“วันนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้วเราเจอกัน แกจำได้เปล่า”

ข้อความประกอบกับรูปถ่ายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จากโปรแกรมเตือนความจำในอดีตของเฟซบุ๊ก ที่ถูกแท็กมาจากรุ่นพี่รหัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นรูปจากงานเดินแฟชั่นงานหนึ่ง ที่เราไปร่วมงาน และรุ่นพี่เราเป็นนางแบบในวันนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปนิวยอร์กของเราอย่างสมบูรณ์

อันที่จริงเรากับพี่รหัสไม่ค่อยสนิทกันมากนัก อาจเพราะหลังจากชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยจบ แต่ละคนก็แยกย้ายกันทำงานกันคนละสาย ทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสบังเอิญเจอกันเท่าไหร่ แต่เราจะรู้ชีวิตของกันและกันผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับรุ่นพี่ก็คือพี่เค้าไปทำงานเป็นนางแบบอยู่ในเอเจนซี่ที่นิวยอร์กประมาณ 5 ปีแล้ว และการเจอกันในงานเดินแบบวันนั้น เป็นวันหยุดช่วงหน้าหนาวที่พี่เขากลับมาทำงานที่ไทย และเป็นความบังเอิญแค่ 10 นาทีหลังจากงานจบ

“มานิวยอร์กสิ…อยู่ที่นี่ไม่เหงาดีนะ”

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

เป็นประโยคเชิญชวนสั้นๆ ที่เหมือนตอบคำถามในหัวเราในตอนนั้นได้ทั้งหมดจริงๆ เพราะเดิมทีเราตั้งใจจะไปที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ถึงแม้ว่าเราแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลยก็ตาม เรารู้แค่ว่า ที่เมลเบิร์นมีสาขาของโรงเรียนสอนทำขนมที่เดียวกับที่เรียนจบมา และถ้าเราอยากจะเรียนต่อในคลาสต่อๆ ไป แค่สอบทำคะแนนภาษาอังกฤษผ่านเกณฑ์ ก็สามารถสมัครเรียนต่อได้เลยทันที เมลเบิร์นดูเป็นเมืองที่น่าอยู่ สงบ ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ไม่พลุกพล่านมากนัก ถัดจากตัวเมืองไม่เท่าไหร่ก็เป็นธรรมชาติแล้ว แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่เรากังวลที่สุดก็คือ ‘ความเหงา’

เอาเข้าจริงๆ เราได้ยินชื่อ นิวยอร์ก มานานมากแล้ว แต่กลับไม่เคยมีโอกาสไปเยือนเลยสักครั้ง ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้เกี่ยวกับที่นั่นก็น่าจะเป็นหนังเรื่อง Begin Again ที่ Keira Knightley (เคียร่า ไนท์ลีย์) กับ Adam Levine (อดัม เลอวีน) ร้องเพลง Lost Stars กันคนละเวอร์ชัน หรือไม่ก็จากโฆษณาเครื่องสำอาง ที่พรีเซ็นเตอร์ออกเสียงด้วยสำเนียงอินเตอร์ว่า ‘นิวหยวก’ นั่นแหละ ช่างน้อยนิดเหลือเกิน นิวยอร์กสำหรับเราเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความฝัน ทุกคนจากทั่วโลกอยากเข้ามาหาโอกาสในการทำงานจากที่นี่ ทุกครั้งที่เราได้ยินเรื่องราวของนิวยอร์ก มันช่างเต็มไปด้วยสีสันและความหลากหลาย เป็นเหมือนแสงไฟที่ไม่เคยดับในตอนกลางคืน

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

การที่ตัดสินใจเรียนต่อในต่างประเทศไกลๆ ที่ต้องทิ้งทุกอย่างในชีวิต ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว บ้าน รวมถึงการดำเนินชีวิตเดิมๆ มันเป็นการตัดสินใจยิ่งใหญ่มากๆ นะ เพราะเราแทบจะไม่สามารถคาดเดาใดๆ ได้เลยในอนาคต เงินที่มีเก็บอยู่ในบัญชีก็ไม่ได้มากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย ดังนั้นการเดินทางไปอยู่เมืองใหญ่ๆ ที่ค่าครองชีพสูงติดอันดับโลก ทุกย่างก้าวก็แทบจะต้องคิดให้เยอะขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

สำหรับแผนการในชีวิตที่คิดเอาไว้กับตัวเอง คือเราตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะได้สื่อสารได้ในเวลาทำงานหรือชีวิตประจำวันก่อนเป็นระยะเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นจะลองหาโรงแรมหรือไม่ถ้าโชคดีกว่านั้น จะพยายามหาที่ฝึกงานกับ Food Stylist ในนิวยอร์ก เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในสายงานนี้ ส่วนถ้ามีเวลามากกว่านั้นจริงๆ ก็อยากจะลงมือเขียนหนังสืออย่างที่เคยตั้งใจไว้เมื่อหลายปีก่อนให้สำเร็จสักที เราถือว่าเป็นทริปแห่งการวิ่งตามความฝันอย่างแท้จริงเลยแหละ

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

เราเริ่มต้นติดต่อหาที่เรียนผ่านทางเอเจนซี่ในประเทศไทยทันที พอหลังจากศึกษาข้อมูลจนตัดสินใจได้แล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการขอวีซ่า ที่ใครหลายคนขู่ว่ากว่าจะผ่านด่านหฤโหดไปได้ก็เล่นเอาเหนื่อยกันไปทุกราย เราเลยจัดการเตรียมเอกสารให้พร้อมมากที่สุด และยื่นเข้าไปที่สถานทูต ไม่นานเราก็ได้รับข่าวดีว่า วีซ่าของเราผ่านเรียบร้อย และโรงเรียนภาษาของเราก็อยู่ที่ใจกลางนิวยอร์กในตึก Empire State – 5th Ave

กำหนดการเดินทางของเราถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในตั๋วเครื่องบิน ในช่วงเดือนมกราคม 2560 เท่ากับว่าเรามีเวลาเตรียมตัวก่อนเดินทางทั้งหมด 3 เดือน ในระหว่างนั้นเราเริ่มต้นเคลียร์งานต่างๆ ทั้งยังคั่งค้างไว้ทั้งหมด ทั้งการจัดสอนทำขนมกลุ่มเล็กๆ ที่บ้าน และงานต่างๆ ที่ติดต่อเข้ามาจนครบ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ของการทดสอบจิตใจ ที่ต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเองเป็นอย่างสูง ความลังเลและความกลัวเรื่องต่างๆ ทำให้เรากลับมาฉุกคิดกับตัวเองบ่อยๆ “เราจะอยู่ที่นั่นได้มั้ย? ไปคราวนี้เท่ากับว่าเป็นคนตกงานจริงๆ แล้วนะ ต่อจากนี้ไป…ไปไหนมาไหนจะไม่มีคนคอยช่วยเหลือเหมือนตอนที่อยู่ไทยแล้ว” คำถามพวกนี้วนเวียนในหัวตลอดเวลา และมีหลายครั้งเหมือนกันที่อยากจะยกเลิกไปเพราะความกลัวนี่แหละ เราว่าคนเรามักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง หรืออะไรก็ตามที่ยังไม่เกิดเป็นเรื่องปกติ เราพยายามบอกกับตัวเอง ย้ำๆ ซ้ำๆ ว่า ถ้าเรายังยึดติดกับอะไรเดิมๆ เราก็จะไม่มีทางได้เจอสิ่งใหม่ๆ ที่รอเราอยู่ในอนาคต การตัดสินใจถึงมันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว มันคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

เราออกเดินทางตามกำหนดในวันที่ 23 มกราคม 2560 จากสนามบินสุวรรณภูมิถึงสนามบินเจเอฟเคที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 23 มกราคม 2560 ไม่ต้องแปลกใจเรื่องวันที่เป็นวันเดิมนะ เครื่องบินบินย้อนเข็มนาฬิกา และเวลาที่นิวยอร์กจะช้ากว่าไทยประมาณ 12 ชั่วโมง เราก็เลยได้ใช้วันเดิมซ้ำ 2 รอบ โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 1 วันเต็มๆ โดยที่มีเพื่อนคนไทยที่เรียนอยู่ที่นั่นไปรับที่สนามบินเพื่อพาไปส่งที่พัก และแล้ว…การเป็น ‘Newyorker’ ของเราก็ได้เริ่มต้นขึ้น

เมื่อผมทิ้งเส้นทางการแสดงและออกไปตามฝันที่นิวยอร์ก

Save

Save

Writer & Photographer

Avatar

คณิศ ปิยะปภากรกูล

นักร้อง-นักแสดง ที่ผันตัวเองมาเป็น Youtuber เริ่มออกเดินทางตามความฝันการเป็นเชฟทำขนมมือใหม่