญชาติฝรั่งเศสอยู่ในมือแล้ว จะไปกลัวอะไร ก็เลยไปสมัครเป็นผู้ช่วยเชฟเตรียมขนมก่อนเสิร์ฟในร้านเบเกอรี่ย่านโคเรียนทาวน์ สรุปคือ ไม่รับ!!! ก็แน่น่ะสิ ทำงานได้แค่หลังเลิกเรียน แถมยังถือวีซ่านักเรียน ยิ่งทำงานยากขึ้นไปอีก

เราเลยลองไปปรึกษาพี่ๆ คนไทยที่อยู่ที่นี่มาก่อนเรื่องการหางานพิเศษทำ ก็ได้ความว่ามีร้านอาหารไทยกำลังต้องการคนมาช่วยงานอยู่หลายที่ จนสุดท้ายเราก็ได้งานที่ร้านอาหารไทยเล็กๆ ย่านไทม์สแควร์

ตอนแรกเราขอสมัครตำแหน่งในครัว จะได้หยิบจับนั่นนี่อย่างที่ถนัด แต่สุดท้ายก็ถูกผลักให้ออกมาเสิร์ฟที่หน้าร้าน

“หน้าตาดีๆ อย่างนี้จะมาอยู่ทำไมหลังครัว เสียดายของ ไปเสิร์ฟหน้าร้านโน่น”

โอเค!!! เสิร์ฟก็เสิร์ฟ อย่างน้อยพี่เขาก็ชมว่าหน้าตาดีล่ะ

“สวัสดีครับ ผมเป็นเด็กเสิร์ฟครับ”

คณิศ ปิยะปภากรกูล

นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นเด็กเสิร์ฟจริงๆ โดยไม่มีกล้องจับอยู่แบบตอนถ่ายละคร ถ้าไม่นับช่วงที่ไปฝึกงานครัวในร้านอาหารเมื่อปีก่อน

หน้าที่ของเด็กเสิร์ฟก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดนะ เราต้องเริ่มงานตั้งแต่ 17.30 น. – 22.00 น. เอาเป็นว่าหลังเลิกเรียนก็รีบนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาทำงานทันที ในเวลางานก็ต้องรับออร์เดอร์ลูกค้าที่เข้ามาในร้าน นำออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งส่งไปให้พ่อครัวด้านหลังร้าน ต้องคอยดูแก้วน้ำของลูกค้าอย่าให้พร่อง ต้องอย่าลืมยิ้มหรือพูดคุยทักทายกับลูกค้า เพราะนั่นอาจจะส่งผลถึงทิปที่ลูกค้าจะให้เราตอนเก็บเงิน หลังจากร้านปิดต้องเก็บโต๊ะ เก็บกวาดร้าน รวมไปถึงทำความสะอาดห้องน้ำให้เรียบร้อย หรือถ้าวันไหนหิมะตกก็จะต้องออกไปโรยเกลือหน้าร้านให้หิมะละลาย แล้วทำความสะอาดหิมะที่เริ่มละลาย ก็เป็นอันเสร็จ 1 วัน

รายได้ของเด็กเสิร์ฟจะตายตัวแล้วแต่ตกลงกับเจ้าของร้าน และจะมีทิปจากลูกค้าเป็นส่วนพิเศษ ที่จะเอามานับหลังเลิกงานทุกวันแล้วแบ่งให้พนักงานทุกคนในจำนวนเท่าๆ กัน

ทิปในร้านอาหารที่อเมริกาถือว่าจำเป็นต้องให้เลยนะ บางทีทิปนี่สามารถสั่งอาหารเพิ่มได้อีกเป็นจานเลย แต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องทำให้กัน เราเคยเจอชาวต่างชาติบางคนให้ทิปเป็น 100 ดอลลาร์ฯ เลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมาหรือว่าพนักงานบริการประทับใจจริงๆ ถึงให้เยอะขนาดนั้น

ช่วงแรกๆ ที่เสิร์ฟ ภาษาเป็นปัญหาของเรามากทีเดียว ถ้าใครได้อ่านตอนแรกๆ ที่เราเคยเล่าให้ฟัง ก็จะรู้ว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่นี่ต้องมาต้อนรับลูกค้าด้วยภาษาอังกฤษล้วนอีก  

ทำงานอยู่พักหนึ่งเราก็ได้รู้ว่า เออ มันเหนื่อยกว่าที่คิดจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายุที่กำลังจะเข้าเลข 3 จึงทำให้เหนื่อยง่ายขึ้นนิดหนึ่ง (เรียกง่ายๆ ว่าเริ่มแก่) หรือเป็นเพราะว่าเรียนหนักบวกกับอากาศที่ไม่ค่อยจะดีจนป่วยบ่อยๆ กันแน่ ตอนนั้นเราเริ่มคิดมากขึ้นว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี จะกัดฟันวิ่งต่อ หรือถอยหลังกลับมาที่ไทย เพราะตอนนั้นค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเงินไม่พอเรียนต่อจนครบปีแน่ๆ

“ไม่สิๆ เราต้องไม่ยอมแพ้ มาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่เด่นไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับไป” (ไม่ได้ประกวดร้องเพลงเนอะคุณเนอะ)

วันหนึ่ง ระหว่างการเสิร์ฟตามปกติอยู่นั้น เราก็ได้รับข้อความทางไลน์จากพี่ทีมงานที่เคยร่วมงานกันที่ประเทศไทย ความรู้สึกเหมือนละครหลังข่าวมาก ลองนึกภาพตามนะ ข้างนอกหิมะตกหนักๆ เราก็วุ่นอยู่กับการวิ่งเสิร์ฟอาหาร แล้วมีข้อความส่งมาจากประเทศไทยว่า มีบริษัทผลิตละครที่ประเทศจีนกำลังตามหาตัวเรา เพราะอยากชวนมาทำงานที่ประเทศจีน เป็นยังไงล่ะ ให้ความรู้สึกแบบลูกชายมหาเศรษฐีบ่อน้ำมันตกยากซึ่งถูกหาตัวเพื่อให้กลับไปรับมรดกมั้ย? ทีแรกก็ไม่ได้สนใจมากหรอก มันฟังดูไกลตัวหน่อย แล้วก็คิดว่าอาจจะไม่ได้ไปเพราะยังเรียนไม่จบด้วย แต่พอพี่ทีมงานบอกค่าตอบแทนมาเท่านั้นแหละ เสิร์ฟผิดเสิร์ฟถูกไปหมด

มีค่าเทอมเรียนต่อแล้วว้อยยยย…

ตอนนั้นมันคิดตื้นๆ แค่นั้นจริงๆ นะ มันกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่พอดี แล้วพอเหมือนจะมีทางออก ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย

หลังจากที่กลับถึงห้องพัก ก็เริ่มนั่งคุยกับพี่ที่ไทยอย่างจริงจังมากขึ้น เราเริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า นี่มันไม่ใช่ชวนกันเล่นๆ แล้วล่ะ ทางบริษัทที่จีนเริ่มส่งเรื่องย่อ คาแรกเตอร์ตัวละคร มาให้อ่าน รวมถึงเริ่มพูดคุยข้อเสนอต่างๆ ตามมาเรื่อยๆ

“พี่ครับ…คือผมไม่ค่อยดังนะพี่”

คือเอาจริงๆ ก็งงตัวเองเหมือนกันว่าจะไปบอกเขาทำไม แต่ไอ้เราก็เริ่มกลัวขึ้นมา เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง คือเส้นทางการไปทำงานต่างประเทศของเรามันค่อนข้างแตกต่างจากนักแสดงที่มีชื่อเสียงคนอื่นมาก ส่วนใหญ่อาจจะต้องเป็นซุปเปอร์สตาร์ในประเทศไทย แล้วก็ค่อยๆ ขยายกลุ่มแฟนๆ ออกไปในต่างประเทศ แต่นี่ก็กลายเป็นเชฟมาพักหนึ่ง แล้วมาเรียนต่อ กลางคืนก็เสิร์ฟอาหารไปแล้ว เพื่อความสบายใจ ก็เลยบอกไว้หน่อยเพราะกลัวเขาจะคาดหวังสูง

หลังจากมีโอกาสได้คุยกับพี่ทีมงานที่จีน ก็เลยรู้ว่าทางบริษัทที่ประเทศจีนเคยดูซีรีส์ออนไลน์เรื่อง GAY OK BANGKOK ที่ออกอากาศทางยูทูบ 5 ตอน แล้วรู้สึกชื่นชมในการแสดง พอค้นดูผลงานเก่าๆ ในประเทศไทย ทั้งงานแสดง แล้วอัลบั้มกับวง B.O.Y ก็เลยสนใจทาบทามมาทำงานด้วยกัน ดังนั้นสบายใจได้ เพราะเขามั่นใจในความสามารถของเราประมาณหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นขั้นตอนการแคสติ้งเล็กๆ ข้ามประเทศ

“รบกวนส่ง resume มาให้หน่อยได้ไหมคะ”

“ได้เลยครับ”

ไม่นานเกินรอก็ได้รับอีเมลตอบกลับมา

“รบกวนส่ง resume การเป็นนักแสดงมาได้ไหมคะ พอดีที่ส่งมามันมีแต่ข้อมูลการทำอาหาร”

ไม่มี!!!

ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะกวนแต่อย่างใดเลยนะ ด้วยความสัตย์จริง คือไม่มี resume ที่เกี่ยวกับการเป็นนักแสดงจริงๆ ก็ช่วงปีที่ผ่านมาทำแต่งานอาหารเลยมีแต่ฉบับที่เป็นเชฟ คิดว่าใช้ได้และกลัวทีมงานรอนานเลยรีบส่งไป เขาคงงงว่านี่เขาจะหาพระเอกละครหรือจ้างพ่อครัวมาทำขนม สกิลล์การอบขนมนี่สูงมากนะขอบอก

หลังจากพยายามทำ resume ฉบับนักแสดงอยู่ 2 วัน ก็ส่งให้บริษัทที่จีนเรียบร้อย ต้องขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ทั้งที่โรงเรียนและเพื่อนๆ คนไทยที่นิวยอร์กหลายๆ คนด้วย ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่มาก จากที่ทุกอย่างดูจะยาก ก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนสุดท้ายเราได้เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นอันสรุปว่า เราได้เป็นนักแสดงในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ

คณิศ ปิยะปภากรกูล

เรามีเวลาเตรียมตัวหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อจัดการเรื่องดร็อปเรียน กลายเป็นว่า การเป็นนิวยอร์กเกอร์ของเรากำลังจะถูกดร็อปไว้ที่ประมาณ 4 เดือน และจะเดินทางไปทำงานที่ไกลออกไปครึ่งโลก

เอาล่ะ….การผจญภัยของเรากำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง แล้วเจอกันใหม่ที่ประเทศจีนนะ

สวัสดี…หนีห่าว 🙂

Writer & Photographer

Avatar

คณิศ ปิยะปภากรกูล

นักร้อง-นักแสดง ที่ผันตัวเองมาเป็น Youtuber เริ่มออกเดินทางตามความฝันการเป็นเชฟทำขนมมือใหม่